คลอด (ร่าง) 9 มาตรการรับมือภัยแล้ง 66-67 เสนอ ครม. แก้วิกฤตน้ำน้อยสู้เอลนีโญ
สทนช. ถอดบทเรียนการบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูแล้ง คลอด (ร่าง) 9 มาตรการรับมือภัยแล้งปี 2566-2567 เตรียมเสนอ กอนช. และ ครม.ชุดใหม่ สู้ภัยเอลนีโญ
ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยว่า จากการประชุมสัมมนาถอดบทเรียนการติดตามประเมินผลการบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูแล้งปี 2565-2566 และการเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์เอลนีโญที่ สทนช. ร่วมกับคณะกรรมการลุ่มน้ำ เครือข่ายองค์กรผู้ใช้น้ำ นักวิชาการ ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องจาก 7 กระทรวง รวม 31 หน่วยงาน ผู้ทรงคุณวุฒิจากทั่วประเทศ เกษตรกร และสื่อมวลชนจัดขึ้นเมื่อเร็วๆนั้น
ทำให้ได้รับทราบปัญหาและอุปสรรคในการบริหารทรัพยากรน้ำซึ่ง สทนช. จะนำมาวิเคราะห์เพื่อวางแผนในการเตรียม ความพร้อมและวางมาตรการรองรับฤดูแล้งปี 2566-2567 ตลอดจนใช้เป็นกรอบแนวทางแก้ไขปัญหาน้ำแล้งปีถัดไป
สำหรับสถานการณ์น้ำในปี 2566 ค่อนข้างจะแตกต่างจากปีที่ผ่านมา โดยในปี 2565 ประเทศไทยอยู่ภายใต้ปรากฏการณ์ลานีญา ฝนตกค่อนข้างมาก ทำให้ในฤดูแล้งปี 2565-2566 มีปริมาณน้ำต้นทุนที่ใช้การได้ในแหล่งเก็บน้ำขนาดใหญ่ 38 แห่งทั่วประเทศ รวมกันมากถึง 35,853 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.)
ในขณะที่ปี 2566 เกิดปรากฏการณ์เอลนีโญ ทำให้ฝนตกน้อยตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันต่ำกว่าค่าปกติถึง 21% หากไม่มีพายุพาดผ่านคาดว่า ณ วันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 จะมีปริมาณน้ำใช้การในแหล่งน้ำขนาดใหญ่รวมเพียง 26,142 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 55 ของปริมาณกักเก็บ น้อยกว่าปีที่แล้วถึง 11% ดังนั้น ในฤดูแล้งปี 2566/67 จะต้องปรับแนวทางมาตรการรองรับฤดูแล้งให้เหมาะสมเข้ากับสถานการณ์น้ำที่เป็นปัจจุบัน
ทั้งนี้ จากการถอดบทเรียนการติดตามประเมินผลการบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูแล้งปี 2565-2566 ดังกล่าว ผนวกกับสถานการณ์แอลนีโญที่เกิดขึ้น ได้นำไปสู่การจัดทำร่างมาตรการรับมือฤดูแล้งปี 2566-2567 ซึ่งมี 9 มาตรการด้วยกัน ประกอบด้วย
1.เฝ้าระวังและเตรียมจัดการแหล่งน้ำสำรอง วางแผนเตรียมเครื่องจักรเครื่องมือในพื้นที่เฝ้าระวังเสี่ยงขาดแคลนน้ำ พร้อมจัดทำระบบฐานข้อมูลกลางมีมาตรฐานเพื่อใช้ในการบริหารจัดการพื้นที่เสี่ยงและพื้นที่เกิดเหตุ
2.ปฏิบัติการเติมน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ ให้ได้ปริมาณน้ำสำรองมากที่สุด นำน้ำใต้ดินมาใช้แก้ปัญหาในพื้นที่ขาดแคลนน้ำ ซึ่งน้ำใต้ดินมีปริมาณมากถึง 40,000 ล้าน ลบ.ม.
3.กำหนดแผนจัดสรรน้ำและพื้นที่เพาะปลูกฤดูแล้งให้สอดคล้องกับสถานการณ์เอลนีโญ ควบคุมการเพาะปลูกข้าวนาปรัง สร้างการรับรู้ให้กับเกษตรกรพร้อมเตรียมน้ำสำรองสำหรับพื้นที่ลุ่มต่ำรับน้ำนอง
4.จัดสรรน้ำให้เป็นไปตามลำดับความสำคัญที่คณะกรรมการลุ่มน้ำกำหนด เพื่อรองรับสถานการณ์เอลนีโญ
5.เพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำ ส่งเสริมพืชใช้น้ำน้อยในภาคการเกษตร ประหยัดการใช้น้ำของหน่วยงานภาครัฐ เอกชนและประชาชน พร้อมทั้งส่งเสริมให้ภาคอุตสาหกรรมจัดการน้ำเสียตามหลัก 3R
6.เฝ้าระวังและแก้ไขคุณภาพน้ำ
7.เสริมสร้างความเข้มแข็งด้านการบริหารจัดการน้ำชุมชนและองค์กรผู้ใช้น้ำ
8.สร้างการรับรู้ประชาชนสัมพันธ์
9.ติดตาม ประเมินผลการดำเนินงาน
นอกจากนี้ จะต้องเร่งสร้างความร่วมมือเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานในการบริหารจัดการน้ำให้มากขึ้น ตลอดจนปรับปรุงวิธีการอนุมัติงบประมาณให้ความช่วยเหลือให้รวดเร็วขึ้น สร้างเครือข่ายองค์กรผู้ใช้น้ำให้ครอบคลุมพื้นที่ลุ่มน้ำ พร้อมทั้งนำเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพมาประยุกต์ใช้
เพื่อการบริหารจัดการน้ำสัมฤทธิ์ผลครอบคลุมทุกพื้นที่ ที่สำคัญได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องวางแผนบริหารจัดการน้ำล่วงหน้า 2 ปี ให้ครอบคลุมตั้งแต่ฤดูฝนปีนี้ ฤดูแล้งปี 2566-2567 ฤดูฝนปี 2567 จนถึงฤดูแล้งปี 2567-2568 ด้วย เพื่อที่จะเตรียมสำรองน้ำให้เพียงพอกับความต้องการรองรับสถานการณ์น้ำเอลนีโญที่จะเกิดขึ้น
ร่างมาตรการรองรับฤดูแล้งปี 2566-2567 ดังกล่าว จะนำเสนอต่อคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) เพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ เพื่อออกเป็นแนวทางปฏิบัติต่อไป ทั้งนี้ขอให้ประชาชนมั่นใจได้ว่าจะมีน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคเพียงพอตลอดทั้งปี อย่างไรก็ตามต้องขอความร่วมมือให้ทุกภาคส่วนใช้น้ำอย่างประหยัด และช่วยกันขับเคลื่อนมาตรการในช่วงฤดูฝนนี้ให้เต็มที่ก่อนเข้าฤดูแล้ง ซึ่งจะสามารถผ่านสถานการณ์ภัยแล้งไปได้ด้วยดีอย่างแน่นอน