เทคนิค "เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน" ให้สุดปัง! โดนใจเจ้านาย

เทคนิค "เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน" ให้สุดปัง! โดนใจเจ้านาย

การลดลงของจำนวนประชากรวัยทำงานที่เกิดจากการลดลงของประชากรและอัตราการเกิดต่ำ เป็นเหตุให้รัฐบาลออกมาสนับสนุนให้“การปฎิรูปการทำงาน” เป็นวาระเร่งด่วนของสังคม  ทำให้การปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานเป็นเรื่องที่ขาดไม่ได้ในบริษัท

KEY

POINTS

  • พนักงานอย่างเราๆ มักถูกประเมินผลการทำงานผ่านการประเมินเป้าหมาย ความรับผิดชอบ และส่วนต่างๆที่เกี่ยวข้องกับงานที่สำคัญกับบทบาทในการทำงาน 
  • เจ้าของธุรกิจจำเป็นต้องให้พนักงานบรรลุเป้าหมาย เพื่อให้งานสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี  เริ่มจากการปรับปรุงปัจจัยหลักๆที่จะช่วยให้คุณทำงานได้ดียิ่งขึ้น
  • มีเป้าหมายชัดเจน กระตือรือร้น กล้าที่จะคิด จะทำสิ่งใหม่ๆ มีความรับผิดชอบ รักการเรียนรู้และพัฒนาตนเอง มีทัศนคติที่ดี มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีและทำงานเป็นทีม มีทักษะการสื่อสาร

ทว่าพอจะลงมือปรับปรุงจริงๆ กลับไม่รู้ว่าต้องเริ่มจากตรงไหนดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างแรงจูงใจในการเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากที่สุดสำหรับบริษัทที่มีขั้นตอนในการทำงานเดิมๆ มาเป็นเวลานานหลายปี

ทุก ๆ ความสำเร็จของงานแต่ละโปรเจกต์ ประกอบมาจากความคิดและการลงมือทำของคนในทีม งานส่วนใหญ่มักจะสำเร็จได้ด้วยการพึ่งพาการทำงานของกันและกัน ในโลกของการทำงาน

“การทำงานเป็นทีม” จึงเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญอันเป็นรากฐาน ที่ช่วยให้องค์กรประความสำเร็จได้ ทั้งนี้การทำงานเป็นทีม ยังถือเป็น ทักษะที่จำเป็นในการทำงาน อีกด้วย

ประสิทธิภาพการทำงานคืออะไร?  โดยทั่วไปแล้วประสิทธิภาพในการทำงานน่าจะหมายถึงการใช้ทรัพยากรที่จำเป็นให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนที่เท่ากัน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

งานแบบไหนที่คนรุ่นใหม่ SAY YES อยากทำงานด้วยมากที่สุด

เทรนด์ใหม่ทั่วโลก!!ทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ ข้อดี-ข้อจำกัดที่องค์กรต้องรู้

วิธีเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน

วิธีใดบ้างที่สามารถช่วยให้คุณใช้เวลาชั่วโมงทำงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด อันที่จริงแล้วมีหลากหลายวิธี แต่โดยทั่วไปแล้วจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของพนักงาน 1 คน ต่อหน่วยเวลาหนึ่ง การทบทวนหรือปรับปรุงรายละเอียดการทำงานก็สำคัญสำหรับองค์กรโดยรวมแต่ควรคิดเรื่องของบุคลากรเป็นหลัก​ ​

1. นำเครื่องมือสำหรับปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานเข้ามาใช้

เมื่อกล่าวถึงตัวช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน เราคงคิดไม่พ้นเครื่องมือที่ทำงานบนคอมพิวเตอร์และสมาร์ทโฟน หรือในกลุ่มพวกRPA (Robotic Process Automation) ที่ได้รับความสนใจอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เรียกง่ายๆ ว่าเป็นสิ่งที่ใช้คอมพิวเตอร์สร้างระบบอัตโนมัติ (Automation) ให้กับการทำงาน สิ่งนี้เองจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานเป็น 2 เท่า เช่นเคยใช้คอมพิวเตอร์ทำงาน 1 ชั่วโมงก็กลายเป็นเสร็จสมบูรณ์ได้ภายใน 30 นาที

เทคนิค \"เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน\" ให้สุดปัง! โดนใจเจ้านาย

ซึ่งใช้ได้ผลดีโดยเฉพาะอย่างยิ่งงานที่มีรูปแบบตายตัว หรืองานที่ต้องทำเป็นกิจวัตร ที่จะไม่ใช่แค่ประหยัดเวลาครึ่งหนึ่ง แต่บางกรณีอาจจะเสร็จภายในไม่กี่สิบนาทีได้เลย อย่างไรก็ตาม การนำเครื่องมือเข้ามาใช้นั้นจำเป็นต้องมีเงินทุนและเวลาในการศึกษาเริ่มต้น ซึ่งก็มีเครื่องมือ (ซอฟต์แวร์) ที่อาจจะสเกลไม่ใหญ่เท่ากับ RPA แต่ก็สามารถจัดการตารางงานและภารกิจของพนักงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นได้

สื่อสาร สร้างแรงจูงใจ พัฒนาทักษะพนักงาน

2. ทบทวนการดำเนินงาน

สิ่งสำคัญที่จะช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตคือ การตัดลดงานส่วนที่ไม่จำเป็นออกด้วยการตรวจสอบว่าในขั้นตอนการทำงานนั้นๆ มีส่วนที่สิ้นเปลืองหรือไม่ สามารถตัดขั้นตอนใดออกได้หรือไม่ หรือเรียกว่าเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของการทำงานนั่นเอง หลายครั้งการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานจะเชื่อมโยงไปถึงการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตได้ในเวลาเดียวกันด้วย วิธีการอันโด่งดังของโตโยต้า “ไคเซ็น” ก็น่าจะใช้วิธีนี้

สิ่งสำคัญที่สุดในการทบทวนการดำเนินงานคือความเข้าใจในภาพรวมและขั้นตอนของงานอย่างถูกต้อง ส่วนใหญ่ก็จะมีมาตรการแก้ไขจุดบอดที่ทำให้เกิดความสิ้นเปลืองที่เราหาเจอง่ายๆ อยู่แล้ว แต่ประเด็นคือจุดบอดที่หาเจอได้ยาก สิ่งสำคัญที่สุดในวิธีนี้คือการหาจุดบอดที่หาเจอได้ยากให้ได้แล้วแก้ไขมัน​ ​

3. ทบทวนขนาดของบริษัท

โดยทั่วไปหากบริษัทมีภาระทางการเงินเพิ่มขึ้น แผนกที่ไม่ได้สร้างกำไรก็จะถูกแก้ไขโครงสร้างใหม่ ในทางกลับกันหากผลกำไรเพิ่มขึ้นก็จะคิดเรื่องการขยับขยายธุรกิจ สร้างผลกำไรให้มากขึ้นอีก แต่จะขยับขยายให้ใหญ่ขึ้นขนาดไหนบริษัทถึงจะมีฟังก์ชั่นมากขึ้นนั้น เรื่องการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตก็เป็นมุมมองที่สำคัญ

เริ่มจากการดูว่าผลกำไรเหมาะสมกับขนาดของบริษัทหรือไม่ ถ้าลดการใช้ทรัพยากร เช่นพนักงาน หรือร้านสาขาลงแล้วจะส่งผลให้กำไรจะลดลงเท่าใด กลับกันถ้าทรัพยากรเพิ่ม กำไรจะเพิ่มขึ้นเท่าใด พิจารณาประเด็นเหล่านี้เพื่อหาขนาดของบริษัทที่เหมาะสมที่สุด นี่ไม่ใช่ปัญหาที่แผนกใดแผนกหนึ่งเท่านั้น แต่เป็นปัญหาโดยรวมของทั้งบริษัท ในความเป็นจริงแล้วควรทำทั้งองค์กร ไม่ใช่แค่ทำเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอย่างเดียว

4. สร้างโอกาสในการสื่อสารระหว่างพนักงาน

ตามที่กล่าวไว้ข้างต้นว่า การตรวจสอบวิธีการทำงาน เป็นสิ่งที่ธุรกิจทุกประเภทต้องให้ความสำคัญเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน สิ่งแรกคือ การรู้จักบทบาทของตนเอง และการจะรู้จักบทบาทตัวเองได้นั้น พนักงานจะต้องสามารถแชร์สถานการณ์ปัจจุบันของการทำงานกับผู้ร่วมงานได้​ ​

แม้จะเป็นสิ่งที่ทุกคนรู้ว่าควรทำ แต่ก็ควรสร้างโอกาส หรือสถานการณ์ให้พนักงานสามารถสื่อสารกันได้เอาไว้ จะสร้างสเปซที่สามารถมีกิจกรรมร่วมกันในบริษัทก็ได้ หรือจะนัดประชุมแค่เพื่อเห็นหน้าค่าตาโดยไม่ต้องกำหนดวัตถุประสงค์ก็ได้ เมื่อแต่ละคนต่างเข้าใจในเนื้องานปัจจุบันของกันและกันแล้ว ก็จะสามารถเดินงานเป็นทีมและช่วยกันปรับปรุงวิธีการทำงานให้ดีขึ้นได้

เทคนิค \"เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน\" ให้สุดปัง! โดนใจเจ้านาย

5. พยายามสร้างแรงจูงใจให้แก่พนักงาน

เชื่อว่ายิ่งพนักงานมีแรงจูงใจในการทำงานมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีโอกาสเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตต่อชั่วโมงได้มากขึ้นเท่านั้น แม้ว่าเวิร์คโฟลว์และเนื้อหาของงานจะเหมือนเดิม แต่ก็น่าจะคาดหวังประสิทธิภาพที่ดีขึ้น และการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดอย่างรวดเร็วได้

การสร้างแรงจูงใจที่ง่ายที่สุด คือการปรับปรุงผลตอบแทนของพนักงาน เช่น การขึ้นค่าตอบแทน สวัสดิการ หรือเพิ่มวันหยุด เป็นต้น อย่างไรก็ตามก่อนจะสร้างรายจ่ายของบริษัทให้เพิ่มขึ้น อาจจะต้องมีการใช้เทคนิคนิดหน่อย เช่นการให้โบนัสเพิ่มหากสามารถสร้างผลงานจากการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้ เป็นต้น

การสร้างแรงจูงใจให้พนักงานเป็นประเด็นที่บริษัทต้องใส่ใจเสมอ แต่ไม่ใช่แค่สร้างแรงจูงใจเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพในการทำงานเท่านั้น แต่หากไม่ทำอย่างสม่ำเสมอแล้วก็ยากที่จะได้รับความไว้วางใจจากพนักงาน ซึ่งหากไม่ได้รับความไว้วางใจจากพนักงานก็ยากที่จะคาดหวังเรื่องการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน

6. พัฒนาทักษะของพนักงาน

แม้ว่าจำนวนพนักงานจะเท่าเดิม แต่ถ้าพนักงานแต่ละคนมีทักษะการทำงานดีขึ้น ประสิทธิภาพการทำงานต่อชั่วโมงก็สูงขึ้นได้ วิธีการพัฒนาทักษะโดยทั่วไปน่าจะเป็นการสนับสนุนการสอบวัดระดับความสามารถ หรือการเรียนรู้เพิ่มเติม โดยวิธีเหล่านี้มีค่าจ่ายเช่นเดียวกับการสร้างแรงจูงใจ ดังนั้นการมีค่าใช้จ่ายสูงและต้องพิจารณาควบคู่กับผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นว่าคุ้มค่าไหม

การทบทวนเวิร์คโฟลว์และคู่มือการทำงานประจำวันก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยพัฒนาทักษะของพนักงาน แม้ในงานเดียวกัน หากลองทำงานในวิธีการที่แตกต่างออกไป วิธีนั้นอาจแสดงความสามารถที่ไม่เคยรู้มาก่อนก็เป็นไปได้ อาจมองไม่เห็นว่าจะไปเชื่อมโยงกับการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตยังไง แต่อีกประเด็นที่ควรคำนึงเสมอก็คือการวาง “รากฐาน” ของบริษัทให้แข็งแรง

7. แก้ปัญหาการขาดแคลนบุคคลากร

ผู้เขียนได้กล่าวไว้ด้านบนว่าควรที่จะคำนึงถึงขนาดที่เหมาะสมของบริษัท แต่หากมีบุคลากรไม่เพียงพอ อย่าว่าแต่การเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต แค่จะทำงานให้สำเร็จลุล่วงก็ยังยาก ญี่ปุ่นกำลังประสบปัญหาประชากรลดลงที่มีสาเหตุจากอัตราการเกิดต่ำและสังคมผู้สูงอายุ จึงทำให้ขาดแคลนแรงงานในทุกประเภทอุตสาหกรรม จึงทำให้การหาบุคลากรที่มีทักษะเหมาะสมกับที่ต้องการเป็นเรื่องยากขึ้นไปอีก ยิ่งธุรกิจที่ต้องใช้ทักษะขั้นสูงมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งมีแนวโน้มประสบปัญหามากขึ้นเท่านั้น

การรับสมัครบุคลากรต้องมีค่าใช้จ่าย แต่จากที่ผู้เขียนได้กล่าวไว้ในหัวข้อการพัฒนาทักษะของพนักงานว่า หากในบริษัทมีบุคคลากรที่มีทักษะดี ความสามารถในการผลิตก็จะดีขึ้น ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ก็น่าจะหาบุคลากรได้ยากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นจึงอาจจะควรรีบแก้ปัญหาเสียแต่เนิ่นๆ ดีกว่า

การเพิ่มผลผลิตนั้นไม่ใช่เวทมนต์ที่เสกกันง่ายๆ การวางแผนดำเนินการก็ไม่ได้เป็นตัวบอกความสำเร็จเช่นกัน หากแต่ว่าเราต้องเข้าใจโครงสร้างงานขององค์กรและลงมือปรับปรุงให้ตรงจุด แล้วคุณจะพบว่าแม้จะไม่มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ยอดนิยมหรือผลงานใหม่ๆออกมาก็ตาม แต่การแก้ไขจุดเล็กๆในองค์กรก็สามารถช่วยเพิ่มผลกำไรภายในบริษัทได้ไม่ยากเลย

เทคนิค \"เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน\" ให้สุดปัง! โดนใจเจ้านาย

เคล็ดลับการทำงานอย่างมืออาชีพ

หากเป็นคนหนึ่งที่อยากให้หัวหน้าประทับใจในผลงานและสนับสนุน หรืออยากให้เพื่อนร่วมงานยอมรับในความสามารถและช่วยเหลือสนับสนุน  หรืออยากประสบความสำเร็จในการทำงาน

โดยเคล็ดลับนี้ถอดบทเรียนมาจากประสบการณ์การทำงานในองค์กรทั้งในประเทศและต่างประเทศ และสอดคล้องกับหนังสือหรือคอร์สพัฒนาตนเองต่างๆ ที่ผู้เขียนศึกษามาเป็นเวลามากกว่า 10 ปี

1. มีเป้าหมายที่ชัดเจน

เมื่อท่านมีเป้าหมายที่ชัดเจนว่าท่านอยากให้ผู้อื่นมองว่าท่านเป็นคนอย่างไร และท่านเองอยากพัฒนาเป็นคนที่มีลักษณะอย่างไร เพื่อท่านจะเติบโตอย่างไร เช่น อยากให้ผู้อื่นมองว่าท่านเป็นคนขยัน กระตือรือร้น มีความสามารถ และสามารถสร้างผลงานตามที่ได้รับมอบหมายหรืออาสาเอง เพื่อท่านจะมีโอกาสเลื่อนตำแหน่ง ท่านก็จะกระตือรือร้น ตั้งใจทำงานอย่างเต็มศักยภาพ มองหาแต่หนทางในการทำงานให้สำเร็จ ไม่เสียเวลากับการคิดลบว่าทำไม่ได้ เป็นต้น

2. กระตือรือร้น

การกระตือรือร้นในงานที่เป็นกิจวัตร กระตือรือร้นในการทำสิ่งใหม่ๆ กระตือรือร้นในการทำงานที่ได้รับมอบหมาย มองว่าทุกงานที่ทำมีคุณค่า มีประโยชน์ทั้งต่อตนเอง (คือ ได้พัฒนาตนเองให้เก่งขึ้น ได้เรียนรู้) และต่อองค์กร (งานที่ทำเป็นจิ๊กซอว์อันหนึ่งที่ช่วยให้องค์กรประสบความสำเร็จ) พลังของความกระตือรือร้นนี้จะถ่ายทอดออกมาผ่านน้ำเสียง คำพูด ท่าทาง และการกระทำ เมื่อท่านกระตือรือร้นก็จะช่วยให้คนที่อยู่รอบๆ ตัวท่านกระตือรือร้นตาม และแน่นอน เมื่อท่านกระตือรือร้น ท่านจะทำงานได้เร็วขึ้น และมีประสิทธิภาพมากขึ้น

3. กล้าที่จะคิด ทำสิ่งใหม่ๆ (มี Growth Mindset)

เมื่อท่านมีเป้าหมายที่ชัดเจนและกระตือรือร้น ท่านก็จะอยากที่จะทำสิ่งใหม่ๆ และกล้าที่จะเรียนรู้ไปทำไปค่ะ ท่านจะคิดถึงแนวทางใหม่ๆ ในการทำงานเดิมให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น หรือเสนอไอเดียใหม่ๆ ให้กับหัวหน้าหรือเพื่อนร่วมงาน หรือคิดโปรเจกต์ใหม่และกล้าที่จะอาสาลงมือทำ และกล้าที่จะนำคนอื่นด้วย

เทคนิค \"เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน\" ให้สุดปัง! โดนใจเจ้านาย

 4. มีความรับผิดชอบ

การที่ท่านเป็นคนมีความรับผิดชอบ สามารถส่งมอบงานได้ตามที่ได้รับมอบหมาย หรือเหนือกว่าที่มอบหมาย และเสร็จในกรอบเวลาที่กำหนด จะช่วยให้หัวหน้าและทีมงานรู้สึกปลอดภัย สบายใจที่จะทำงานด้วย และมีความเชื่อถือไว้ใจท่าน  

 5. รักการเรียนรู้และพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา

การเรียนรู้และพัฒนาตนเองเป็นสิ่งสำคัญ เพราะทุกวันนี้มีความรู้และเทคโนโลยีใหม่ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา ท่านสามารถเรียนรู้ได้ทั้งความรู้ที่เป็นเชิงเทคนิคที่เกี่ยวกับงาน และเรียนรู้ทักษะต่างๆ จากผู้อื่น เช่น เรียนรู้การบริหารคน การบริหารงานจากหัวหน้าของท่าน เรียนรู้การขายและการจูงใจจากฝ่ายขาย หรือคนที่จูงใจเก่ง เป็นต้น นอกจากนี้ท่านสามารถเรียนรู้จากสิ่งที่ท่านทำ และมองว่าจะมีแนวทางในการพัฒนา/ปรับให้ดีขึ้นอย่างไร

6. มีทัศนคติที่ดี

ในแง่ของการเติบโต องค์กรมักเลือกคนที่มีทัศนคติที่ดีต่องาน ต่อเพื่อนร่วมงาน หัวหน้า และบริษัท เพราะคนที่มีทัศนคติที่ดีจะสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อื่น นำพาทีม และองค์กรเดินหน้าไปด้วยกัน ในด้านสำหรับตนเอง การที่ท่านมีทัศนคติที่ดีช่วยให้ท่านทำงานได้อย่างมีความสุข มีพลังปละความมุ่งมั่นที่จะทำงาน ท่านสามารถฝึกฝนการมีทัศนคติที่ดีได้ เช่น มองหาข้อดีที่ท่านเผชิญสถานการณ์ปัจจุบัน ข้อดีที่ท่านทำงานในองค์กรปัจจุบัน ข้อดีของงานที่ทำอยู่ ข้อดีของหัวหน้า และเพื่อนร่วมงาน เป็นต้น

7. มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีและทำงานเป็นทีม

เราไม่สามารถทำงานคนเดียวได้ค่ะ ต่อให้งานเราทำคนเดียว แต่เราก็ยังต้องมีการส่งต่องานให้ผู้อื่น หรือมีการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น หากเรามีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี มีทักษะในการสร้างสัมพันธ์กับผู้อื่น เช่น ยิ้ม ทักทายผู้อื่น พูดคุย ใส่ใจผู้อื่น เป็นผู้ฟังที่ดี และเชื่อมั่นว่าผู้อื่นมีศักยภาพ มีความสามารถ จะช่วยให้เพื่อนในองค์กรรักและไว้ใจท่าน และหากท่านขอความช่วยเหลือจากเขา หรือมีงานที่ทำร่วมกัน เขาก็จะช่วยเหลือท่านเป็นอย่างดี ทำให้ท่านทำงานได้ง่ายขึ้น

8. มีทักษะในการสื่อสารที่ดี

ความสามารถในการสื่อสารก็เป็นสิ่งสำคัญค่ะ หากเราสามารถฟังผู้อื่นได้ดี ฟังเพื่อที่จะเข้าใจความต้องการของเขา เข้าใจมุมมองเขา ไม่ฟังด้วยมุมมองของเรา หรือมีอคติในการฟัง หรือฟังไปคิดไปว่าเราจะหาเหตุผลอะไรมาแย้งเขาดี  จะช่วยให้เราเข้าใจเขา สามารถสื่อสาร หรือพูดในสิ่งที่ผู้ฟังต้องการ และจูงใจคู่สนทนาด้วยสิ่งที่เขาต้องการได้

9. มีการบริหารเวลา และวางแผน

ด้วยงานที่หลากหลาย งานแต่ละงานก็มีความสำคัญและความเร่งด่วนไม่เท่ากัน การบริหารเวลาก็เป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากท่านบริหารเวลา บริหารงานตามลำดับความสำคัญและความเร่งด่วน เห็นภาพที่สำเร็จของงานนั้นๆ แล้ววางแผนงานล่วงหน้า จะช่วยให้ท่านทำงานได้ดีขึ้น งานเสร็จตามเป้าหมายที่วางแผนไว้

เทคนิค \"เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน\" ให้สุดปัง! โดนใจเจ้านาย

4 ปัจจัยหลักๆ ควรนำมาปรับปรุงพัฒนาการทำงาน

1. โฟกัสงานที่ทำ

การทำงานแบบหลายๆอย่างในเวลาเดียวกันย่อมไม่ดีกับคุณเป็นแน่ เพราะสมองสามารถจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เพียงเวลาเดียว คนที่ทำงานแบบสลับไปมาระหว่างสองสิ่งที่ต่างกันย่อมมีปัญหาสภาวะทางอารมณ์ ขาดความกระตือรือร้นและเกิดข้อผิดพลาดบ่อยครั้ง ผลคือผลการปฏิบัติงานไม่ดีเท่าที่ควร

เลือกการทำงานโดยมุ่งให้ประสาทสัมผัสทั้งห้าและสมาธิของคุณทำงานให้สำเร็จลุล่วงไปได้ ลองใช้วิธีการด้านล่างนี้ช่วยเพิ่มสมาธิและประสิทธิภาพ

ลองวิธีการนี้ดู ลองปิดเสียงหรือการแจ้งเตือนของอุปกรณ์สื่อสารต่างๆไม่ว่าจะเป็นแท็บเล็ตหรือโทรศัพท์มือถือของคุณลงชั่วคราว อาจเปิดโหมด “ห้ามรบกวน” หรือ “ปิดเสียง”แทน เพื่อให้คุณสามารถตั้งใจทำงานใดทำงานหนึ่งจนจบโดยไม่มีสิ่งใดรบกวนได้ จะเริ่มสังเกตได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของประสิทธิภาพและจำนวนผลงาน

ทั้งคุณภาพ ประสิทธิผล และความสร้างสรรค์ในงานของคุณการทำงานแบบเน้นงานชิ้นในชิ้นหนึ่งช่วยให้คุณเพิ่มสมาธิและความตั้งใจได้ดียิ่งกว่าเดิม ช่วยให้สามารถค้นหาวิธีการและคิดหาวิธีการที่สร้างสรรค์หรือพบวิธีการใหม่ๆ อีกด้วย

2. เรื่องของสุขภาพกายและจิต

งานที่ดีที่สุด ย่อมมาจากจิตและกายที่ดีที่สุด ดังนั้น หากเหนื่อยล้าอยู่ ไม่มีทางสร้างงานที่ดีออกมาได้ การอดหลับอดนอนเพื่อทำงานย่อมไม่เป็นผลดีต่องานที่ออกมาอย่างแน่นอน ผลคือ ร่างกายและจิตใจอันเหนื่อยล้าของคุณจากน้ำตาลในเลือดที่ตกลงและการสัปงกในช่วงเวลาทำงาน ทำให้สมรรถนะในการทำงานของคุณเสื่อมถอยลง เมื่อคุณรู้สึกเหนื่อยล้า จงหาวิธีการปลุกเร้าตัวเองให้สดชื่นอยู่เสมอเพื่อช่วยรักษาระดับทัศนคติและลดข้อผิดพลาดในการทำงานให้น้อยลง

ดังนั้นหากงานคุณต้องนั่งทำงานเป็นระยะเวลานานหรือมีโอกาสที่คุณอาจจะเลิกงานช้า เทคนิคด้านล่างนี้จะช่วยให้ทำงานผ่านได้อย่างฉลุย

  • ตั้งเวลาพักให้แก่ตัวคุณเอง เพื่อที่คุณจะได้ไปยืดเส้นยืดสายผ่อนคลายเสียบ้าง ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดเข้าสู่สมองและช่วยให้สมองปลอดโปร่งมากยิ่งขึ้น
  • นอนหลับพักผ่อนให้ได้อย่างน้อยที่สุด 6 ชั่วโมง
  • หาเวลา งีบหลับ สั้นๆเป็นเวลา 20 นาที โดยเฉพาะหากคุณอดหลับอดนอนมาทั้งคืน
  • กินอาหารที่มีประโยชน์และให้ตรงเวลา
  • กินอาหารที่ให้พลังงานและมีประโยชน์ เช่น ดาร์คช็อคโกแล็ต ถั่ว บลูเบอรี่ ส้ม และปลา รวมถึงมะพร้าว
  • ดื่มน้ำให้สม่ำเสมอตลอดวัน
  • หากคุณขาดสมาธิ ลองใช้เวลาซัก 5 นาที กำหนดจิตการหายใจหรือนั่งสมาธิ
  • หากิจกรรมที่ชื่นชอบทำ สิ่งที่คุณชื่นชอบ ไม่ว่าจะเป็นการเดินเล่นในสวน การหัวเราะ การฟังเพลงหรือเล่นเครื่องดนตรีต่างๆ หลังจบการทำงาน

การพัฒนาสรรถนะในการทำงาน การแก้ปัญหาและการจัดการเวลา เมื่อสุขภาพกายและใจของคุณป่วยย่อมมีผลต่อการทำงาน การรักษาสุขภาพให้แข็งแรงเป็นสิ่งสำคัญต่อสมรรถนะการทำงานของคุณ คุณมีแนวโน้มที่จะทำงานได้ตามกำหนดเวลาและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น หากคุณสามารถมีสุขภาพกายและใจ  ที่สมบูรณ์เต็มที่

เทคนิค \"เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน\" ให้สุดปัง! โดนใจเจ้านาย

3. ทำงานในแต่ละวันให้เต็มที่

เพิ่มสมรรถนะในการทำงานของคุณผ่านการวางแผนในแต่ละวัน ระบุสิ่งที่คุณต้องทำในแต่ละวันถัดไปก่อนที่คุณจะนอนหรือเป็นสิ่งแรกในตอนเช้าเพื่อที่คุณจะได้ทำงานในวันนั้นๆได้อย่างเต็มที่ คิดถึงสิ่งทีคุณต้องการทำให้สำเร็จในแต่ละวันหรืองานอื่นๆที่ต้องการเวลาในการทำงานมากกว่าเดิม อย่าลืมหาเวลาในการพักทุกๆ 5 นาทีเพื่อที่คุณจะได้ทำสมองให้ปลอดโปร่งก่อนจะเริ่มงานถัดไป หากคุณติดขัดหรือคิดงานไม่ออก ลองหาเวลาไปเดินเล่นพักสมองซัก 10 นาที

หากวางแผนการทำงานมาเป็นอย่างดีแล้ว จะไม่เพียงแต่รู้สึกทำงานได้อย่างเต็มที่กับงานเพียงอย่างเดียวแต่เป็นการเต็มที่กับชีวิตอีกด้วย นอกเหนือจากการวางแผนการทำงานและยึดตามแผนให้สำเร็จ ยังมีเทคนิคดีๆที่ช่วยให้สามารถนำไปใช้เพื่อช่วยให้การทำงานในแต่ละวันดียิ่งขึ้น

  • บริหารจัดการอีเมลล์และจัดอันดับความสำคัญของงานโดยขึ้นกับความสำคัญและความเร่งด่วนมากกว่าการคำนวณเวลาในการจัดการงานให้เสร็จ
  • เรียนรู้ที่จะขอความช่วยเหลือและกำจัดงานที่ไม่มีความจำเป็นออก
  • กำหนดเวลาในการประชุมของคุณและงานแต่ละชิ้นเพื่อป้องกันการผิดเวลา
  • การวางแผนล่วงหน้าช่วยคุณประหยัดเวลาและลดความเหนื่อยลงรวมถึงการรวมงานที่มีลักษณะคล้ายๆไว้ด้วยกัน

สิ่งที่คุณจะได้พัฒนา นั่นคือ การบริหารเวลา ประสิทธิภาพในการทำงาน การทำงานเป็นทีม และทักษะความเป็นผู้นำ

4. เรียนรู้ที่จะทำงานร่วมกัน

การทำงานร่วมกันเป็นทีม เป็นทักษะที่จำเป็นในที่ทำงานเพราะว่าความสำเร็จของทีมก็คือความสำเร็จของคุณเช่นเดียวกัน การทำงานร่วมกันในทีมทำให้เกิดความคิดใหม่ๆและการทำงานที่รวดเร็วยิ่งขึ้นเพราะทุกคนมีเป้าหมายเดียวกันนั่นเอง

ดังนั้นจะทำอย่างไรให้คุณเป็นคนที่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างแรกเลยคือคุณต้องแน่ใจว่าได้ทำงานจนสุดความสามารถ ต่อมาคือการช่วยสนับสนุนทีมผ่านทักษะความสามารถหรือการวางแผนการใช้คน ส่วนที่สาม คือการเข้าใจถึงจุดอ่อนของตัวเองเพื่อที่คุณจะได้ขอความช่วยเหลือจากคนอื่นซึ่งมีความถนัดมากกว่า และส่วนท้ายแต่ไม่ท้ายสุด คือ การขอความช่วยเหลือและคำแนะนำต่างๆหากคุณไม่แน่ใจในงานที่ทำและเสนอตัวที่จะช่วยหากคุณทำได้ทันที

รูปแบบของการทำงานที่คุณจะได้รับการพัฒนา นั่นคือ ทักษาความเป็นผู้นำ ทักษะการสื่อสารและ การทำงานร่วมกันเป็นทีม  เมื่อได้ทำงานร่วมกัน คุณสามารถพัฒนาทักษะความฉลาดทางด้านอารมณ์ หรือที่เรียกกันว่า EQ ซึ่งช่วยให้คุณเข้าใจสิ่งที่ผู้อื่นคิด และเข้าถึงงานที่พวกเค้าดำเนินการอยู่ ทักษะความฉลาดทางอารมณ์นี้สำคัญเป็นอย่างมากหากคุณต้องการเป็นผู้นำและทำให้มีทักษะการสื่อสารที่ดีเยี่ยม

สมรรถนะในการทำงานของคุณเป็นสิ่งที่หัวหน้าและเพื่อนร่วมงานของคุณจะตัดสินคุณเป็นหลัก โดยขึ้นอยู่กับผลการปฏิบัติว่าทำได้มากน้อยเพียงใด การเข้าใจความคาดหวังถึงขีดความสามารถในงานของคุณจึงมีสำคัญเป็นอย่างมาก ถามเรื่องดังกล่าวเกี่ยวกับ KPI หรือรูปแบบการประเมินจากหัวหน้า คุณให้ชัดเจนเพื่อที่คุณจะสามารถปรับปรุงการการทำงานของคุณต่อไป ดังนั้นหากคุณอยากจะเป็นดาวรุ่งพุ่งแรง จงกระตือรือร้นในด้านการปรับปรุงการทำงานของตนเองอย่างสม่ำเสมอ

การบริหารเวลาในการทำงาน แต่ละวันจะช่วยให้คุณสามารถจัดสรรเวลาในการทำงานให้ดียิ่งขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการทำงาน เมื่อคุณจัดอันดับความสำคัญของงานคุณได้แล้ว คุณย่อมรู้สึกมั่นใจที่สามารถควบคุมเวลาและความเครียดได้ดีขึ้น โดยปกติแล้ว คุณจะรู้สึกมั่นใจถึงประสิทธิภาพในการทำงานและไว้วางใจได้ยิ่งกว่เดิม ซึ่งช่วยให้สะท้อนผลการทำงานของคุณให้ดียิ่งขึ้นไปอีก

อ้างอิง: HumanOS , Jobsdb , workwithpassiontraining