วอนภาคเอกชนใจเย็น 13 พ.ค.นี้ หารือค้านปรับขึ้นค่าแรงขึ้นต่ำ 400 บาท

วอนภาคเอกชนใจเย็น 13 พ.ค.นี้ หารือค้านปรับขึ้นค่าแรงขึ้นต่ำ 400 บาท

"ไพโรจน์" ปลัดก.แรงงาน ฝากภาคเอกชนใจเย็น พร้อมรับฟังความคิดเห็น ข้อเสนอแนะปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาททั่วประเทศ ทุกกิจการ ระบุหากธุรกิจใด กิจการไหน ได้รับผลกระทบ เตรียมหารือ ช่วยเหลือ 1 ต.ค.นี้ ดูว่ากิจการใดพร้อมปรับขึ้น

KEY

POINTS

  • 13 พ.ค.นี้ พิจารณาข้อเสนอแนะค้านปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท ทั่วประเทศ ทุกกิจการ เล็งกิจการไหนพร้อมปรับขึ้น กิจการไหนไม่พร้อมเตรียมเข้าช่วยเหลือ
  • การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ต้องปรับไปตามภาวะของเศรษฐกิจในพื้นที่ และความต้องการของตลาดแรงงานในแต่ละจังหวัด
  • การขึ้นค่าแรงทันที อาจเป็นการแก้ปัญหาหนึ่งแต่ไปสร้างปัญหาใหม่ ฉะนั้น สิ่งที่รัฐบาลจะทำได้ทันทีโดยไม่สร้างผลกระทบใคร คือ มาตรการลดค่าครองชีพ

จากกรณีที่มี 76 หอการค้า และ 53 สมาคมการค้า ค้านขึ้นค่าแรง 400 บาททั่วประเทศ  เนื่องจากการขึ้นค่าแรงดังกล่าว ถือว่า เกินกว่าพื้นฐานสภาพความเป็นจริงทางเศรษฐกิจและสังคม จะส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศทันทีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยจะมีการรวบรวมความเห็นจากสมาคมการค้าส่งให้รมว.แรงงาน วันที่ 13 พ.ค.นี้  

นายไพโรจน์ โชติกเสถียร ปลัดกระทรวงแรงงาน และประธานการประชุมคณะกรรมการค่าจ้าง ชุดที่ 22 กล่าวว่า ทางกระทรวงแรงงาน และคณะกรรมการค่าจ้าง ชุดที่ 22 ยินดีรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน ซึ่งกลุ่มภาคเอกชนที่ไม่เห็นด้วยกับการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท ทั่วประเทศ ทุกกิจการนั้น ต้องมาพิจารณาว่าข้อเสนอหรือประเด็นอะไรบ้าง และต้องแยกตามประเภทกิจการ ว่ากิจการประเภทไหนพร้อมปรับขึ้นค่าแรง/ไม่ปรับขึ้น หรือมีปัญหาในเรื่องนี้ โดยในวันที่ 13 พ.ค.นี้ จะพิจารณาข้อเสนอทั้งหมด ดังนั้น อยากให้ทุกภาคเอกชนใจเย็น รอผลการพิจารณาว่าจะดำเนินการเช่นใด

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

‘เอกชน’ทั่วประเทศลั่นจุดยืน ค้านรัฐบาลขึ้นค่าแรง400บาท

ประกาศชัด!! 1 ต.ค.2567 ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400บาท/วัน ทุกอาชีพทั่วไทย

ยินดีรับฟังความคิดเห็นทุกภาคส่วน ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ

“การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท ทั่วประเทศ ทุกกิจการ ในวันที่ 1 ต.ค.2567 นี้ หากมีภาคเอกชน หรือผู้ประกอบการกลุ่มใดไม่เห็นด้วย หรือมีข้อเสนอแนะอย่างไร ทางคณะกรรมการค่าจ้างฯ พร้อมรับฟังความคิดเห็น และดูผลกระทบที่เกิดขึ้นในแต่ละกิจการ ซึ่งหากธุรกิจ SMEs ใดยังไม่พร้อม ต้องได้รับการช่วยเหลือก็ต้องดูความเหมาะสม และความพร้อมของแต่ละกิจการร่วมด้วย”ปลัดก.แรงงาน กล่าว

ด้าน รศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย  อธิการบดี มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ระบุว่า การปรับค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท ทั่วประเทศ จะเป็นการกระชาก ค่าจ้างสูงขึ้นไป จากนโยบายจากการหาเสียง ไม่ใช่ปรับค่าแรงตามกลไกที่ควรจะเป็น ซึ่งจะเป็นการซ้ำเติมผู้ประกอบการและเศรษฐกิจประเทศเหมือนกับการกระชากปรับขึ้นค่าแรง 300 บาททั่วประเทศ เมื่อปี 54

ทั้งนี้ บทพิสูจน์ออกมาชัดเจนว่า การปรับค่าแรงขั้นต่ำตามสภาพเศรษฐกิจ การตกลงระหว่างรัฐ แรงงานและนายจ้าง เห็นพ้องต้องกันว่าปรับไปตามภาวะของเศรษฐกิจในพื้นที่ และความต้องการของตลาดแรงงานในแต่ละจังหวัด นี่คือหลักการ ดังนั้นการปรับค่าแรงขั้นต่ำเป็น 400 บาท เท่ากันทั่วประเทศอีกหนึ่งครั้ง คือการกระชากด้วยนโยบายของการหาเสียง ไม่ใช่เป็นหลักธรรมชาติของการปรับไปตามกลไกลทางธุรกิจ หรือการจ้างงานที่ควรจะเป็น

ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ แก้ปัญหาหนึ่งสร้างอีกปัญหาหนึ่ง

ขณะที่ นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่านโยบายค่าแรงขั้นต่ำทันที 400 บาท ส่งผลให้ผู้ประกอบการมีความกังวลต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้รัฐบาลผสม ที่อาจทำให้การขับเคลื่อนนโยบายต่างๆ ขาดความเป็นเอกภาพ อีกทั้ง ยังกังวลนโยบายของรัฐบาลใหม่ที่อาจส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิต อาทิ การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ และนโยบายด้านพลังงานที่เป็นการปรับลดลงและช่วยได้ในระยะสั้น แต่ยังไม่มีการพูดถึงเรื่องการปรับโครงสร้างพลังงานของประเทศ

ทั้งนี้ การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท ทั่วประเทศทุกกิจการ ต้องพิจารณาให้รอบคอบ ซึ่งหากขึ้น400 บาททันที ลูกจ้างดีใจ แต่ผู้ประกอบการที่ธุรกิจยังไม่ฟื้นตัวต้องมีต้นทุนการจ้างที่เพิ่มขึ้นกว่า 30% สุดท้ายอาจนำไปสู่การเลิกกิจการและเลิกจ้าง การขึ้นค่าแรงทันทีจึงเป็นการแก้ปัญหาหนึ่งแต่ไปสร้างปัญหาใหม่ ฉะนั้น สิ่งที่รัฐบาลจะทำได้ทันทีโดยไม่สร้างผลกระทบใคร คือ มาตรการลดค่าครองชีพ เพื่อเพิ่มเงินในกระเป๋าและเพิ่มกำลังซื้อของผู้บริโภค รวมทั้งการใช้มาตรการเติมเม็ดเงินเข้าสู่ระบบให้เกิดการกระตุ้นการใช้จ่าย อาทิ นโยบายดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท

4 ข้อเสนอต่อนโยบายปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำของรัฐบาล

สำหรับข้อเสนอของหอการค้าทั่วประเทศ และสมาคมการค้าที่ใช้แรงงานเข้มข้น มี 4 ข้อเสนอต่อนโยบายการปรับอัตราค่าแรงขั้นต่ำของรัฐบาล ประกอบด้วย 1. การปรับอัตราค่าแรงขั้นต่ำประจำปีควรปรับตามที่กฎหมายบัญญัติกำหนดไว้ในมาตรา 87 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ส่วนการยกระดับรายได้ลูกจ้างให้สูงขึ้น ก็สามารถทำได้โดยกำหนดอัตราค่าแรงตามมาตรฐานฝีมือแรงงาน ซึ่งกฎหมายบัญญัติกำหนดไว้แล้วเช่นกัน

2. ไม่เห็นด้วยกับการปรับค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาทเท่ากันทั่วประเทศ โดยไม่คำนึงถึงผลการศึกษาและการรับฟังความคิดเห็นข้อเสนอแนะจากคณะอนุกรรมการพิจารณาอัตราค่าแรงขั้นต่ำจังหวัด และคณะกรรมการค่าจ้าง (ไตรภาคี) อีกทั้ง ปัจจุบัน รัฐบาลได้ดำเนินการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำประจำปี 2567 ไปแล้ว 2 ครั้ง จึงไม่ควรมีการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำประจำปีเป็นครั้งที่ 3

3. อัตราค่าแรงขั้นต่ำเป็นเพียงอัตราค่าจ้างของแรงงานแรกเข้าที่ยังไม่มีฝีมือ แต่การปรับอัตราจ้างควรพิจารณาจากทักษะฝีมือแรงงาน ตามประกาศคณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน

ดังนั้น รัฐบาลควรเร่งส่งเสริมมาตรการทางภาษี ลดอุปสรรคต่อการพัฒนาฝีมือแรงงาน เพื่อจูงใจให้ผู้ประกอบการและแรงงาน ให้ความสำคัญกับการ UP-Skill & Re-Skill และ New Skill เพื่อสร้างแรงงานที่มีทักษะฝีมือให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน และเพิ่มผลิตภาพแรงงาน (Labor Productivity)

4.การปรับอัตราค่าแรงขั้นต่ำเฉพาะพื้นที่จังหวัดและประเภทธุรกิจ ควรให้มีการรับฟังความคิดเห็น และศึกษาถึงความพร้อมของแต่ละพื้นที่จังหวัดและประเภทธุรกิจ รวมทั้งควรให้มีการหารือร่วมกับภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง เพื่อทำความเข้าใจก่อนปรับอัตราค่าแรงขั้นต่ำเฉพาะพื้นที่จังหวัดและประเภทธุรกิจ ดังกล่าว