ทำไมต้องงด...บริโภค'เนื้อสัตว์'
"สงกรานต์"ปีนี้ ถ้าต้องอยู่บ้านยาวๆ ลองพักร่างกาย "หยุดบริโภคเนื้อสัตว์" จะดีต่อร่างกายและจิตใจอย่างไร
หากย้อนถึงยุคดึกดำบรรพ์ มีข้อมูลยืนยันว่า มนุษย์ล่าและฆ่าสัตว์เอาเนื้อมาเป็นอาหารตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ และจุดเริ่มต้นของอารยธรรมมนุษย์ เริ่มกันตั้งแต่มีการนำสัตว์มาเลี้ยง เช่น ไก่ แกะ หมูและปศุสัตว์ จนมีการนำมาใช้ในการผลิตเนื้อสัตว์ขั้นอุตสาหกรรม
การบริโภคเนื้อสัตว์จึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมนุษย์ บางแห่งการบริโภคเนื้อสัตว์เกี่ยวโยงกับวัฒนธรรมและศาสนา ยกตัวอย่าง ชาวมุสลิมไม่บริโภคเนื้อหมู เพราะพระเจ้าบัญญัติห้าม เนื่องจากเชื่อว่า หมูเป็นสัตว์ที่น่ารังเกียจ(กินขี้และนอนคลุกอยู่กับขี้ของมัน) ซึ่งพระเจ้าระบุไว้ว่า เป็นสัตว์สกปรก(นะญิส)
ในข้อมูลของมหาวิทยาลัยมหิดล ศาสนศึกษา ระบุว่า ชนชาติอินเดียในปัจจุบัน ซึ่งนับถือศาสนาฮินดู ก็ไม่กินเนื้อสัตว์เลย แต่ดื่มนมวัว นมควาย นอกจากนี้ในวรรณะพราหมณ์ก็ไม่กินเนื้อสัตว์
เจ้าชายสิทธัตถะ(พระพุทธเจ้า) เกิดในวรรณะกษัตริย์ นับถือศาสนาพราหมณ์ พระสงฆ์สาวกในยุคนั้นล้วนนับถือศาสนาพราหมณ์มาก่อน ศาสนาพราหมณ์ก็ไม่กินเนื้อสัตว์ แต่ปรากฏว่า เคยมีการใช้สัตว์ฆ่าบูชายัญ ต่อมาเมื่อพระพุทธเจ้าทรงประกาศธรรม มีธรรมข้อหนึ่ง ไม่ให้มีการฆ่าสัตว์ ไม่เบียดเบียนสิ่งมีชีวิตอื่นๆ
ในทางวิทยาศาสตร์ เป็นที่ทราบกันดีว่า ผักนั้นมีคุณค่าทางอาหาร มีกากใยที่ทำให้ขับถ่ายง่าย มีวิตามินแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกายหลายชนิด และพบมากกว่าในเนื้อสัตว์
- คนรักชีวิต สัตว์ก็รักชีวิต
ท่านพุทธทาสฯ เคยแสดงทัศนะไว้ว่า "ธรรมชาติสร้างสรรค์ชีวิตพวกเราให้มีความรักชีวิตของตนเอง เราก็ควรจะมีความรู้สึกเห็นใจสัตว์ ที่มีความรู้สึกเดียวกัน ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีความยุติธรรมเสียเลย หากมียักษ์ใหญ่ๆ มาจับมนุษย์กินเป็นอาหาร เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา เหมือนที่เรามองสัตว์เดรัจฉาน หมู ไก่ หรือวัว ก็ต้องรู้สึกอย่างเดียวกัน"
"การฝึกกินอาหารที่ไม่ใช่เนื้อสัตว์ เป็นการฝึกฝนจิตใจอย่างหนึ่ง การกินอาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์เลย เราอาจคิดว่าเป็นเรื่องที่ยาก แต่ที่เห็นกันว่ายากก็เพราะไม่ได้มีการฝึกฝน จึงว่ายาก จึงจำเป็นต้องฝึกหัดรับประทานอาหารที่ไม่ใช่เนื้อสัตว์ให้เป็นประจำ จึงจะได้ผลเร็ว และไม่ใช่แค่ฝึกใจ ยังฝึกในส่วนสันโดษ (การพอใจเท่าที่มี)
ชีวิตพระย่อมได้อาหารชั้นพื้นๆ เคยเห็นบรรพชิตบางคนเว้นไม่รับอาหารจากคนยากจน เพราะคิดว่าเป็นเพียงผักหรือผลไม้ชั้นต่ำ แม้จะรับมา ก็เพื่อทิ้ง นี่เป็นตัวอย่างที่ไม่มีความสันโดษ หรือถ่อมตน การฝึกเป็นนักเสพผักอย่างง่ายๆ จะแก้ปัญหานี้ได้หมด "
นอกจากนี้ ท่านอาจารยพุทธทาสยังเคยบันทึกไว้ว่า..."เพราะผักไม่ยั่วในการบริโภคมากไปกว่าเพียงเพื่ออย่าให้ตาย ต่างกับเนื้อสัตว์ ซึ่งยั่วให้ติดรสและมัวเมาอยู่เสมอ ความอยากในรสที่เกินจำเป็นของชีวิต ความหลงใหลในรส ความหงุดหงิด เมื่อไม่มีเนื้อที่อร่อยมาเป็นอาหาร ฯลฯ เหล่านี้รับรองได้ว่า ไม่มีในใจของนักกินผักเลย "
สิ่งที่น่าสนใจคือ ข้อคิดทางธรรมที่บอกว่า "การรับประทานอาหารผักเป็นการฝึกจิต เพื่อพิจารณาว่า อาหารที่รับประทานเข้าไปนั้น เป็นเพียงของบริโภค ไม่ใช่ผัก ใช่เนื้อ หรือของคาวหวาน และเป็นของกลางๆ ที่บริสุทธิ์ การจะฝึกให้สามารถมีปัญญาพิจารณาเช่นนี้ได้ ก็ต้องอาศัยอาหารที่เป็นผักที่ไร้รสชาติให้ยึดติดเป็นตัวฝึกฝน เนื้อสัตว์เป็นสิ่งที่ทำให้เราหลงในรส"
- ลดเนื้อสัตว์ ลดโรคภัย
ส่วนแนวทางธรรมชาติบำบัด เชื่อว่า มนุษย์ไม่เหมาะที่จะบริโภคเนื้อสัตว์ และเนื้อสัตว์เป็นสาเหตุสำคัญ ทำให้เกิดโรคร้ายต่างๆ มากมาย และมนุษย์สามารถหาโปรตีนจากถั่วและธัญพืชทดแทนได้
นอกจากนี้แล้วยังมีข้อมูลอีกว่า ตอนที่สัตว์จะถูกฆ่า พวกมันจะมีสารพิษในร่างกายเกิดขึ้นในทันทีด้วยการการหลั่งฮอร์โมนอะดรีนาลีน (Adrenaline) และกรดยูริค (Uric Acid)ซึ่งขับออกมาด้วยความหวาดกลัวหรือได้รับความเจ็บปวดอย่างรุนแรง ซึ่งภาวะความเป็นพิษจะกระจายไปทั่วร่างของสัตว์และตกค้างอยู่ตามเส้นเลือดและเนื้อเยื่อ และเมื่อย่อยสลายแล้วจะมีความเป็นกรดสูงในร่างกายมนุษย์
อย่างไรก็ตามยังมีข้อแนะนำจาก www.thaihealth.or.th ว่า การลดการบริโภคเนื้อสัตว์ น่าจะดีต่อสุขภาพ ซึ่งมีขอสรุปบางส่วนว่า เนื้อสัตว์ในปัจจุบันมีการเติมสารเคมีนานาชนิด เพื่อให้เนื้อนุ่มอร่อยและเก็บได้นาน ผลก็คือ พิษร้ายที่เรากินเข้าไปจะมีการสะสมมากขึ้น เพราะปกติร่างกายต้องใช้เวลา 3-5 วัน กว่าที่เนื้อสัตว์จะถูกขับถ่ายออกมา และด้วยเหตุนี้ จึงเป็นสาเหตุของโรคร้ายต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคเส้นเลือดหัวใจตีบตัน ฯลฯ
นอกจากนี้การบริโภคเนื้อสัตว์มากเกินไป ก็ทำให้อ้วน เนื่องจากไขมันที่มีมากในเนื้อ โดยความอ้วนเกิดจากโปรตีนที่มากมายที่ร่างกายไม่ได้ใช้ จึงเปลี่ยนเป็นไขมันเก็บไว้ในร่างกาย
โทษของไขมันสัตว์ที่มีมากเกินไป มีส่วนทำให้เส้นเลือดอุดตัน เส้นเลือดแข็งกระด้าง ตามมาด้วยโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ รวมไปถึงข้อเสื่อม
เนื่องจากเนื้อสัตว์มีฟอสฟอรัสมาก จึงไปกระตุ้นต่อมพาราธัยรอยด์ให้หลั่งฮอร์โมนออกมา ฮอร์โมนนี้จะละลายแคลเซียมออกจากกระดูกทั่วร่างกายมาอยู่ในกระแสเลือด แล้วไปจับตัวในที่ที่มีการเคลื่อนไหว ทำให้ให้เกิดสึกหรอ ไตามข้อต่างๆ เกิดภาวะข้อกระดูกเสื่อม
ในส่วนของผิวพรรณ ถ้าหันมาลด ละ เลิก เนื้อสัตว์ แล้วหันมากินอาหารจำพวกผัก ผลไม้เป็นหลัก จะทำให้ร่างกายเกิดการปรับตัวอยู่ในสภาวะสมดุล เพราะเกิดการขับพิษของเสียต่างๆ ออกจากร่างกาย ระบบไหลเวียนโลหิต ระบบย่อยอาหาร ทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น
และที่สำคัญคือ ละกรรม ตามหลักคำสอนของศาสนาการกิน ซึ่งอาศัยการฆ่า เพื่อเอาเลือดเนื้อสัตว์มาเป็นอาหารของเรา เป็นการสร้างกรรมที่เกิดจากการกระทำคือ การกิน แม้ว่าจะไม่ได้เป็นผู้ลงมือฆ่าเอง
ทั้งหมดคือ มุมหนึ่งของการไม่บริโภคเนื้อสัตว์ ซึ่งต่างมีเหตุผล ตามความเชื่อทางวัฒนธรรมและศาสนา ส่วนใครจะมีความเชื่ออื่นๆ ก็ไม่ใช่เรื่องผิด