ยื่น 7 ข้อเสนอรมว.ศธ. รื้อระบบแจ้งเหตุ ปกป้องเด็กให้มากขึ้น
'ทิชา' นำทีมยื่น 7 ข้อ ต่อรมว.ศธ.รื้อใหญ่ระบบแจ้งเหตุ ปกป้องเด็กให้มากกว่าห่วงชื่อเสียงโรงเรียน ช่วยคดีนักเรียนถูกละเมิดทางเพศ ประสานช่วยเหลือ เยียวยา พร้อมวางมาตรการป้องกันแก้ไขที่ปฏิบัติได้จริง วอนประชาชนอย่าเฉย ร่วมเป็นหูเป็นตาจับสัญญาณ ป้องปราม
วันนี้ ( 12 ธันวาคม 2566) ที่กระทรวงศึกษาที่การ นางทิชา ณ นคร ที่ปรึกษามูลนิธิเด็กเยาวชนและครอบครัว และผู้อำนวยการศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน(ชาย)บ้านกาญจนาภิเษก น.ส.อังคณา อินทสา หัวหน้าฝ่ายส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล และตัวแทนภาคีเครือข่ายองค์กรด้านเด็ก สตรี ครอบครัวและภาคประชาสังคม กว่า 40 คน เข้ายื่นหนังสือที่มีองค์กรด้านเด็ก สตรี ครอบครัวและภาคประชาสังคม 100 องค์กรร่วมลงชื่อถึง พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.)ผ่านทาง นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อแสดงจุดยืนและเรียกร้อง หลังมีคำพิพากษากลุ่มครูและรุ่นพี่ข่มขืนนักเรียนที่จังหวัดมุกดาหาร พร้อมทั้งแสดงกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ 'นักเรียนต้องปลอดภัย หยุดคุกคามทางเพศ'
นางทิชา กล่าวว่า จากเหตุการณ์ที่นักเรียนหญิงวัย 14 ปี ของโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดมุกดาหาร ออกมาเปิดเผยว่าถูกครูในโรงเรียนของตนเองจำนวน 6 คน ร่วมกับรุ่นพี่อีก 2 คน ข่มขืนกระทำชำเราต่อเนื่อง ผู้ปกครองจึงพาเข้าแจ้งความและมีการจับกุมดำเนินคดีโดยมูลนิธิเด็ก เยาวชนและครอบครัว ร่วมกับบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดมุกดาหาร กรมกิจการเด็กและเยาวชน เข้าให้การช่วยเหลือ เยียวยาและผลักดันให้ผู้เสียหายและครอบครัวได้เข้าสู่การคุ้มครองพยาน ของกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม จัดกระบวนการเสริมพลังใจและจัดทนายความของมูลนิธิเป็นทนายโจทย์ร่วม ให้การช่วยเหลือต่อสู้จนล่าสุดเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2566 ศาลมุกดาหารได้อ่านคำพิพากษาจำคุกจำเลย 6 คน ตลอดชีวิต และให้ชดใช้ค่าเสียหายทางแพ่งรวมเกือบ 3 ล้านบาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย 7.5 ต่อปี ส่วนครูอีก 2 คน ศาลยกฟ้องด้วยเหตุพยานหลักฐานยังไปไม่ถึง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
เปิด 7 ข้อเสนอปกป้องเด็กถูกล่วงละเมิดทางเพศ
ทั้งนี้ เครือข่ายยุติความรุนแรงทางเพศในสถานศึกษา กว่า 100 องค์กร เห็นว่าเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นบ่อยกับนักเรียนในความดูแลของกระทรวงศึกษา และเกิดจากการกระทำของบุคลากรทางการศึกษาเอง สะท้อนถึงวัฒนธรรมความรุนแรงทางเพศที่ฝังรากลึกอยู่ในระบบการศึกษาของไทย เครือข่ายจึงขอเรียกร้อง ดังนี้
1. เมื่อเกิดเหตุความรุนแรงต่อเด็กนักเรียนที่เป็นการละเมิดกฎหมาย กระทรวงศึกษาทำหน้าที่เป็นเจ้าทุกข์ร่วมในการแจ้งความและฟ้องร้องดำเนินคดีทางอาญา ประสานให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายแก่เด็กผู้เสียหายและผู้ปกครอง ช่วยจัดการให้ถึงการคุ้มครองสวัสดิภาพและได้รับการเยียวยาทางจิตใจโดยด่วน
2.หากสอบสวนพบครูหรือบุคลาการทางการศึกษาอื่นล่วงละเมิดทางเพศต่อนักเรียน ให้กระทรวงศึกษาลงโทษทางวินัยขั้นสูงสุด ถอนใบประกอบวิชาชีพครู ไม่ให้ปฏิบัติงานในตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับนักเรียนโดยตรงเด็ดขาด
3. รัฐมนตรีหรือผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงศึกษารีบดำเนินการเอาผิด ป้องกันไม่ให้เกิดการแทรกแซงช่วยเหลือผู้กระทำผิด ต้องรีบลงพื้นที่สร้างขวัญกำลังใจแก่ผู้เสียหาย ครอบครัว รวมถึงครู นักเรียนที่ไม่ได้กระทำผิด
4. เร่งจัดเวทีระดมสมองจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อพัฒนานโยบายและมาตรการเชิงรุกในการป้องกัน แก้ไขปัญหาที่ปฏิบัติได้จริง สำหรับโรงเรียนทุกแห่งทั่วประเทศ
5. ทบทวนการทำงานของศูนย์คุ้มครองและช่วยเหลือนักเรียนนักศึกษาซึ่งถูกล่วงละเมิดทางเพศ (ศคพ.) และพัฒนาให้มีความเป็นอิสระ เป็นมิตรต่อผู้เสียหาย มีองค์กรภายนอกที่เชี่ยวชาญด้านสิทธิเด็กและการแก้ไขปัญหาความรุนแรงทางเพศเข้าร่วมตรวจสอบข้อเท็จจริง ประชาสัมพันธ์ให้รับทราบและเข้าถึงกลไกนี้อย่างกว้างขวาง
6. ให้การศึกษาแก่ครูและผู้บริหารโรงเรียนทั่วประเทศเกี่ยวกับหลักการและแนวปฏิบัติเพื่อการคุ้มครองสิทธิเด็ก การเคารพความเสมอภาคระหว่างเพศ และมีแนวปฏิบัติเพื่อสร้างให้โรงเรียนเป็นพื้นที่ปลอดภัยจากความรุนแรงทางเพศ
7. ขอให้ประชาชน ผู้ปกครอง ช่วยจับตา สอดส่องความผิดปกติของครู นักเรียน และโรงเรียนที่อาจจะนำไปสู่การคุกคามทางเพศ เพื่อให้เกิดการป้องปราม ตัดวงจรที่จะนำไปสู่ความเสียหาย
ด้านน.ส.อังคณา อินทสา หัวหน้าฝ่ายสงเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล กล่าวว่า จากการรวบรวมข่าวความรุนแรงทางเพศในปี พ.ศ.2564 จากหนังสือพิมพ์จำนวน 13 ฉบับ พบข่าวความรุนแรงทางเพศจำนวน 98 ข่าว ครึ่งหนึ่งของข่าวกลุ่มผู้ถูกกระทำอายุ 11-15 ปี ร้อยละ 60 ผู้ถูกกระทำเป็นเด็ก วัยรุ่นและนักเรียน ร้อยละ 16 ของข่าวผู้กระทำเป็นบุคลากรทางการศึกษา ที่น่าสนใจเมื่อลงรายละเอียดในข่าวพบว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กับยาเสพติดเป็นปัจจัยร่วมที่สำคัญร้อยละ 38 และร้อยละ 19 ตามลำดับ สอดคล้องกับข้อเท็จจริงกรณีมุกดาหารที่พบว่าหลังบ้านพักครูจะพบกองขวดเหล้าเบียร์จำนวนมาก
จุดที่น่าสนใจมาก ๆ คือเหตุการณ์นี้ไม่ได้พึ่งเกิดหรือเกิดขึ้นแค่ครั้งเดียว เป็นความต่อเนื่องยาวนาน ทำไมคนในพื้นที่จึงไม่เห็นความผิดปกติ เพราะหากช่วยกับจับตา เฝ้าระวัง และเมื่อพบเห็นความผิดปกติแล้วมีกระบวนการป้องปรามเหตุการณ์อาจจะไม่บานปลายมาขนาดนี้ เด็กอาจจะได้รับการปกป้องที่ดี ดังนั้นการมีส่วนร่วมของชุมชน คนในพื้นที่ นักเรียน รวมถึงครูที่ไม่ได้อยู่ในขบวนการ จึงมีความสำคัญมาก ที่จะช่วยกันส่งสัญญาณ
“จากคำพิพากษานี้จึงเป็นอุทาหรณ์สำคัญกับคนที่จะเป็นครู ในจรรยาบรรณวิชาชีพและความเมตตาต่อลูกศิษย์ ต้องไม่ล้ำเส้นเด็ดขาด และควรถึงเวลาที่กระทรวงจะปรับปรุงหลักสูตรการเรียนการสอนที่ให้ความสำคัญกับการเคารพเนื้อตัวร่างกาย สิทธิ การให้เกียรติกันอย่างจริงจังเสียที” น.ส.อังคณา กล่าว