เจาะลึกศักยภาพ “Gen-AI” โมเดล AI Chat Bot ยอดนิยม
คณบดี CITE DPU เจาะลึกศักยภาพ “Gen-AI” โมเดล AI Chat Bot ยอดนิยม มีทั้งข้อดีและข้อจำกัด แนะควรศึกษาข้อมูลก่อนใช้งานและใช้ Prompt มากกว่า 1 โมเดล เพื่อตรวจสอบความแม่นยำและป้องกันความผิดพลาด
เมื่อเทคโนโลยี Generative AI (GEN-AI) หรือปัญญาประดิษฐ์หรือ AI Chat Bot ช่วยให้สร้างสรรค์ผลงานได้อย่างรวดเร็ว กำลังเข้ามามีบทบาทในทุกสาขาอาชีพ วิทยาลัยนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีและวิศวกรรมศาสตร์ (CITE) มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) จึงได้ผนวกการใช้งาน GEN-AI ในทุกหลักสูตรการเรียนการสอนและทุกระดับชั้นการศึกษา เพื่อช่วยเสริมทักษะนักศึกษาให้เป็น Soft Skill และเพื่อรองรับการใช้ AI เป็น Norm ในอนาคต
ผศ.ดร.ชัยพร เขมะภาตะพันธ์ คณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีและวิศวกรรมศาสตร์ (CITE) มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) เปิดเผยว่า Generative AI (GEN-AI) เป็นปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถสร้างเนื้อหาใหม่ได้อย่างอัตโนมัติหลากหลายรูปแบบ โดยเรียนรู้จากฐานข้อมูลที่มีอยู่มาประมวลสร้างผลลัพธ์ตามที่ต้องการ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้รวดเร็วขึ้น สามารถใช้งานได้หลากหลาย
อาทิ Digital Marketing การแต่งเพลง การสร้างสรรค์ออกแบบสื่อ นอกจากนี้ Gen-AI ยังสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในด้านการศึกษาได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นการสร้างเนื้อหาการสอนบทเรียน การค้นคว้าข้อมูล การเขียน หรือการทำวิจัย อย่างไรก็ตาม Gen-AI ก็มีข้อจำกัดบางประการ เช่น ข้อมูลที่ได้ไม่ถูกต้องหรือมีคุณภาพต่ำ รวมถึงการสร้างข้อความที่ไม่สละสลวยหรือแปลภาษาได้ไม่ถูกต้อง เป็นต้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
AI คือ Soft Skill ใหม่ในยุคดิจิทัล พร้อมจี้รัฐเร่งพิจารณากฎหมายควบคุม
CITE DPU ปั้นเด็กมีทักษะรอบด้าน รู้ลึก รู้กว้าง และเรียนรู้ได้
จุดเด่น-ข้อจำกัดของแต่ละโมเดล
ผศ.ดร.ชัยพร กล่าวว่า เทคโนโลยี Gen-AI เปรียบเสมือนดาบสองคมที่มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ผู้ใช้งานควรใช้อย่างระมัดระวังและปรับเลือกให้เหมาะสมกับความต้องการ การนำ Gen-AI มาช่วยสร้างเนื้อหาได้หลากหลายรูปแบบ เช่น สร้างข้อความ รูปภาพ เพลง และวิดีโอ เป็นต้น ส่วนโมเดล Gen-AI ที่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน ได้แก่ Chat GPT, Gemini, Claude, Perplexity, Copilot
โดยแต่ละโมเดลมีจุดเด่นและข้อจำกัดแตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น
- “Chat GPT”
โมเดลภาษาขนาดใหญ่ ที่พัฒนาโดย Open AI ทำหน้าที่สร้างข้อความโต้ตอบกับผู้ใช้งานในรูปแบบการสนทนา โดยจะจำคำสั่งเก่าและสามารถป้อนคำถามต่อเนื่องได้ เวอร์ชันฟรี ซึ่งข้อมูลจะล้าหลังถึงแค่ปี 2022 ส่วนเวอร์ชันที่มีค่าใช้จ่ายจะใช้งานโมเดล GPT-4 และ GPT Plus นั้นข้อมูลจะอัพเดตมากกว่าและให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า
- “Gemini”
ซึ่งเป็นโมเดลการประมวลผลภาษาจากแหล่งข้อมูลขนาดใหญ่ที่พัฒนาโดย Google จะเชี่ยวชาญในการสร้างข้อความ แปลภาษา เขียนเนื้อหาสร้างสรรค์ ตอบคำถาม และสรุปข้อมูล เข้าถึงได้ผ่าน Google Search มีข้อดี คือ ใช้งานง่าย และข้อมูลอัพเดตใหม่กว่าโมเดลอื่น ส่วนข้อจำกัด คือ อาจสร้างข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง เพราะเรียนรู้ข้อมูลจากฐานข้อมูลขนาดใหญ่ของ Google นั่นเอง
- “Claude AI”
เป็นโมเดลภาษา ที่พัฒนาโดย Google Research ร่วมกับ Anthropic มีความเชี่ยวชาญด้านการประมวลผลภาษาธรรมชาติ เรียนรู้คำสั่งและรองรับการใช้งานภาษาไทยได้ค่อนข้างดีมาก มาแรงสำหรับคนไทย
แนะศึกษาโมเดลให้เหมาะสมกับการใช้งาน
- “Perplexity”
ซึ่งถูกพัฒนาโดยบริษัท Perplexity AI ก่อตั้งโดย Aravind Srinivas อดีตวิศวกรของ Google และ Open AI ได้รับทุนสนับสนุนจาก CEO Amazon จุดเด่นคือ ให้คำตอบโดยตรงกับสิ่งที่ค้นหา แสดงลิงก์และเว็บไซต์อ้างอิงที่มาของแหล่งข้อมูล เหมาะกับนักศึกษาที่ทำวิจัย แต่อาจมีข้อจำกัดด้านข้อมูลที่อาจไม่ถูกต้องได้บ้าง เนื่องจากเรียนรู้จากข้อมูลจำนวนมหาศาลจากระบบค้นหา
- “Copilot”
ถูกพัฒนาโดย ทีมวิศวกรของ Microsoft เหมาะสำหรับผู้ใช้ Microsoft 365 ได้แก่ MS Word หรือ MS Excel ที่ต้องการใช้งานแบบหลากหลาย อาทิ ช่วยร่างหรือเขียนเอกสาร แปลภาษา รวมถึงงานวิเคราะห์ข้อมูล งานวิจัย รวมทั้งมีฟีเจอร์ช่วยวาดรูปแต่ยังอยู่ในช่วงพัฒนาฟังก์ชัน แต่อาจมีข้อจำกัดหากใช้งานเวอร์ชันฟรี ซึ่งจะไม่สามารถใช้งานร่วมกับ MS Word หรือ MS Excel ได้ หรืออาจใช้งานไม่ได้บางช่วงเวลา ดังนั้นควรศึกษาโมเดลทั้งหมดก่อนนำไปใช้ให้เหมาะสมกับงานในแต่ละประเภท
ผศ.ดร.ชัยพร กล่าวเสริมว่า เทรนด์การใช้งาน Gen-AI กำลังได้รับความนิยมอย่างสูงจากเด็กยุคใหม่ เนื่องจากสามารถนำมาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มสิทธิภาพในการศึกษาได้เป็นอย่างดี แม้ผู้ใช้บางส่วนอาจยังไม่มีงบประมาณเพียงพอสำหรับใช้งานระบบ AI ในเวอร์ชันที่ดีกว่า แต่ก็สามารถเรียนรู้และใช้งานเวอร์ชันฟรีได้อย่างรวดเร็ว เพื่อนำมาช่วยในการค้นคว้าสรุปงานและทำรายงานต่างๆ ได้
แต่อาจจะมีข้อจำกัดในแง่ความถูกต้อง ความทันสมัยของข้อมูล จึงต้องตรวจสอบอยู่เสมอ สำหรับความชำนาญในการใช้เครื่องมือ AI นั้น ขึ้นอยู่กับความถี่ในการใช้งาน หากใช้บ่อยครั้งก็จะยิ่งมีทักษะในการใช้งานที่คล่องแคล่วมากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้สามารถนำเครื่องมือเหล่านี้มาใช้เพิ่มประสิทธิภาพและความรวดเร็วในการทำงานได้ ส่งผลให้มีเวลามากขึ้นในการคิดค้นนวัตกรรมใหม่หรือหาไอเดียต่อยอดงานมากขึ้น
อย่างไรก็ตามแม้ AI จะเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการช่วยประมวลผลและสรุปข้อมูล แต่ข้อมูลที่ได้มามีข้อจำกัดอาจมีความคลาดเคลื่อนหรือไม่ถูกต้องได้ ดังนั้นในการใช้งานจริงจำเป็นต้องใช้ Gen-AI มากกว่า 1 โมเดล เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลและลดโอกาสเกิดความผิดพลาดขึ้น
“ภายในระยะเวลาไม่กี่ปีนับจากนี้ ทักษะในการใช้ Gen-AI รวมทั้งการใช้เครื่องมือ AI อื่น ๆ อย่าง Midjourney หรือ Dall-E ในการทำงานด้านกราฟิกส์ จะกลายเป็นเรื่องปกติสำหรับคนยุคใหม่ หากไม่มีความสามารถดังกล่าวอาจจะเสียเปรียบได้ ดังนั้น CITE DPU จึงได้ผนวกความรู้การใช้งาน AI ที่ผ่านคำสั่ง Prompt และกระบวนการใช้งานต่าง ๆ เข้าไปในหลักสูตรการเรียนการสอนทุกระดับและทุกสาขาวิชา เพื่อฝึกฝนให้นักศึกษาใช้เป็นทักษะเสริม” ผศ.ดร.ชัยพร กล่าว
นอกจากนี้ยังจัดอบรมการใช้งานเครื่องมือ AI อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้นักศึกษาได้อัพเดตความรู้และเทคนิคการใช้งานอยู่เสมอ ซึ่งปัจจุบันนักศึกษาของ CITE DPU หลาย ๆ คนสามารถใช้ Gen-AI ได้อย่างดีแล้ว สำหรับผู้ที่สนใจต้องการมุ่งเน้นเป็นนักพัฒนา AI โดยตรง หรือสร้างการประยุกต์ใช้งานที่ซับซ้อนขึ้น สามารถเลือกเรียนในสาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ ทั้งระดับปริญญาตรี-โท-เอก ที่มีหลักสูตรด้าน AI รองรับโดยตรง สำหรับผู้สนใจในหลักสูตรต่าง ๆ สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://cite.dpu.ac.th/