คร.เผยไทยยังไม่พบ "ฝีดาษลิง" ติดในประเทศ

คร.เผยไทยยังไม่พบ "ฝีดาษลิง" ติดในประเทศ

คร.เผยไทยยังไม่พบติดฝีดาษลิงในประเทศ ยืนยัน1รายติดมาจากต่างประเทศ ย้ำมาตรการไทยเข้มคัดกรองทั้งคน-สัตว์เข้ามาจากประเทศพื้นที่ระบาด

เมื่อวันที่ 24 ส.ค.2567 ที่ จ.สุโขทัย  นพ.ธงชัย กีรติหัตถยากร อธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการพบผู้ป่วยฝีดาษวานร หรือ ฝีดาษลิง ชายชาวยุโรปอายุ 66 ปี ที่เป็นสายพันธุ์ เคลด1บี รายแรกของประเทศไทยว่า ผู้ป่วยอาการดีขึ้นอย่างมาก แต่ยังต้องติดตามให้ครบ 21 วัน ส่วนผู้สัมผัสใกล้ชิด 43 ราย  ทุกคนไม่มีอาการ ไม่มีไข้ แม้กระทั่งภรรยาที่มีความใกล้ชิดที่สุด ได้มีการเก็บตัวอย่างตรวจหาเชื้อ ก็ไม่พบการติดเชื้อ แต่จะต้องมีการติดตามตลอดเวลาจนกว่าจะครบ 21 วัน ตั้งแต่วันที่สัมผัสกับผู้ป่วยต่อไป
"ย้ำว่าผู้ป่วยที่ยืนยัน ฝีดาษวานร เคลด 1บี ที่ไทยตรวจเจอ ไม่ใช่เป็นการติดเชื้อในประเทศไทย แต่เป็นการติดเชื้อจากต่างประเทศ เพราะเดินทางมาจากประเทศที่มีการระบาดของเคลด 1บี การที่เราพบเร็วตรวจได้เร็วและสามารถหาผู้สัมผัสได้เร็ว เป็นสิ่งที่ทำให้เราควบคุมป้องกันโรคได้ และการให้ข้อมูลข่าวสารกับประชาชนที่เร็ว ก็ทำให้ประชาชนให้ความร่วมมือในการควบคุมป้องกันโรคได้"นพ.ธงชัยกล่าว

ถามว่าจำเป็นที่จะต้องฉีดวัคซีนฝีดาษเพื่อป้องกันหรือไม่  นพ.ธงชัยกล่าวว่า อาจารย์หลายๆ ท่านแนะนำว่าไม่ต้องฉีด กลุ่มที่ควรฉีดคือ

1.คนที่เดินทางไปประเทศที่มีการระบาด 

2.กลุ่มที่สัมผัสกับคนใกล้ชิดที่มาจากประเทศที่มีการระบาด เช่น ทำธุรกิจ Sex Worker หากหลีกเลี่ยงที่จะมีเพศสัมพันธ์หรือใกล้ชิดไม่ได้ก็ควรจะฉีด

คร.เผยไทยยังไม่พบ \"ฝีดาษลิง\" ติดในประเทศ

ส่วนคนที่เคยฉีดวัคซีนฝีดาษ (Smallpox) หรือที่เรียกว่าปลูกฝี ที่ให้กับคนที่เกิดก่อนปี 2523นั้น ไม่จำเป็นต้องฉีดกระตุ้น เพราะร่างกายเคยรับไปแล้วก็เหมือนมีโรงงาน แม้จะลดสายการผลิตลงเหมือนภูมิคุ้มกันต่ำลง แต่หากมีเชื้อเข้ามาก็สามารถผลิตภูมิคุ้มกันมาต่อสู้ได้เลย คนที่เคยฉีดแล้วจะมีลักษณะแผลเป็นจากการปลูกฝีที่ต้นแขนส่วนใหญ่ แต่บางคนช่วงหลังๆ ใกล้ปี 2523 ก็จะไปปลูกจุดอื่น เช่น หน้าขา สะโพก เป็นต้น

ถามถึงที่มีการพูดกันว่ายอมติดโควิด 19 ดีกว่าติดฝีดาษวานรเพราะทำให้เกิดรอยแผลที่ดูน่าเกลียด นพ.ธงชัยกล่าวว่า จริงๆ แล้วไม่ควรติดทั้งหมดเลย โควิดเมื่อติดแล้ว แม้ตอนนี้ความรุนแรงจะน้อย แต่โอกาสแพร่ได้สูงจากการไอจามมีน้ำมูก แต่ฝีดาษวานรจะไม่แสดงอาการด้วยการไอหรือน้ำมูกเท่าไร ส่วนใหญ่อาจจะเจ็บคอ มีไข้และผื่นขึ้น กลุ่มนี้เป็นการติดต่อกันแบบสัมผัสใกล้ชิดมาก โอกาสการแพร่ระบาดจึงต่ำ เพราะไม่ได้ไปไอแพร่เชื้อ ต้องสัมผัสใกล้ชิดจริงๆ ดังนั้น ให้สังเกตคนที่เราใกล้ชิดด้วย มีแผล มีตุ่มหนอง มีจุดดำตามหน้าหรือไม่ เพราะส่วนใหญ่จะขึ้นที่หน้าและฝ่ามือ

"ย้ำว่าไม่ได้ติดง่าย ส่วนแผลเป็นสุดท้ายก็จะจางหายไป ส่วนที่คิดว่าเป็นแล้วจะหายเองได้ ไม่ไปพบแพทย์ ขอย้ำว่าให้รีบไปพบแพทย์ เพราะอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ได้ เพื่อจะได้ตรวจดูว่ามีประวัติภูมิคุ้มกันต่ำหรือไม่ ทานยาอะไรที่กดภูมิคุ้มกันหรือไม่ เช่น คนเปลี่ยนอวัยวะ เป็นต้น ซึ่งทำให้ความรุนแรงของฝีดาษวานรเกิดขึ้นได้" นพ.ธงชัยกล่าว

ผู้สื่อข่าวถามถึงความกังวลของผู้ประกอบการท่องเที่ยวที่เกรงว่าฝีดาษวานรจะส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยว และอยากให้มีมาตรการรองรับ นพ.ธงชัย กล่าวว่า การประเทศไทยตรวจพบผู้ป่วยที่เดินทางมาจากต่างประเทศได้เร็ว เป็นเชิงบวก แสดงว่าระบบป้องกันควบคุมโรคดี สามารถตรวจสอบผู้ป่วยได้เร็ว โอกาสที่จะแพร่ระบาดภายในประเทศจะไม่มีหรือน้อยลงมาก แต่หากปล่อยนักท่องเที่ยวเข้าไปมีอยู่เยอะ ไม่มีข่าว ไม่มีระบบ แล้วนักท่องเที่ยวไปติดที่เมืองไทยเองกลับจะเป็นผลไม่ดีมากกว่า แต่กรณีนี้ยืนยันว่าไม่ได้ติดที่เมืองไทย ฉะนั้น เมืองไทยยังไม่มีการระบาดฝีดาษวานรสายพันธุ์ เคลด 1บี แน่นอน

"สายพันธุ์ เคลด 1บีอยู่นอกประเทศ เดินเข้ามาเองไม่ได้ ต้องผ่านจากคนหรือสัตว์เข้ามา สิ่งสำคัญคือด่านควบคุม เมือ่ก่อนคนเข้ามาจากต่างประเทศก็เข้า ตม.เลย ดังนั้น ประเทศกลุ่มเสี่ยง เคลด 1บี จะต้องผ่านด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศก่อน ว่ามีไข้หรือไม่ ซักประวัติ ดูตุ่มต่างๆ ก่อน หากไม่มีถึงปล่อยออกไป และประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่ดูแลเรื่องสัตว์นำเข้าจากต่างประเทศ ให้เข้มงวดเรื่องสัตว์ฟันแทะที่มาจากประเทศแถวแอฟริกา ตามนโยบาย One Health" นพ.ธงชัยกล่าว