ปรากฏการณ์แคดเมียมบอกอะไร? | วิทยา ด่านธำรงกูล
การค้นพบกากแคดเมียม สารพิษร้ายแรงมากถึงกว่า 13,000 ตันในจังหวัดสมุทรสาคร ชลบุรี และกลางกรุงเทพมหานคร บอกอะไรหลายอย่างถึงปัญหาในสังคมไทยที่หมักหมมมาเนิ่นนานและไม่เคยได้รับการแก้ไข
ขณะเดียวกันก็สะท้อนให้เห็นถึงรากเหง้าของปัญหาที่เชื่อได้ว่าแคดเมียมจะไม่ใช่ปรากฏการณ์ที่น่าสะพึงครั้งสุดท้าย หลังจากปรากฏการณ์สารกัมมันตรังสีซีเซียม-137 ที่ปราจีนบุรีเมื่อปีที่แล้ว
ปรากฏการณ์แคดเมียมบอกให้รู้ว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะอุตสาหกรรมหละหลวม ปล่อยปะละเลยและไร้ประสิทธิภาพ นอกเหนือจากเรื่องแคดเมียมคราวนี้แล้ว การควบคุมดูแลกิจการที่เกี่ยวข้องกับสารพิษ ตั้งแต่ร้านรับซื้อของเก่าที่บ่อยครั้งกลายเป็นร้านรับซื้อของโจรไปจนโรงหลอมโลหะทั้งหลายได้ดำเนินการอย่างเข้มงวดขนาดไหน
การขนย้ายสารพิษอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้เกิดได้อย่างไร การตั้งโรงงานหลอมโลหะอยู่ในย่านชุมชน มีใบอนุญาตที่ถูกต้องหรือไม่ มีเครื่องจักร กระบวนการ ตลอดจนการควบคุมผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพที่ได้มาตรฐานเพียงใด
เคยมีการสำรวจตรวจสอบกันขนาดไหน ควรจะต้องมีการสังคายนากฎหมายและระเบียบในเรื่องเหล่านี้กันเสียที ซัพพลายเชนของธุรกิจนี้ควรจะต้องจัดให้อยู่ในพื้นที่เดียวกันเพื่อง่ายต่อการควบคุม ตั้งแต่การรับซื้อ การเก็บ การหลอม การกำจัด การขนย้าย ฯลฯ
ไม่ใช่ทำกันแบบชุ่ยๆ หรือเป็นโรงงานห้องแถว การขอและต่อใบอนุญาตต้องเคร่งครัดเข้มงวด และบทลงโทษต้องรุนแรงกว่าที่เป็นอยู่
ปรากฏการณ์แคดเมียมบอกให้รู้ว่า ปัญหาคอร์รัปชันนับวันจะใหญ่โตหยั่งรากลึก และไม่สนใจแม้แต่ชีวิตของประชาชนตาดำๆ เป็นไปไม่ได้เลยที่การขนส่งกากแคดเมียมจำนวนมโหฬารและใช้ระยะเวลายาวนานกว่า 8 เดือนจากจังหวัดตากจนกระจายไปหลายจังหวัด จะหลงหูหลงตาอุตสาหกรรมจังหวัด สิ่งแวดล้อมจังหวัด ขนส่งจังหวัด ตำรวจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปได้
แต่ด้วยมูลค่าแคดเมียมจำนวนนี้หากผ่านการหลอมแล้วจะมีมูลค่าหลายร้อยล้านบาท จึงคุ้มกับอภิมหาคอร์รัปชันคราวนี้ ใครอนุญาตการขุดขึ้นมาจากหลุมฝังกลบ ขุดอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการไหม ใครอนุญาตการขนย้าย ใครจ่ายเงิน ใครรับเงิน ไม่ยากที่จะสาวไปให้ถึงกลุ่มคนที่ทำกันเป็นขบวนการ
คอร์รัปชันขนาดใหญ่เช่นนี้ย่อมเป็นที่จับตาจากทั่วโลก ที่คิดว่าประเทศไทยนั้นเงินซื้อได้ทุกเรื่อง และที่น่าสลดคือยังไม่เคยเห็นรัฐบาลนี้จะพูดว่าจะเอาจริงเอาจังกับปัญหาคอร์รัปชันอย่างไร กลับทำให้ทุกอย่างเลวร้ายลง
ปรากฏการณ์แคดเมียมบอกให้รู้ว่า ปัญหาจริยธรรมทางธุรกิจยังเป็นปัญหาเรื้อรัง บริษัทเจ้าของกากแคดเมียมจำนวนมหาศาลนี้เป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แท้ๆ แม้จะแปลงร่างมาหลายทอดตั้งแต่บริษัททำเหมือง มาทำพลังงาน จนมาทำอสังหาริมทรัพย์และโรงแรม
บริษัทขนาดใหญ่ยังกระทำการท้าทายกฏหมายเช่นนี้ จะไปคาดหวังอะไรกับบริษัทเล็กบริษัทน้อย กรณีนี้บริษัทจดทะเบียนเจ้าของเหมืองต้องรับผิดชอบต่อสาธารณชนไม่ต่างกับที่ต้องรับผิดชอบต่อผู้ถือหุ้น ตลาดหลักทรัพย์ต้องพิจารณาว่าบริษัทมีธรรมาภิบาลเพียงใด และสมควรที่จะอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ต่อไปหรือไม่
ปรากฏการณ์แคดเมียมยังบอกให้รู้ว่า ภาคประชาชนยังขาดการมีส่วนร่วม ไม่ว่าจะดูจากมุมของจิตสำนึก หรือจากมุมการเปิดโอกาสจากฝ่ายรัฐ ถึงเวลาแล้วที่ทุกฝ่ายจะต้องปลุกสำนึกของการดูแลชีวิตและสิ่งแวดล้อมให้เป็นบทบาทที่สำคัญของภาคประชาสังคม ที่จะช่วยเติมช่องว่างความหย่อนยานของภาครัฐ
ชาวบ้านในชุมชนต้องเป็นหูเป็นตา ส่งเสียงดังเมื่อเห็นว่ามีโรงงานอะไรที่น่าสงสัยเข้ามาอยู่ในชุมชน หรือกำลังกระทำการที่ไม่ชอบมาพากล ประชาชนต้องคำนึงถึงสิทธิมนุษยชนต่อการได้รับการคุ้มครองด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมทุกกรณี
ต้องเกิดความตื่นตัวที่จะเรียกร้องให้มีการเปิดเผยข้อมูลทุกอย่างที่จะกระทบกับประชาชน ขณะที่ภาครัฐเองต้องเปิดเผยข้อมูลและเปิดให้มีการตรวจสอบได้เต็มที่ มีช่องทางที่สะดวกง่ายดายต่อการฟังเสียงประชาชน เพิ่มอำนาจให้ประชาชน และต้องตอบสนองทันทีเมื่อมีการให้ข้อมูล
ไม่ใช่พอเกิดเรื่องหน่วยงานรัฐหลายแห่งก็ออกมาพูดว่าประชาชนสามารถแจ้งเหตุได้ ร้องเรียนได้ ขอการเยียวยาได้ แต่ไม่มีอะไรเป็นรูปธรรมตามเคย
ประเทศนี้จะอยู่กันอย่างไร เมื่ออากาศเต็มไปด้วยฝุ่นจิ๋ว ในน้ำในดินเต็มไปด้วยสารพิษ กากและขยะอุตสาหกรรม กลายเป็นประเทศที่รองรับพิษและสิ่งโสโครกจากอุตสาหกรรมทั้งในและต่างประเทศ โดยไร้การไยดีจากรัฐบาล
พอเกิดเรื่องนายกฯ ก็พูดง่ายๆ ว่าให้เอาไปฝังที่เดิม ตอนขุดขึ้นมาทำกันอย่างไร จะเอากลับไปฝังอย่างไร มีมาตรการควบคุมดูแลอย่างไร แล้วถามคนจังหวัดตากเขาหรือยัง ไม่ใช่เอาง่ายเข้าว่า นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ งานนี้จะพิสูจน์ว่ารัฐบาลเอาจริงเอาจังกับเรื่องคอร์รัปชันและคุณภาพชีวิตของประชาชนแค่ไหน หรือก็แค่ลูบหน้าปะจมูก
ต่อให้มีเงินเข้ากระเป๋าคนละหมื่นบาท แต่คุณภาพชีวิตย่ำแย่ ต้องตายผ่อนส่งไปทุกๆ วันก็ไม่มีประโยชน์อะไร หันมาทำสิ่งที่เป็นแก่นสารเสียบ้างเถิดรัฐบาลไทย.