16 คำถาม "ไวรัสมาร์บวร์ก" ติดต่อยังไง อันตรายแค่ไหน ควรกังวลหรือไม่

16 คำถาม "ไวรัสมาร์บวร์ก" ติดต่อยังไง อันตรายแค่ไหน ควรกังวลหรือไม่

ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ ตอบ 16 คำถาม เกี่ยวกับ "ไวรัสมาร์บวร์ก" ติดต่อยังไง อันตรายแค่ไหน ควรกังวลหรือไม่ ป้องกันการติดเชื้อได้อย่างไร เช็กรายละเอียดที่นี่

เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล โพสต์เฟซบุ๊ก Center for Medical Genomics ถึงเรื่อง ที่ประชาชนสอบถามศูนย์จีโนมฯเกี่ยวกับ "ไวรัสมาร์บวร์ก" จำนวน 16 คำถาม โดยระบุว่า

1.ไวรัสมาร์บวร์กเป็นไวรัสประเภทใด อันตรายแต่ไหน ควรกังวลหรือไม่

ไวรัสมาร์บวร์ก เป็นอาร์เอ็นเอไวรัสรูปร่างเป็นแท่งสายยาวคล้ายถั่วงอก มีจีโนมขนาด 19,000 bp ประกอบด้วย 7 ยีนสำคัญ 3′-UTR-NP-VP35-VP40-GP1-GP2-VP30-VP24-L-5′-UTR มีขนาดเล็กกว่าไวรัสโคโรนา 2019 ซึ่งเป็นทรงกลมคล้ายผลทุเรียน มีจีโนมขนาด 30,000 bp ประกอบด้วย 13-15 ยีน

มีการติดเชื้อได้ง่ายจากการสัมผัสสารคัดหลั่งจากผู้ติดเชื้อ แต่โคโรนา 2019 แพร่เชื้อได้ดีกว่าเพราะสามารถแพร่ติดต่อทางอากาศได้ ไวรัสมาร์บวร์กมีอัตราการเสียชีวิตสูงถึง 88% อยู่ในตระกูล "ฟิโลวิริแด (Filoviridae)" เช่นเดียวกับไวรัสอีโบลา ที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดี ไวรัสมาร์บวร์ก ทำให้เกิดไข้เลือดออกรุนแรงในมนุษย์ และลิงหลายประเภท เป็นโรคที่เป็นภัยคุกคามถึงชีวิต

16 คำถาม \"ไวรัสมาร์บวร์ก\" ติดต่อยังไง อันตรายแค่ไหน ควรกังวลหรือไม่

ข่าวที่เกี่ยวข้อง :

• ไวรัสมาร์บวร์ก มีระยะฟักตัว 2-12 วัน หากติดเชื้อในพื้นที่ห่างไกลที่ขาดอุปกรณ์ในการรักษา อัตราการเสียชีวิตอาจสูงถึง 90% หากมีการติดเชื้อรุนแรงมักเสียชีวิตวันที่ 8 หรือวันที่ 9 หลังจากมีอาการ เนื่องจากการเสียเลือดและตกเลือดภายในอย่างรุนแรง อวัยวะหลายส่วนเกิดการทำงานล้มเหลว

• สามารถแสดงอาการอย่าง "ฉับพลัน" เริ่มจากมีไข้สูง ปวดศีรษะรุนแรง หนาวสั่น ไม่สบายตัว ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อและเป็นตะคริว โดยอาจรวมถึงดีซ่าน คลื่นไส้ ปวดท้อง และท้องเสีย

• จากนั้นอาจพบผื่นที่ไม่มีอาการปรากฏบริเวณหน้าอก หลัง หรือท้องในวันที่ 5

การวินิจฉัยโรคมาร์บวร์กในระยะแรกจากอาการ "เป็นเรื่องยาก" เนื่องจากมีอาการหลายอย่างคล้ายกับโรคติดเชื้อประเภทอื่น เช่น มาลาเรีย ไข้ไทฟอยด์ และอีโบลา ปัจจุบันสามารถตรวจวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติยืนยันการติดเชื้อได้อย่างถูกต้องและรวดเร็วด้วยเทคนิค RT-PCR

• ยังไม่มีวัคซีนหรือยาต้านไวรัสที่ได้รับอนุญาตให้ใช้รักษาผู้ติดเชื้อไวรัสมาร์บวร์กเป็นการเฉพาะ ดังนั้นเมื่อพบผู้ติดเชื้อจึงต้องรีบแยกผู้ติดเชื้อออกจากชุมชน เช่นแยกไปรักษาที่เต้นสนามเพื่อมิให้แพร่เชื้อต่อผู้อื่น การรักษาเป็นแบบประคับประคองตามอาการอันสามารถเพิ่มอัตราการรอดชีวิตได้ เช่น การให้น้ำกลับคืนด้วยสารน้ำทางปากหรือทางหลอดเลือดดำ การรักษาระดับออกซิเจน การใช้ยาบำบัดตามอาการที่เกิดขึ้น

• องค์การอนามัยโลกบรรยาย ลักษณะการติดเชื้อไวรัสมาร์บวร์กที่รุนแรงหลังวันที่ 5 ของผู้ป่วยติดเชื้อมีลักษณะคล้ายผี (Ghost-like) ด้วยลักษณะดวงตากลวงลึก(เนื่องจากเสียน้ำ) ใบหน้าซีด (เนื่องจากเสียเลือด) ไร้ความรู้สึก มีอาการหมดเรี่ยวแรงและง่วงนอนตลอดเวลา

2. ไวรัสมาร์บวร์ก พบครั้งแรกเมื่อไร

ไวรัสถูกค้นพบครั้งแรกในปี พ.ศ. 2510 หรือเมื่อ 56 ปีมาแล้ว โดยเกิดการระบาดในหมู่พนักงานห้องแล็บชีวภาพในเมืองมาร์บวร์ก ประเทศเยอรมัน โดยมีการติดเชื้อไวรัสจากลิงเขียวแอฟริกัน (African green monkey) ซึ่งนำเข้ามาจากยูกันดา ซึ่งเชื่อว่าไวรัสมาร์บวร์กอุบัติขึ้นและแพร่ระบาดในลิงมานานแล้วตามธรรมชาติ
 

3.ไวรัสมาร์บวร์ก เป็นดีเอ็นเอ หรืออาร์เอ็นเอไวรัส

ไวรัสมาร์บวร์ก เป็นไวรัสอาร์เอ็นเอ สายเนกาทีฟ มีแนวโน้มที่จะมีอัตราการกลายพันธุ์ที่สูงกว่าดีเอ็นเอไวรัสเนื่องจากเอนไซม์ของไวรัสมาร์บวร์กควบคุมการสร้างสายจีโนมของไวรัสรุ่นลูกและรุ่นหลานหละหลวม การมีอัตราการกลายพันธุ์สูงส่งผลให้เกิดไวรัสกลายพันธุ์เป็นไวรัสสายพันธุ์ใหม่เมื่อเวลาผ่านไป

อัตราการกลายพันธุ์ที่สูงขึ้นนี้อาจทำให้การพัฒนาวัคซีนที่มีประสิทธิภาพอยากลำบากเนื่องจากพัฒนาและผลิตวัคซีนตามการกลายพันธุ์ของไวรัสไม่ทัน

"ไวรัสมาร์บวร์ก" ในฐานะที่เป็นอาร์เอ็นเอไวรัสจะมีอัตราการกลายพันธุ์ที่สูงกว่าดีเอ็นเอไวรัสบางชนิด เช่น ไวรัสเริมหรือไวรัสฮิวแมนแพปิโลมาที่ติดต่อในมนุษย์ อย่างไรก็ตามไม่สามารถเปรียบเทียบอัตราการกลายพันธุ์ระหว่างไวรัสมาร์บวร์กกับไวรัสโคโรนา 2019 ได้โดยตรง เนื่องจากเป็นไวรัสที่มีลักษณะเฉพาะแตกต่างกัน

 

4. ไวรัสมาร์บวร์กแพร่ติดต่ออย่างไร

ไวรัสติดต่อสู่มนุษย์ผ่านการสัมผัสกับของเหลวในร่างกายของสัตว์เลือดอุ่นที่ติดเชื้อ เช่น ค้างคาว ลิง หมู ฯลฯ หรือระหว่างคนสู่คนจากการสัมผัสกับเลือด น้ำอสุจิ หรือของเหลวในร่างกายของผู้ที่ติดเชื้อ ไวรัสยังสามารถติดต่อมาสู่คนผ่านการสัมผัสกับพื้นผิวที่ปนเปื้อนสารคัดหลั่ง เช่น อุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่นถุงมือ หรือเครื่องนอน

 

5. การรักษาโรคติดเชื้อไวรัสมาร์บวร์กดำเนินการอย่างไร

ยังไม่มีวัคซีนป้องกันและยารักษาเป็นการเฉพาะ มีอัตราการเสียชีวิตของผู้ติดเชื้อสูงถึง 88% การรักษาจึงเป็นแบบประคับประคอง เช่น การให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำและการเปลี่ยนอิเล็กโทรไลต์ ตลอดจนการจัดการกับภาวะแทรกซ้อนใดๆที่เกิดขึ้น

 

6. ป้องกันการติดเชื้อไวรัสมาร์บวร์กอย่างไร

หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสัตว์หรือคนที่ติดเชื้อ บุคลากรทางการแพทย์ที่ต้องสัมผัสผู้ติดเชื้อต้องใส่อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลอย่างครบถ้วน เช่น ถุงมือ หน้ากาก แว่นตา และชุดคลุม อย่างรัดกุม

 

7. อาวุธชีวภาพ

เนื่องจากไวรัสมาร์บวร์กก่อให้เกิดการเสียชีวิตสูงในอัตราสูง และแพร่เชื้อจากคนสู่คนง่ายดายทางศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา (CDC) จึงจัดให้ไวรัสมาร์บวร์กอยู่ในการควบคุมเพราะสามารถถูกใช้เป็นอาวุธชีวภาพได้ (bioterrorism agent) ถือเป็นภัยคุกคามด้านสาธารณสุขที่สำคัญ

 

8. มีวัคซีนป้องกันการติดเชื้อไวรัสมาร์บวร์กหรือไม่

ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ในมนุษย์เพื่อป้องกันหรือรักษาโรคติดเชื้อไวรัสมาร์บวร์ก อย่างไรก็ตามมีวัคซีนหลายประเภทที่อยู่ในช่วงการพัฒนาและทดสอบกับเซลล์ในห้องทดลองหรือในสัตว์ เช่นวัคซีนเชื้อตาย วัคซีนที่ใช้ไวรัสเป็นพาหะ และวัคซีนเอ็มอาร์เอ็นเอ (mRNA)
แม้ว่าวัคซีนเหล่านี้ได้แสดงให้เห็นถึงแสงสว่างปลายอุโมงค์ แต่ก็ยังจำเป็นต้องผ่านการทดสอบเพิ่มเติมเพื่อแสดงให้เห็นชัดเจนถึงความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการใช้ในมนุษย์

 

9. มียาต้านไวรัสมาร์บวร์กหรือไม่

ปัจจุบันไม่มียาต้านไวรัสซึ่งได้รับการอนุมัติโดยเฉพาะสำหรับการรักษาการติดเชื้อไวรัสมาร์บวร์ก อย่างไรก็ตามมียาต้านไวรัสหลายตัวที่ออกฤทธิ์ต้านไวรัสมาร์บวร์กในห้องปฏิบัติการและในสัตว์ทดลอง

หนึ่งในยาต้านไวรัสที่อาจมาใช้รักษาโรคติดเชื้อไวรัสมาร์บวร์กคือยา “เรมเดซิเวียร์” ซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพในการยับยั้งการเพิ่มจำนวนของอาร์เอ็นเอไวรัส เช่นไวรัสไข้หวัดใหญ่ ไวรัสโคโรนา 2019 รวมทั้งไวรัสอีโบลาในการศึกษากับเซลล์ในห้องปฏิบัติการและในสัตว์ทดลอง

ยาต้านไวรัสฟาวิพิราเวียร์ (favipiravir) ซึ่งเป็นยาต้านไวรัสได้หลายประเภท(broad spectrum) เช่นใช้รักษาไข้หวัดใหญ่และไวรัสโคโรนา 2019 ในบางประเทศ พบว่าฟาวิพิราเวียร์สามารถยับยั้งการเพิ่มจำนวนของไวรัสมาร์บวร์กได้ในหลอดทดลองได้

นอกจากนี้ โมโนโคลนอลแอนติบอดียังแสดงให้เห็นว่าเป็นทางเลือกในการรักษาสำหรับการติดเชื้อไวรัสมาร์บวร์ก โมโนโคลนอลแอนติบอดีเป็นสารชีวโมเลกุลที่ผลิตขึ้นในห้องปฏิบัติการ เลียนแบบความสามารถของแอนติบอดีที่ระบบภูมิคุ้มกันสร้างขึ้นเพื่อต่อสู้กับไวรัสตามธรรมชาติ โดยจะเข้าจับกับโปรตีนส่วนหนามของไวรัสอย่างเฉพาะเจาะจง โมโนโคลนอลแอนติบอดีหลายตัวได้รับการพัฒนาขึ้นต่อเป้าหมายสำคัญของไวรัสมาร์บวร์ก โดยแสดงให้เห็นว่ามีประสิทธิภาพในการยับยั้งไวรัสเพิ่มจำนวนในเซลล์ในหลอดทดลองและในสัตว์ทดลอง

 

10. เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสมาร์บวร์กในงานศพเกิดได้อย่างไร

ในอดีตมีการระบาดหลายครั้งของไวรัสมาร์บวร์กซึ่งเชื่อมโยงกับพิธีกรรมงานศพในแอฟริกา คาดว่าไวรัสนี้ติดต่อผ่านการสัมผัสโดยตรงกับของเหลวในร่างกายของผู้เสียชีวิต อาทิ เลือด น้ำลาย อาเจียน ปัสสาวะ และอุจจาระ ในระหว่างพิธีกรรมงานศพตามประเพณี ผู้ร่วมไว้อาลัยอาจสัมผัสใกล้ชิดกับร่างของผู้เสียชีวิต ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงในการแพร่เชื้อไวรัส
 

11. การถอดรหัสพันธุกรรมไวรัสมาร์บวร์ก ทั้งจีโนมจะมีประโยชน์หรือไม่

การถอดรหัสจีโนมทั้งหมดของไวรัสมาร์บวร์ก สามารถให้ข้อมูลที่มีประโยชน์ ได้แก่ :

  • ช่วยเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในการระบุพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงและใช้มาตรการที่มีประสิทธิภาพเพื่อป้องกันการระบาดได้ทันต่อเหตุการณ์
  • บ่งชี้ยีนและโปรตีนเป้าหมายที่เราควรพัฒนายาเข้ามายับยั้งเพื่อยุติการแพร่กระจายของไวรัสมาร์บวร์ก
  • ให้ข้อมูลเชิงลึกอันมีค่าเกี่ยวกับชีววิทยาของไวรัสและการมีปฏิสัมพันธ์กับโฮสต์(มนุษย์) ซึ่งสามารถนำมาใช้ในการพัฒนาวิธีการรักษาและการป้องกันแบบใหม่


12. การตรวจไวรัสมาร์บวร์กในแหล่งน้ำเสียมีประโยชน์อย่างไร

การตรวจหาไวรัสมาร์บวร์ก จากน้ำเสียใกล้ชุมชนสามารถใช้เตือนล่วงหน้าถึงการระบาดหรือการปรากฏตัวของผู้ติดเชื้อภายในชุมชน แม้กระทั่งก่อนที่พวกเขาจะแสดงอาการหรือเจ็บป่วยต้องพบแพทย์และเข้ารักษาตัวใน ร.พ

ในกรณีของไวรัสมาร์บวร์กมีการพิสูจน์แล้วว่าไวรัสสามารถปะปนออกมาในอุจจาระและปัสสาวะของผู้ติดเชื้อ โดยตรวจพบอนุภาคของไวรัสเหล่านี้ในตัวอย่างน้ำเสีย ตัวอย่างเหล่านี้จะถูกตรวจกรองด้วยวิธีการทางชีวโมเลกุล เช่น RT-PCR หรือ LAMP เพื่อตรวจหาสารพันธุกรรมของไวรัส รวมทั้งการถอดรหัสพันธุกรรมบางส่วนของจีโนมเพื่อบ่งชี้สายพันธุ์

 

13. ไวรัสมาร์บวร์กสามารถแพร่ติดต่อทางอากาศ (airborne) ได้หรือไม่

ไม่มีหลักฐานว่าไวรัสมาร์บวร์ก สามารถแพร่ผ่านทางอากาศได้ ไวรัสมาร์บวร์ก ส่วนใหญ่ติดต่อผ่านการสัมผัสโดยตรงกับของเหลวในร่างกายของผู้ติดเชื้อ เช่น เลือด น้ำลาย อาเจียน ปัสสาวะ และอุจจาระ ไวรัสสามารถติดต่อผ่านการสัมผัสกับพื้นผิวหรือวัตถุที่ปนเปื้อน เช่น อุปกรณ์ทางการแพทย์หรือเครื่องนอน

 

14. ไวรัสมาร์บวร์กมีค่า R-naught เท่าไร

R₀ (อ่านว่า "R-naught") เป็นคำศัพท์ทางคณิตศาสตร์ที่ใช้อธิบายจำนวนเฉลี่ยของคนที่จะติดโรคจากผู้ติดเชื้อ 1 คนในกลุ่มประชากรที่ไม่มีภูมิคุ้มกันต่อโรค

ค่าที่แน่นอนของ R₀ สำหรับไวรัสมาร์บวร์ก ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด เนื่องจากมีการแพร่ระบาดของไวรัสค่อนข้างน้อย อย่างไรก็ตามคาดว่าค่า R₀ ของไวรัสมาร์บวร์ก น่าจะอยู่ในช่วงระหว่าง 1.5 - 3.5 ซึ่งหมายความว่าผู้ติดเชื้อแต่ละคนมีแนวโน้มที่จะแพร่เชื้อไวรัสไปยังผู้อื่นระหว่าง 1.5 ถึง 3.5 คนในกลุ่มประชากรที่ไม่มีภูมิคุ้มกัน

 

15. ใช้ข้อมูลจากโซเชียลมีเดียช่วยตรวจสอบการแพร่ระบาดของไวรัสได้หรือไม่?

โซเชียลมีเดียอาจเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการติดตามและตอบสนองต่อการระบาดของโรคติดเชื้อ รวมถึงไวรัสมาร์บวร์ก บุคคลมักจะใช้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเพื่อแบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับสถานะสุขภาพและอาการใดๆ ที่พวกเขากำลังประสบอยู่ หน่วยงานด้านสาธารณสุขสามารถใช้ข้อมูลนี้เพื่อตรวจหาการระบาดที่อาจเกิดขึ้นและเพื่อเป็นแนวทางในการตอบสนอง

ตัวอย่างการใช้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเช่น Twitter และ Facebook ในอดีตเพื่อติดตามการแพร่กระจายของโรคติดเชื้อ เช่น ไวรัสซิกาและไวรัสอีโบลา นักวิจัยได้ใช้ข้อมูลโซเชียลมีเดียเพื่อติดตามการแพร่กระจายทางภูมิศาสตร์ของไวรัส เพื่อระบุกลุ่มประชากรที่มีความเสี่ยง และเพื่อตรวจหาการระบาดที่อาจเกิดขึ้นก่อนที่จะแพร่ระบาด

 

16. ทำไมไวรัสนี้จึงตั้งชื่อตามเมืองในเยอรมนี

ไวรัสมาร์บวร์ก ได้รับการตั้งชื่อตามเมืองมาร์บวร์ก ในเยอรมนี เนื่องจากพบการระบาดครั้งแรกในเมืองนี้เมื่อปี 2510 จากบรรดาเจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการที่ดูแลลิงเขียวจากแอฟริกันจำนวน 31 ราย และ 7 รายในจำนวนนี้เสียชีวิต โดยมีอัตราการเสียชีวิตประมาณ 23% เช่นเดียวกับไวรัสอีโบลาได้รับการตั้งชื่อตามแม่น้ำอีโบลาในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ซึ่งเป็นที่ที่พบไวรัสเป็นครั้งแรก ในทำนองเดียวกันไวรัสซิกาได้รับการตั้งชื่อตามป่าซิกาในยูกันดา ซึ่งเป็นที่ที่แยกไวรัสได้เป็นครั้งแรก

 

16 คำถาม \"ไวรัสมาร์บวร์ก\" ติดต่อยังไง อันตรายแค่ไหน ควรกังวลหรือไม่