AI กับ มนุษย์ อะไร? ตอบโจทย์ธุรกิจ ช่วยทำงานหรือ ทดแทนแรงงาน

AI กับ มนุษย์ อะไร? ตอบโจทย์ธุรกิจ ช่วยทำงานหรือ ทดแทนแรงงาน

ในโลกที่ทุกอย่างขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีต่างๆ มากมาย  AI ปัญญาประดิษฐ์ หรือหุ่นยนต์ เป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมที่ได้คืบคลานเข้ามาทุกภาคธุรกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ทุกภาคธุรกิจจะต้องมีการปรับตัว เพื่อให้เท่าทันและอยู่รอดในการทำธุรกิจ ส่งผลให้ บางภาคธุรกิจ ได้ใช้นวัตกรรม หุ่นยนต์ ระบบ AI เข้ามาช่วยมนุษย์ แรงงานในการทำงาน และมีบางภาคธุรกิจได้ใช้ AI หุ่นยนต์เข้ามาทดแทนแรงงาน 

หากแรงงานไม่ปรับตัว ไม่ตระหนักรับมือกับการเปลี่ยนแปลง มีทักษะเท่าทันกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป อาจจะตกงานโดยไม่รู้ตัว

หลายบริษัทได้มีการอัพสกิล รีสกิล เพิ่มทักษะให้แก่พนักงานทั้งใหม่ และเก่า โดยเฉพาะการทำงานร่วมกับเทคโนโลยีAI เพื่อความสำเร็จในการเติบโตของภาคธุรกิจ อนาคตของธุรกิจ 

คำกล่าวที่ว่า AI  หุ่นยนต์ เทคโนโลยีจะเข้ามาช่วยมนุษย์ และทดแทนมนุษย์ จนทำให้มนุษย์ว่างงานมากขึ้น อาจจะไม่ต้องพิจารณาปัจจัยหลายๆ ด้าน เพราะการทำงาน หรือการใช้ชีวิต ทุกคนต้องพัฒนาและเรียนรู้อยู่เสมอ  ธุรกิจก็ต้องก้าวให้ทันโลกเทคโนโลยีที่ก้าวแบบกระโดดเช่นกัน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

เมื่อ 'AI' กลายเป็นเรื่องง่าย ถึงเวลาที่ต้อง ‘พัฒนาคน’

AI คืออะไร จะทรงพลังแค่ไหนในปี 2020

อียูผลักดันเทคโนโลยี AI เพื่อรับมือโควิด

 

7 กลุ่มเสี่ยงอาชีพที่ AI จะมาทดแทนได้

ข้อมูลจาก JobsDB  ระบุว่าด้วยยุคเทคโนโลยี ส่งผลให้ตลาดแรงงานในบางอาชีพอาจต้องหายไปเพราะมี AI (Artificial Intelligence) หรือเรียกง่าย ๆ ว่า “หุ่นยนต์” เข้ามาทำงานแทนมนุษย์ ซึ่งมีการคาดการณ์จากผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลกว่า จะมีอาชีพในปัจจุบันกว่า 73 ล้านอาชีพกำลังจะหายไปภายในปี ค.ศ. 2030 แล้วเราจะอยู่อย่างไรให้มีงานทำ ในวันที่ AI จะเข้าทำงานแทนเรา

ขณะที่ ธนาคารกรุงเทพ ระบุว่า  7 กลุ่มเสี่ยงอาชีพที่ AI จะมาทดแทนได้แก่

1.การขนส่ง

ปัจจุบันรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัตินั้นใกล้เป็นความจริงเข้ามาเรื่อยๆ และเราคงได้เห็นพวกมันในท้องถนนในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าเท่านั้น ในขณะที่มันจะช่วยให้การเดินทางและการขนส่งเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและมีความปลอดภัยมากขึ้น เทคโนโลยีขับเคลื่อนอัตโนมัตินี้จะส่งผลกระทบต่อตำแหน่งงาน

โดยเฉพาะคนขับรถในธุรกิจขนส่งหรือบริการเรียกรถต่างๆ ซึ่งไม่ถูกจำกัดแต่เพียงรถยนต์ แต่ยังรวมถึงรถบรรทุก หรือแม้แต่เครื่องบินก็มีทำเป็นเล่นไป

2.การผลิต

อุตสาหกรรมการผลิตนั้นเป็นภาคส่วนที่มีการนำระบบอัตโนมัติมาใช้ก่อนใครเพื่อน โดยระหว่างปี 2000 ถึง 2010 นั้น ตำแหน่งงานในสายการผลิตตัวอย่างในสหรัฐอเมริกาและแคนาดามีจำนวนลดลงไปถึง 5.6 ล้านตำแหน่ง ซึ่งร้อยละ 85 ของการหายไปนั้นก็เกิดจากการเลือกใช้ระบบอัตโนมัติมากขึ้นนั่นเอง

หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติที่ใช้ในการผลิตนี้ยังสามารถทำงานได้มีประสิทธิภาพมากกว่ามนุษย์ทั่วไปอย่างมาก เฉพาะในไทยโดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์ใช้ Robot มาหลายปีแล้ว

 

 

3.บรรจุภัณฑ์และการส่งของ

เช่นเดียวกับสายงานการผลิต งานบรรจุภัณฑ์และการส่งของก็เป็นอีกหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบมากจากการเข้ามาของระบบอัตโนมัติ บริษัทใหญ่ๆ

4.งานบริการลูกค้า

งานที่หลายคนมักคิดว่าต้องใช้ทักษะความเป็นมนุษย์สูงในการดำเนินงานอย่างงานบริการลูกค้านั้นก็ตกเป็นเป้าของการคุกคามจากระบบอัตโนมัติไม่แพ้กัน พนักงานแคชเชียร์ พนักงานแนะนำสินค้า หรือพนักงานผู้ให้บริการหลังเคาน์เตอร์ต่างก็มีความเสี่ยงที่จะถูกลดบทบาทโดยระบบอัตโนมัติ เช่นการใช้ chatbot หรือ kiosk บริการตัวเอง

แม้พวกมันจะยังไม่สามารถปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ได้เหมือนมนุษย์ด้วยกันเองในตอนนี้ แต่ก็ถือว่าทำได้ดีรระดับหนึ่ง การพัฒนาเทคโนโลยีในการประมวลผลภาษาธรรมชาติและ machine learning ที่รวดเร็วในปัจจุบันก็อาจทำให้พวกมันเลียนแบบมนุษย์ได้จนเราแยกไม่ออก

5.การเงิน

การเพิ่มขึ้นของข้อมูลทั้งด้านการเงินและอื่นๆทำให้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์นั้นมีข้อได้เปรียบจากมนุษย์อยู่มาก ทั้งในด้านการทำนายแนวโน้มของราคาหุ้น การจัดการการลงทุน และการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการลงทุน

หุ่นยนต์แนะนำการลงทุน robo-adviser คือหนึ่งในเทรนด์ที่สถาบันการเงินต่างๆกำลังเปิดให้บริการมากขึ้นเรื่อยๆ และนอกจากบริการในส่วนที่ลูกค้าสามารถสัมผัสได้แล้ว ก็ยังมีงานเบื้องหลัง เช่น งานบัญชี ที่อาจถูกแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติได้

6.สายงานสุขภาพ

สายงานสุขภาพทั้งการแพทย์และเภสัชกรรมต่างก็หันมาพึ่งพาพลังจากเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์มากขึ้น ซึ่งเทคโนโลยีดังกล่าวก็ทำให้การทำงานที่เคยเป็นเรื่องที่ซับซ้อน เช่นการวินิจฉัยโรค การวางยาสลบ การผ่าตัด หรือการดูแลผู้ป่วยระหว่างการพักฟื้นกลายมาเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น และในบางครั้ง มีความแม่นยำมากกว่าความรู้ความสามารถของมนุษย์

7.เกษตรกรรม

ปริมาณประชากรที่พุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆของโลกนั้นกำลังจะกลายมาเป็นเรื่องที่เราต้องเตรียมการรับมือให้พร้อม การใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์และระบบอัตโนมัติจะเข้ามาช่วยนั้นจะช่วยแก้ไขปัญหาเช่นการควบคุมปริมาณผลผลิต และการทำการเกษตรอย่างมีประสิทธิภาพ

เทคโนโลยีโดรนก็เป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีเสริมที่ได้รับความนิยมในเกษตรกรรม ด้วยความสามารถในการเก็บภาพถ่ายมุมสูงซึ่งเป็นสิ่งที่เคยทำได้ยากและใช้ต้นทุนเยอะ ภาพถ่ายจากโดรนนั้นมักถูกนำมาใช้ประกอบการวิเคราะห์ข้อมูลสภาพแวดล้อมของการทำการเกษตร สถานะของแปลงพืช ซึ่งเป็นข้อมูลที่มีคุณค่าต่อเกษตรกรเป็นอย่างมาก

ขณะที่อาชีพที่ควรจะปรับตัว ก่อนทดแทน

1.ร้านค้าปลีก

เป็นช่องทางที่ได้รับผลกระทบมาก ถ้าหากว่าคุณไม่ใช่ Chain Store รายใหญ่ ซึ่งเวลานี้ร้านโชห่วยแบบดั้งเดิมแทบจะไม่เห็นแล้ว นอกจากนี้ธุรกิจค้าปลีกบางแห่งก็เริ่มเปลี่ยนพื้นที่ไปลงบนธุรกิจออนไลน์โซเชียลและธุรกิจออนไลน์อินเทอร์เน็ตมากขึ้น

เพราะสามารถลดค่าใช้จ่ายหน้าร้าน ค่าเช่าที่ ค่าจ้างคนงาน และยังสามารถเปิดบริการจัดส่งสินค้าได้เมื่อสั่งออนไลน์ด้วย เรียกว่าเป็นการผสมผสานระหว่างออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกันแบบ B2C ซึ่งรับรองได้เลยว่า กระแสนี้จะเติบโตอย่างมากภายใน 4-5 ปีต่อจากนี้

2.แรงงานในภาคอุตสาหกรรม และสายการผลิต

เนื่องจากทุกวันนี้ หลายโรงงานขนาดใหญ่ทั่วโลกได้ให้ความสำคัญกับเครื่องจักรกล และการใช้หุ่นยนต์ในกระบวนการผลิตมากขึ้น หน้าที่หลักของคนจึงกลายเป็นผู้ดูแลและซ่อมบำรุงเครื่องจักรไปแทน สำหรับอุตสาหกรรมขนาดใหญ่จึงมีแนวโน้มที่จะปลดแรงงานการผลิตออก แต่สำหรับอุตสาหกรรมขนาดย่อม และขนาดกลาง ก็ยังจำเป็นต้องใช้แรงงานคนอยู่

3.พนักงานเก็บเงิน แคชเชียร์

เรียกว่ามีผลกระทบที่ชัดเจนมาอีกหนึ่งสายอาชีพ เนื่องจากเวลานี้ในบางประเทศเช่น จีน ได้เริ่มให้บริการซุปเปอร์มาร์เก็ตแบบไร้เงินสดเรียบร้อยแล้ว เช่นที่ Hema Supermarket ในธุรกิจเครืออาลีบาบา ที่เราสามารถเดินเข้าไปเลือกซื้อของได้ โดยไม่ต้องพกเงินสด แล้วใช้การสแกนผ่านมือถือด้วยแอพ Alipay ก็สามารถจ่ายเงินได้เลย

4.สื่อหนังสือพิมพ์ นิตยสาร

เป็นสายอาชีพที่ใกล้ตายไปทุกขณะ แม้ว่าในส่วนของหนังสือเล่ม จะยังมีแนวโน้มที่ไปต่อได้ แต่หนังสือพิมพ์และนิตยสาร กำลังถูกพอร์ตมาขึ้นบนธุรกิจออนไลน์สื่อโซเชียลมีเดียมากขึ้น รวมถึงการเสพข้อมูลของคนเราก็ใช้งานบนมือถือเป็นหลัก และมีแนวโน้มที่การดูโทรทัศน์ก็จะลดลงไปด้วย เพราะสามารถจะกลับไปดูย้อนหลังผ่านยูทูปหรือทีวีออนไลน์บนอินเทอร์เน็ตได้แทน

5.เอเจนซี่ นายหน้าทัวร์

ตัวอย่างเช่น การใช้ธุรกิจออนไลน์เว็บไซต์รีวิวสำหรับการท่องเที่ยว จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้นเรื่อย ๆ มีตัวอย่างน่าสนใจกรณีที่นักท่องเที่ยวชาวจีนที่เข้ามาในไทยเมื่อปี 2560 ที่ผ่านมา เพิ่มจำนวนขึ้น แต่ในส่วนของกรุ๊ปทัวร์กลับลดลง และก็มีแนวโน้มจะลดลงในปีถัดไป ซึ่งสาเหตุหลักๆ ที่นอกเหนือจากปัญหาเรื่องเศรษฐกิจทั่วโลกที่ชะลอตัวแล้ว ยังมีในแง่ที่นักท่องเที่ยวใช้บริการของเอเจนซี่น้อยลง แต่มาหาข้อมูลการท่องเที่ยวจากเว็บไซต์เองมากขึ้นด้วย

รู้ข้อดี- ข้อเสียของการนำระบบ AI มาใช้ 

ข้อดีของ AI มีดังต่อไปนี้ 

1. ช่วยในการพัฒนาประสิทธิภาพ

 ในปัจจุบัน ต่างพบว่ามูลค่าของข้อมูลมีความสำคัญต่อธุรกิจ เช่นเดียวกับเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่งกับน้ำมัน และด้วยเหตุนี้จึงมีความจำเป็นที่จะต้องทำการประมวลผลข้อมูลเหล่านี้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ เพื่อให้ได้ผลการค้นหาแบบเรียลไทม์

ยกตัวอย่างที่เป็นประโยชน์ของ AI ประเภทนี้ ซึ่งกำลังถูกนำไปใช้โดย DeepMind เพื่อใช้ในการวินิจฉัยสภาพที่เป็นอันตรายต่อการมองเห็นของตาได้อย่างถูกต้องแม่นยำ ในฐานะแพทย์ที่ดีที่สุดในโลก

2.เพื่อขจัดความผิดพลาดของมนุษย์

 ตั้งแต่ความผิดพลาดในระดับที่รุนแรง ไปจนถึงความผิดพลาดที่ธรรมดาและเรียบง่าย หรือแม้แต่สิ่งที่ดีที่สุดของเราก็ยังมีแนวโน้มที่จะเกิดข้อผิดพลาด แต่เนื่องจากเครื่องจักรระบบปัญญาประดิษฐ์นี้ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อปฏิบัติภารกิจที่เฉพาะเจาะจง เราจึงจะไม่พบลักษณะของความผิดพลาดดังกล่าว

3.เป็นเทคโนโลยีอัจฉริยะ (Smart technology)

AI จะถูกนำมาใช้เพื่อให้บริการอัตโนมัติของเรามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นในอนาคตข้างหน้า จากรถยนต์ที่สามารถขับเคลื่อนด้วยตัวเอง (Self-Driving Cars) โดยใช้ AI ในการสำรวจถนนและสิ่งกีดขวาง ไปจนถึงสมาร์ตซิตี (Smart Cities) ที่คาดว่าจะช่วยปรับปรุงสภาพแวดล้อม โดยยังคงเพิ่มประสิทธิภาพให้ประชากรของเราให้สามารถอยู่อาศัยด้วยคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

ข้อเสียของ AI

ในปี 2016 มีข่าวความร่วมมือกันระหว่าง 5 บริษัท ในวงการอุตสาหกรรม รวมทั้งบริษัทยักษ์ใหญ่ในซิลิคอน วัลเลย์ (Silicon Valley) ซึ่งได้ประกาศจับมือกันเพื่อก่อตั้งองค์กรความร่วมมือด้านปัญญาประดิษฐ์ ภายใต้ชื่อโครงการ Partnership on Artificial Intelligence to Benefit People and Society (Partnership on AI) ซึ่งเป็นโครงการที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อผลักดันความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี Artificial Intelligence (AI) ให้พัฒนาไปอย่างรวดเร็วและมีมาตรฐานมากยิ่งขึ้น โดยการร่วมมือกันในครั้งนี้มีความคาดหวังว่าจะช่วยแก้ปัญหาในเรื่องของความยุติธรรมและจริยธรรมใน AI ให้มากขึ้น

1.ปัญหาการเลิกจ้าง

 นี่อาจจะเป็นข้อเสียอันดับหนึ่งของ AI ที่ถูกเน้นย้ำตลอดเวลาว่าเป็นสถานการณ์แห่งความเศร้าโศกและบทลงโทษที่เป็นสาเหตุให้แรงงานถูกปลด เพราะไม่สามารถทำงานได้ดีกว่าเครื่องจักร

ในส่วนของรายงานเกี่ยวกับเรื่องนี้ พบว่ามีการขัดแย้งกัน โดยผลการศึกษาล่าสุดจาก PricewaterhouseCoopers (PwC) อ้างว่า AI จะสร้างงานให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่างไรก็ตาม จากรายละเอียดของรายงานระบุว่า เทคโนโลยีใหม่ๆ จะส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจอุตสาหกรรมในรูปแบบที่ไม่เป็นธรรม

2.หัวหน้าที่เป็นหุ่นยนต์

 หากคุณมีปัญหากับเจ้านายที่เป็นมนุษย์คนปัจจุบันของคุณ, ต้องขอบคุณที่เขาไม่ได้เฉยเมยกับคุณ, เครื่องจักรกลไม่สามารถแสดงอารมณ์ความรู้สึกได้ นั่นเป็นเพราะว่ามี AI ที่ทำหน้าที่ในการตรวจสอบประสิทธิภาพการทำงานอยู่แล้ว

 ในสถานการณ์ที่ดูเหมือนฝันร้ายที่น่ากลัวของสังคมในจินตนาการที่จะเกิดขึ้นในอนาคต Watson ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ของทาง IBM ได้มีการนำ AI และ Watson Analytics มาใช้ในตัดสินใจว่าพนักงานมีความคุ้มค่าต่อการเพิ่มขึ้นของเงินที่จะจ่ายไปหรือไม่ ทั้งในส่วนของโบนัสหรือการเลื่อนตำแหน่ง โดยดูจากประสบการณ์และผลงานในช่วงที่ผ่านมาของพนักงาน ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการตัดสินคุณภาพและทักษะของแต่ละคน ที่อาจจะเป็นประโยชน์แก่บริษัทในอนาคตข้างหน้า

3.ข้อผิดพลาดที่มนุษย์สร้างขึ้น

 แม้ว่า AI จะสามารถขจัดข้อผิดพลาดของมนุษย์ออกจากกระบวนการได้เกือบทั้งหมด แต่มันก็ยังคงหลงเหลืออยู่ในรหัสคำสั่ง ที่พร้อมกับความลำเอียงและอคติ โดยส่วนใหญ่จะพบอยู่ในขั้นตอนวิธี หรือ อัลกอริทึม (Algorithm) ซึ่งเทคโนโลยีดังกล่าวนี้สามารถประมวลผลเพื่อทำให้เกิดผลกระทบในเชิงลบต่อประชากรบางกลุ่มและการเลือกปฏิบัติต่อผู้คนได้เช่นกัน

ทำอย่างไร? ให้ AI ไม่มาแทนเรา

 

  1. ปรับตัวและเรียนรู้การใช้ประโยชน์จาก AI

เพราะจุดประสงค์หลักของการสร้าง AI หรือ “หุ่นยนต์” ขึ้นมาก็เพื่อให้สามารถทำงานแทนมนุษย์ได้ งานที่ทำมนุษย์เคยต้องลำบากลงไปทำเอง หรืองานซ้ำ ๆ มีแพทเทิร์นชัดเจน จะก็เป็นงานที่เหล่าหุ่นยนต์ AI ถูกผลิตขึ้นมาทำแทนเรา หรือแม้แต่งานที่ต้องวิเคราะห์ข้อมูลมหาศาล เกินกว่าที่มนุยษ์คนนึงจะสามารถทำได้โดยไม่ผิดพลาด ก็จะเป็นสิ่งที่ AI จะเข้ามาทำแทนในจุดนี้ ซึ่งเราต้องเริ่มที่จะมาเรียนรู้ความสามารถของหุ่นยนต์ AI สามารถทำอะไรได้ หรือไม่ได้บ้าง เพื่อที่เราจะได้มีหน้าที่เป็นคนควบคุมและสั่งงาน AI อีกที

2.ฝึกแก้ปัญหาโดยใช้ Critical Thinking

เพราะการตัดสินใจของ AI จะอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลที่ได้รับ และความฉลาดที่ได้เรียนรู้จะแพทเทิร์นที่ถูกโปรแกรมไว้ ทำให้การตัดสินใจแก้ปัญหาที่มีความซับซ้อนมาก ๆ หุ่นยนต์ AI จะไม่สามารถทำได้ดีเท่ามนุษย์ นี่ถือเป็นจุดแข็งที่คุณต้องกำไว้ให้แน่น และหมั่นฝึกฝนให้ดียิ่งกว่าเดิม โดยเริ่มจากทักษะ Critical Thinking หรือการคิดเชิงวิพากษ์ คือการคิดที่ประเมินจากหลักฐาน ข้อมูล และสภาวะที่เกิดขึ้นตอนนั้น เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่มีความเป็นกลาง และถูกต้องตามความเป็นจริงมากที่สุด

ใช้ในการแก้ปัญหาที่ซับซ้อน เช่น ปัญหาที่เกิดขึ้น อาจจะมีเรื่องของภาวะอารมณ์ของคนเข้ามาเกี่ยว ถ้าคุณให้หุ่นยนต์ AI แก้ปัญหา AI อาจจะไม่ได้สนใจสภาพจิตใจของคนเลยก็ได้ แต่ถ้าเราผู้เป็นมนุษย์เหมือนกัน ใช้วิธีวิเคราะห์ปัญหาแบบ Critical Thinking โดยอาศัยข้อมูลจาก AI และยังคำนึงถึงสภาพจิตใจของคนด้วย ปัญหาที่ซับซ้อนนั้นก็จะถูกแก้ไขได้ดีกว่าเมื่อได้รับการตัดสินใจจากมนุษย์ด้วยกันเอง

3.เรียนรู้ทักษะที่หลากหลาย โดยเฉพาะความคิดสร้างสรรค์ (Creativity)

ความคิดสร้างสรรค์ หรือ Creativity แทบจะเป็นสิ่งเดียวที่หุ่นยนต์ AI ยังไม่สามารถทำแทนมนุษย์ได้ ลองคิดว่าให้หุ่นยนต์มาออกแบบบ้านแข่งกับมนุษย์ แน่นอนว่าหุ่นยนต์จะต้องเป๊ะเรื่องโครงสร้าง แต่ความสวยงามของแบบบ้าน ส่วนเว้าส่วนโค้งต่าง ๆ หุ่นยนต์ไม่น่าทำได้ดีเท่ามนุษย์แน่ ๆ เพราะเราโปรแกรมความคิดเป็นเหตุเป็นผลจากข้อมูลให้หุ่นยนต์เท่านั้น

แต่เราไม่ได้โปรแกรมจินตนาการให้หุ่นยนต์ไปด้วย ทำให้เราทุกคนควรฝึกทักษะความคิดสร้างสรรค์ไว้ให้มาก อาจจะฝึกโดยใช้ Design Thinking ที่เป็นเทคนิคการคิดหาคำตอบของนักออกแบบที่กำลังเป็นที่นิยมในตอนนี้ก็ได้ นอกจากนี้ยังควรฝึกทักษะอื่นที่หุ่นยนต์ยังทำไม่ได้

เช่น ทักษะเรื่องคน (People Skill) ที่จะทำให้เราทำงานและสื่อสารอย่างเข้าอกเข้าใจกับผู้อื่นได้ดีขึ้น ทักษะด้านการโน้มน้าวใจ (Negotiation Skill) เหล่านี้ล้วนแต่เป็น Soft Skills ที่จำเป็นต่อการทำงานในปัจจุบัน และจะจำเป็นมากขึ้นไปอีกเมื่อถึงยุคที่หุ่นยนต์เข้ามาแย่งงานคน เพราะเป็นทักษะที่หุ่นยนต์ยังไม่ได้สามารถพัฒนาไปทำตรงนี้ได้

สิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำให้เรารอดพ้นจากการถูกแย่งงานโดยหุ่นยนต์หรือ AI ได้ก็คือ การรู้จักยอมรับ และกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง ปรับตัว และพัฒนาตัวเองอย่างไม่หยุดนิ่ง เพื่อที่คุณจะได้เป็นทรัพยากรที่โลกนี้ไม่มีวันขาดได้ ลองหางานที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี หรืองานที่ใช้ AI เป็นตัวช่วยให้กับคุณได้ที่ แอปพลิเคชั่น jobsDB แอปหางานที่มีงานทุกรูปแบบที่คุณต้องการ

5 กลยุทธ์ที่มนุษย์จะอยู่ร่วมกับ AI 

ด้าน Thomas Davenport  และ Julia Kirby ได้เสนอ 5 กลยุทธ์ที่มนุษย์จะอยู่ร่วมกับ AI  คือ

(1) ทำงานภาพรวม ซึ่งเป็นการเติมเต็มจุดอ่อนของ AI ที่เก่งเฉพาะงาน แต่ไม่สามารถปะติดปะต่อได้ ซึ่งหากเป็น นักกฎหมายก็สามารถใช้กลยุทธ์นี้ได้ด้วยการผันตัวมาเป็นผู้จัดการโครงการ

(2) เข้าร่วม ก่อการพัฒนาระบบ AI เช่นนักกฎหมายที่เข้าไป แปลงองค์ความรู้กฎหมายให้อยู่ในรูปที่คอมพิวเตอร์นำไปใช้ได้

(3) ชาญฉลาดใช้ อาศัยข้อได้เปรียบของเทคโนโลยี AI มาช่วยทำงานเดิมให้ได้ดียิ่งขึ้น เช่น การนำ AI มาใช้วิเคราะห์แนวทางการเขียนคำฟ้องที่จะชนะ

(4) สั่งสมความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่ไม่คุ้มที่จะพัฒนา AI มาแทนที่คน เช่น เลือกเป็นนักกฎหมายที่เชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่เป็น niche อย่างกฎหมายกีฬา เป็นต้น และ 5.หันมามุ่งเน้นงานที่ต้องอาศัยทักษะสังคมและความเข้าอกเข้าใจเพื่อนมนุษย์ เช่นเป็นทนายว่าความหรือเป็นที่ปรึกษากฎหมายที่เข้าใจลูกความ

อ้างอิง : https://www.quickserv.co.th