บัญชีดิจิทัล DPU อบรมเข้มบัญชี-ภาษี อัพความรู้ ปฎิบัติงานได้จริง
หลักสูตรบัญชีดิจิทัล DPU จับมือ IPAD จัดอบรมเข้มบัญชี-ภาษี SMEs ผู้เข้าร่วมทะลุ 300 คน พร้อมขยายการอบรมเป็น 3 รอบในปีนี้
หลักสูตรบัญชีดิจิทัล วิทยาลัยบริหารธุรกิจนวัตกรรมและการบัญชี (CIBA) มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) ร่วมกับ สถาบันพัฒนานักวิชาชีพบัญชี (IPAD) จัดการอบรมโครงการบริการวิชาการพัฒนาความรู้ต่อเนื่องสำหรับผู้ทำบัญชีและผู้สอบบัญชีรับอนุญาต (CPA) ประจำปี 2568 รอบที่1 ในวันที่ 14 และ 15 มีนาคม 2568 ณ ห้องประชุมปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ โดยมีอาจารย์วสุกานต์ วิศาลสวัสดิ์ คณบดีวิทยาลัยบริหารธุรกิจนวัตกรรมและการบัญชี ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีเปิดและกล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วม โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของความรู้ด้านบัญชีสำหรับธุรกิจ
การอบรมในครั้งนี้มุ่งเน้น 2 หัวข้อสำคัญที่เกี่ยวข้องกับมาตรฐานบัญชีและภาษีอากรที่ส่งผลต่อธุรกิจ SMEs ได้แก่ “การจัดทำงบการเงินประจำปี 2567 สำหรับกิจการ NPAEs ที่มีขนาดกลางและขนาดเล็ก: การปรับปรุงรายการย่อที่ต้องมีในงบการเงิน พ.ศ. 2566 และประเด็นการรายงานทางการเงินที่น่าสนใจ” บรรยายโดย ผศ. ดร.สันสกฤต วิจิตรเลขาการ รองคณบดีฝ่ายวางแผนนวัตกรรมและความยั่งยืน คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
และ “ประเด็นความเสี่ยงทางบัญชี และภาษีอากรภาคปฏิบัติสำหรับธุรกิจ SMEs” บรรยายโดย อาจารย์วราวรรณ กิจวิชา ผู้อำนวยการกองมาตรฐานการสอบบัญชีภาษีอากร กรมสรรพากร ซึ่งมีผู้ประกอบวิชาชีพบัญชี 300 คน เข้าร่วมการอบรม
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
'CIBA DPU' ดึงเกมเสริมทักษะรอบด้าน ปั้นคนรุ่นใหม่สู่ธุรกิจโลจิสติกส์
ขยายอบรม 3 รอบ รองรับผู้ประกอบวิชาชีพบัญชี
ดร.อรัญญา นาคหล่อ ผู้จัดการสถาบัน IPAD DPU เปิดเผยว่า การอบรมในปีนี้ได้รับความสนใจสูงมาก ผู้สมัครเต็มภายหลังเปิดรับสมัครเพียงหนึ่งสัปดาห์ ทำให้ต้องขยายการอบรมเป็น 3 รอบ เพื่อรองรับจำนวนผู้เข้าร่วมที่เพิ่มขึ้น โดยการอบรมนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อช่วยให้ผู้ทำบัญชีและผู้สอบบัญชีรับอนุญาตสามารถพัฒนาทักษะวิชาชีพและเก็บชั่วโมงพัฒนาความรู้ต่อเนื่อง (CPD) ตามข้อกำหนดของสภาวิชาชีพบัญชีฯ ได้แก่ CPA ต้องเก็บ CPD 40 ชั่วโมงต่อปี ผู้ทำบัญชีต้องเก็บ CPD 12 ชั่วโมงต่อปี
หัวข้อการอบรมมุ่งเน้นไปที่มาตรฐานบัญชีสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก (NPAEs) และประเด็นภาษีอากรสำหรับธุรกิจ SMEs โดย ดร.อรัญญา อธิบายว่า กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่ของสถาบันให้บริการแก่ธุรกิจ SME ดังนั้นเนื้อหาในวันนี้จึงตอบโจทย์ความต้องการของผู้เข้าร่วมโดยตรง
เน้นภาคปฏิบัติ-อัปเดตความรู้ทันสมัย
การอบรมดังกล่าง เป็นการเรียนรู้จากกรณีศึกษาและการอัปเดตมาตรฐานบัญชีและภาษีอากรที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เพื่อช่วยให้ผู้เข้าร่วมสามารถรับมือกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในการทำงานจริง นอกจากนี้เนื้อหายังได้รับการออกแบบให้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ทันที เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อเสริมสร้างความเชี่ยวชาญและมุมมองที่ลึกซึ้งในด้านต่างๆ ที่จะช่วยยกระดับการทำงานในยุคดิจิทัล
“จุดแข็งของการอบรมคือ การเน้นภาคปฏิบัติ มีการยกกรณีศึกษาจริงเพื่อให้ผู้เข้าร่วมได้เรียนรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ โดย ผศ. ดร.สันสกฤต วิจิตรเลขาการ ซึ่งทำงานร่วมกับสภาวิชาชีพบัญชีฯ ในเรื่องมาตรฐานบัญชี จะมาให้ความรู้ที่เป็นปัจจุบัน พร้อมยกตัวอย่างให้เห็นภาพและบรรยายอย่างสนุกสนาน ส่วนอาจารย์วราวรรณ กิจวิชา จากกรมสรรพากร ท่านมีประสบการณ์ในการตรวจจริง และจะนำเคสจริงที่พบจากการตรวจสอบมาถ่ายทอด เพื่อให้ผู้เข้าร่วมได้ทราบถึงข้อควรระวัง และหลักการปฏิบัติที่ถูกต้องอย่างลึกซึ้ง” ดร.อรัญญา ระบุ
สำหรับการประเมินผลผ่านแบบสอบถามที่ผ่านมา พบว่าผู้เข้าร่วมส่วนใหญ่ได้พัฒนาความรู้ ความเข้าใจ และสามารถนำไปปรับใช้ในการทำงานให้ถูกต้องตามมาตรฐานได้เพิ่มขึ้นหลังจากอบรม การอบรมยังช่วยให้ผู้ทำบัญชีสามารถพัฒนาตนเองไปสู่การทำงานในบริษัทที่ใหญ่ขึ้นได้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิภาพของการเรียนรู้ผ่านกรณีศึกษาจริงและการสอนเชิงปฏิบัติการ ที่ช่วยให้สามารถนำไปใช้ในงานได้จริง
AI ความท้าทายของผู้ตรวจสอบภายใน
ดร.อรัญญา ได้เผยข้อมูลเกี่ยวกับโครงการบริการวิชาการหลักสูตรใหม่ที่กำลังจะเปิดตัว ซึ่งเป็นหลักสูตรที่มุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยี AI ในการตรวจสอบภายใน ภายใต้ชื่อ "AI ความท้าทายของผู้ตรวจสอบภายใน" โดยจะจัดขึ้นในรูปแบบ Workshop โดยใช้กรณีศึกษาจากสถานการณ์จริงที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบภายใน ในวันที่ 26 - 27 มีนาคม 2568 ซึ่งจะรับสมัครจำนวนจำกัดเพียง 80 คนเท่านั้น
หลักสูตรดังกล่าว ได้รับการพัฒนาให้มีความเฉพาะเจาะจงมากกว่าหลักสูตร AI ทั่วไปที่มักครอบคลุมเนื้อหาทั่วไปหรือเป็น General AI โดยมุ่งเน้นการประยุกต์ใช้ AI ในการตรวจสอบภายในอย่างลึกซึ้งและตรงจุด เพื่อตอบสนองต่อการเติบโตอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยี AI และการนำ AI มาใช้ในงานตรวจสอบภายใน
โดยมุ่งเน้นให้ผู้ตรวจสอบภายในสามารถนำ AI มาประยุกต์ใช้ในงานจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเหมาะสำหรับผู้เข้าร่วมจากหลากหลายสาขาวิชา ไม่จำเป็นต้องจบด้านบัญชีเท่านั้น เพราะการตรวจสอบภายในจำเป็นต้องมีความเข้าใจในกระบวนการทำงานของธุรกิจ และผู้ที่จบสาขาธุรกิจหรือสาขาที่เกี่ยวข้องอาจมีความเข้าใจในมุมนี้ได้ดี
“ปีนี้ AI มาแรงมากและเติบโตอย่างรวดเร็ว เรามองว่า AI สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบภายในได้ จึงได้ปรึกษากับวิทยากรผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจสอบภายใน จนเกิดเป็นโครงการนำร่องนี้ขึ้นมา ซึ่งจะเป็นเสวนาเชิงปฏิบัติการ เพื่อให้ผู้ตรวจสอบภายในได้เรียนรู้การประยุกต์ใช้ AI ในงานจริง ที่นำไปสู่การยกระดับทักษะและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน”
นอกจากนี้ในอนาคต ดร.อรัญญา กล่าวว่า อาจมีการเปิดหลักสูตร AI สำหรับผู้สอบบัญชีรับอนุญาต หรือสำหรับงานบัญชีด้านอื่นๆ ด้วย เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการที่เพิ่มขึ้น โดยหลักสูตรจะเน้นการให้ความรู้เฉพาะทาง และนำกรณีศึกษาจริงมาใช้ในการเรียนการสอน เพื่อให้ผู้เข้าร่วมได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และร่วมแก้ไขปัญหาที่พบในงานตรวจสอบภายใน ซึ่งจะช่วยเสริมทักษะในการทำงานและเพิ่มประสิทธิภาพ รวมถึงเตรียมความพร้อมให้กับนักบัญชีในอนาคตให้สามารถปรับตัวกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
"ความต้องการผู้ตรวจสอบภายในมีสูงมาก โดยเฉพาะในบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ทำให้ตอนนี้ยังมีจำนวนผู้ตรวจสอบไม่เพียงพอ การนำ AI เข้ามาช่วยจึงเป็นทางออกที่ดี” ดร.อรัญญา กล่าวทิ้งท้าย
