คกก.โรคติดต่อฯ เห็นชอบแนวทางคุม 4 โรค ขยายเพิ่มวัคซีนไข้หวัดใหญ่

คกก.โรคติดต่อฯ เห็นชอบแนวทางควบคุม 4 โรคสำคัญ จัดหาวัคซีนไข้หวัดใหญ่-ขยายกลุ่มเสี่ยงฉีดเรือนจำ-ค่ายทหาร 6 จังหวัด - เพิ่มด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ 3 แห่ง
เมื่อวันที่ 10 มี.ค.2568 ที่กระทรวงสาธารณสุข นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข ในฐานะประธานคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2568 ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมว่า ที่ประชุมได้ให้ความเห็นชอบนโยบายและแนวทางการป้องกันควบคุมโรคติดต่อที่สำคัญ 4 โรค ได้แก่
1.โรคไข้หวัดใหญ่ ซึ่งมีแนวโน้มผู้ป่วยเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ปี 2568 พบผู้ป่วยแล้ว 165,333 ราย เสียชีวิต 14 ราย อัตราป่วยสูงสุดในกลุ่มอายุ 5 – 9 ปี และเด็กเล็ก 0 - 4 ปี โดยระบาดเป็นกลุ่มก้อนเฉพาะในโรงเรียน ค่ายทหารและเรือนจำ ส่วนใหญ่เป็นสายพันธุ์ A (H1N1)
ที่ประชุมจึงได้มีนโยบายมอบกรมควบคุมโรค ร่วมกับ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) สนับสนุนวัคซีนไข้หวัดใหญ่เพิ่มเติม โดยจัดสรรวัคซีนไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ซีกโลกเหนือในพื้นที่ที่มีการระบาด จำนวน 6 จังหวัด คือ พะเยา ลำพูน เชียงราย ภูเก็ต เชียงใหม่ และกทม. จะมีการกระจายวัคซีนเพิ่มขึ้น จังหวัดละ 10,000 เข็มหรือโดส ใช้ในค่ายทหารและเรือนจำ เพิ่มขึ้นอีก 30,000 โดส โดยจัดหาวัคซีนไข้หวัดใหญ่เพิ่มจาก 4.5 ล้านโดสเป็น 6 ล้านโดส ที่สำคัญปีนี้ได้วัคซีนมีราคาลดลง และจัดหาวัคซีนไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ซีกโลกใต้จำนวนเพิ่มขึ้น จาก 4.5 ล้านโดสเป็น 6 ล้านโดส
2.โรคไข้เลือดออก แม้ผู้ป่วยมีแนวโน้มลดลง อัตราตายสูงสุดในกลุ่มเด็กและช่วงอายุ 40 – 59 ปี ซึ่งยังคงเฝ้าระวังและเร่งรัดมาตรการป้องกันควบคุมโรคในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง โดยได้รับทราบความก้าวหน้าโครงการศึกษาวิจัยวัคซีนโรคไข้เลือดออก และให้อสม. สำรวจและทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำยุงลาย รวมทั้งกำหนดนโยบายศึกษาเรื่องความปลอดภัยและการใช้ประโยชน์จริงในประเทศไทย โดยคาดว่าจะเริ่มพื้นที่นำร่อง ณ จ.นครพนม ในวันที่ 4 เมษายน 2568
3.โรคฝีดาษวานร พบผู้ป่วยสะสม 873 ราย เสียชีวิต 13 ราย โดย 12 รายเป็นเพศชาย และทุกรายตรวจพบเชื้อ HIV จึงได้เน้นย้ำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามสถานการณ์ คัดกรองผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ ให้บุคลากรทางการแพทย์ คลินิกและโรงพยาบาล เฝ้าระวังและให้ความรู้แก่ประชาชนกลุ่มเสี่ยง รวมทั้งสนับสนุนการฉีดวัคซีนโรคฝีดาษให้กับกลุ่มเสี่ยงในจังหวัดเสี่ยงและไทยได้รับบริจาควัคซีนมาจากสมาพันธ์ ASEAN 2,220 โดส ซึ่งกำลังแจกจ่ายให้กับบุคลากรทางการแพทย์กลุ่มเสี่ยง
4.โรคไวรัสตับอักเสบBและโรคไวรัสตับอักเสบC ที่นำไปสู่ภาวะตับแข็ง ตับวาย และมะเร็งตับได้ ซึ่งในปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ป่วยที่คัดกรองพบติดไวรัสตับอักเสบ B จำนวน 290,396 ราย แต่ได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัสเพียง 34,182 ราย คิดเป็น 13.33% แม้ว่าจะมีการคัดกรองมากแต่ผู้ที่เข้าตรวจยืนยัน และได้รับการรักษาครบตามโปรแกรมยังน้อย จึงจำเป็นต้องติดตามข้อมูลจากการคัดกรองและเฝ้าระวัง เพื่อให้การดูแลและรักษาเป็นไปอย่างครบวงจรก่อนส่งกลับชุมชน
กำหนดนโยบายและแนวทางการติดตามการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคไวรัสตับอักเสบบีและซี อย่างเป็นระบบในลักษณะ (Care-Code-Control) โดยCare - ใช้ข้อมูลคัดกรองเข้าสู่ระบบเฝ้าระวัง, Code - ใช้ข้อมูลดิจิทัลติดตามการตรวจยืนยันและการรักษา, Control – ติดตามการรักษาอย่างต่อเนื่อง , พัฒนาโปรแกรม Hepatitis-BC-DDC กรมควบคุมโรค เชื่อมต่อกับระบบเฝ้าระวัง เน้นส่งเสริมให้ประชาชนมาตรวจยืนยันและเข้ารับการรักษาครบโปรแกรม เพื่อติดตามผู้ป่วยมารับการดูแลรักษาได้อย่างครอบคลุม และเพื่อป้องกันการเกิดโรคมะเร็งตับในอนาคต
เพิ่มด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ 3 แห่ง
นอกจากนี้ เห็นชอบร่างประกาศ 2 ฉบับ คือ
1.ร่างประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง การจัดตั้งด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศเพิ่มเติม ในพื้นที่ 3 จังหวัด ได้แก่ จุดผ่านแดนถาวรสะพานมิตรภาพไทย – กัมพูชา (หนองเอี่ยน - สตึงบท) จังหวัดสระแก้ว ท่าอากาศยานบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ และท่าอากาศยานนานาชาติขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น
2. ร่างประกาศคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ เรื่อง การเพิ่มเติมผู้แทนหน่วยงานของรัฐในคณะทำงานประจำช่องทางเข้าออก ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ 3 ด่าน คือ ท่าอากาศยานดอนเมือง กรุงเทพฯ ด่านพรมแดนท่าลี่ จังหวัดเลย และท่าเรือปัตตานี จังหวัดปัตตานี พร้อมกันนี้ ยังมีการทบทวนคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ
ที่ประชุมยังรับทราบการจัดทำอนุบัญญัติภายใต้พระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 รวมถึงติดตามความก้าวหน้าการฉีดวัคซีน HPV ปีงบประมาณ 2568 ซึ่งมีการจัดกิจกรรมคิกออฟ 5 ภาค ใน 8 จังหวัด ได้แก่ ปทุมธานี พิษณุโลก สุโขทัย หนองคาย มหาสารคาม ฉะเชิงเทรา สมุทรปราการ และปัตตานี ฉีดวัคซีนสะสม 700,860 โดส ในกลุ่มเด็ก ป.5 และผู้ที่เคยรับเข็มที่ 1 มาก่อน และกำลังจะฉีดกลุ่มที่ตกค้างอายุ 11- 20 ปี อีก 2 แสนโดส โดยไปรับวัคซีนได้ที่โรงพยาบาลที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดแต่ละแห่งประกาศไว้
ด้าน นพ.ภาณุมาศ ญาณเวทย์สกุล กล่าวว่า การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ฟรีนั้น จะให้ใน 7 กลุ่มเสี่ยงตามเดิม คือ
1.หญิงตั้งครรภ์ อายุครรภ์ 4 เดือนขึ้นไป
2.เด็กอายุ 6 เดือน ถึง 2 ปี
3.ผู้มีโรคเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค คือ ปอดอุดกั้นเรื้อรัง หอบหืด หัวใจ หลอดเลือดสมอง ไตวาย ผู้ป่วยมะเร็งที่อยู่ระหว่างการได้รับเคมีบำบัด และเบาหวาน
4.บุคคลที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป
5.โรคธาลัสซีเมียและผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง (รวมผู้ติดเชื้อ HIV ที่มีอาการ)
6.โรคอ้วน (น้ำหนัก > 100 กิโลกรัม หรือ BMI > 35 กิโลกรัมต่อตารางเมตร)
7.ผู้พิการทางสมองที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้
โดยจะเพิ่มตรงค่ายทหารและเรือนจำ ส่วนประชาชนทั่วไปยังเน้นการป้องกันด้วยการสวมหน้ากากอนามัย ป้องกันการไอจาม หลีกเลี่ยงอยู่ในพื้นที่แออัด คนจำนวนมาก หากจำเป็นขอให้สวมหน้ากากอนามัย และดูแลสุขอนามัย การล้างมือ เป็นต้น