“วิตามินซี” ควรกินแต่พอดี ถ้าไม่อยากเสียเงินฟรีเพราะฉี่ทิ้งหมด

ขึ้นชื่อว่า “วิตามิน” แน่นอนว่าต้องเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ทั้งช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอและสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่โรคระบาดโควิด-19 และโรคหวัดสายพันธุ์อื่นๆ ยังอยู่ใกล้ตัวเราทุกวัน จึงทำให้ผู้คนยุคนี้ต้องหันมาใส่ใจดูแลตัวเองมากขึ้นเป็นพิเศษ

ไม่ใช่แค่การดูแลสุขภาพร่างกายภายนอก ด้วยการล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์, อาบน้ำสระผมทันที่ที่กลับถึงที่พัก, สวมหน้ากากอนามัยในที่ที่มีผู้คนแออัด เท่านั้น แต่การดูแลตัวเองจากภายในก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน โดยเฉพาะการกิน “วิตามินซี” ที่ปัจจุบันมีให้เลือกมากมายหลายแบรนด์ ทั้งสินค้าที่ไทยผลิตเองและสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ รวมถึงมีผู้คนในโซเชียลต่างออกมาแชร์วิธีกินวิตามินซีกันมากมาย

แม้ว่าวิตาวินซีจะเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ แต่หากกินผิดวิธีก็อาจกลายเป็นสิ่งของสิ้นเปลืองได้เช่นกัน ที่ผ่านมาเราอาจเห็นการแนะนำวิธีกินวิตามินเพื่อสุขภาพในหลายๆ รูปแบบ โดยบางคนแนะนำให้กินวิตามินซีมากถึง 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน เนื่องจากบางคนมองว่าจำเป็นที่ต้องกินเยอะในช่วงที่โควิดระบาด แต่หลายคนกลับเห็นต่างออกไป โดยมองว่าเป็นการกินที่มากเกินจำเป็น (Overdose) ทำให้วิตามินซีที่กินเข้าไปถูกขับออกจากร่างกายทางปัสสาวะ

แล้วแบบนี้ เราควรกินวิตามินซีในปริมาณต่อวันเท่าไรกันแน่? แต่ก่อนอื่น “กรุงเทพธุรกิจออนไลน์” ขอชวนมาทำความเข้าใจก่อนว่าวิตามินซีมีประโยชน์และจำเป็นต่อร่างกายอย่างไรบ้าง

“วิตามินซี” เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ หากกินเป็นประจำอาจมีส่วนช่วยลดระยะเวลาที่ป่วยเป็นไข้หวัดได้ ร้อยละ 8 ในผู้ใหญ่ และ ร้อยละ 14 ในเด็ก แต่หากกินหลังจากเป็นโรคหวัดแล้ว ไม่ได้ช่วยลดระยะเวลาและความรุนแรงของโรคลงแต่อย่างใด ทั้งนี้วิตามินซีเป็นหนึ่งในวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกาย มีความสำคัญต่อการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง เพิ่มความต้านทานต่อโรคหัวใจ ช่วยควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย นอกจากนี้ยังเป็นตัวกระตุ้นระบบการไหลเวียนโลหิตของผิวพรรณ เสริมสร้างคอลลาเจน และช่วยต่อต้านสารอนุมูลอิสระ

• ต้องรู้! กินวิตามินซีอย่างไร? ให้เหมาะสมกับร่างกาย

ร่างกายของมนุษย์สามารถดูดซึมวิตามินซีได้ในปริมาณจำกัด โดยจะดูดซึมได้ดีที่สุด เมื่อรับประทานครั้งละไม่เกิน 200 มิลลิกรัม ส่วนที่เกินจากนี้จะถูกดูดซึมได้น้อยมาก 

และวิตามินซียังถูกทำลายได้ง่ายด้วยความร้อนและแสง ผลิตภัณฑ์เสริมวิตามินซีไม่ว่าจะเป็นรูปแบบเม็ดอม, เม็ดฟู่, แบบเคี้ยว หรือแบบกลืน หากเก็บในที่ไม่เหมาะสมจะทำให้ปริมาณวิตามินซีลดน้อยลง ดังนั้นหากกินวิตามินซีครั้งละ 1,000 – 1,500 มิลลิกรัม มีข้อมูลระบุว่า ร่างกายจะดูดซึมวิตามินซีไปใช้ได้เพียง 50% เท่านั้น

ข้อมูลจากคลังข้อมูลยา มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุว่า วิตามินซีเป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ ปริมาณวิตามินซีที่ควรได้รับตามปกติในแต่ละวันสำหรับเด็กคือ 35-45 มิลลิกรัม สำหรับผู้ใหญ่คือ 50-60 มิลลิกรัม แต่ในบางกรณี เช่น หญิงตั้งครรภ์ ผู้ที่สูบบุหรี่ ผู้ที่เป็นหวัดบ่อย ปริมาณของวิตามินซีที่ควรได้รับต่อวันจะมากกว่าปกติ  

หลังจากกินเข้าไปแล้ววิตามินซีจะถูกดูดซึมที่บริเวณลำไส้เล็ก ซึ่งการดูดซึมวิตามินซีขึ้นอยู่กับปริมาณที่กินแต่ละครั้ง เช่น ถ้ากินในขนาด 20 มิลลิกรัม ร่างกายจะดูดซึมได้ถึงร้อยละ 98 ถ้ากินในขนาด 1-1.5 กรัม (1,000-1,500 มิลลิกรัม) ร่างกายจะดูดซึมได้ร้อยละ 50

• แม้ว่าเป็นวิตามินแต่ก็มีผลข้างเคียง

หากร่างกายได้รับวิตามินซีในปริมาณมากเกินไป ก็จะพบผลข้างเคียงในระบบทางเดินอาหาร เช่น ไม่สบายท้อง หรือ ท้องเสีย แต่หากได้รับวิตามินซีมากกว่า 1 กรัม(1,000 มิลลิกรัม) ติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจทำให้เกินนิ่วในไตได้ เพราะปกติแล้ววิตามินซีส่วนเกินจะถูกขับออกทางปัสสาวะในรูปออกซาเลตและกรดยูริกมากกว่าปกติ และยังไปเพิ่มอัตราการทำลายวิตามินบี 12 ในลำไส้อีกด้วย

นอกจากนี้การกินวิตามินซีปริมาณมากในผู้ป่วยบางกลุ่มก็อาจเป็นอันตรายได้ เช่น เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดนิ่วในผู้ป่วยโรคไต หรือ อาจทำให้เกิดภาวะธาตุเหล็กเกินในผู้ป่วยธาลัสซีเมีย เป็นต้น เพราะแม้ว่าวิตามินซีจะเป็นสิ่งที่ร่างกายสามารถขับออกไปเองได้ตามธรรมชาติ แต่หากได้รับมากเกินไป ก็จะเกิดการตกตะกอนที่ไต และมีโอกาสเกิดนิ่วที่ไตได้ในอนาคต

โดยสรุปแล้วสำหรับคนทั่วไปร่างกายต้องการวิตามินซีเพียงแค่ 10-15 มิลลิกรัมเท่านั้น หากกินเกินความจำเป็นของร่างกาย เมื่อปัสสาวะออกมาจะมีสีเหลืองเข้มหรือเหลืองส้ม เพราะฉะนั้นการกินวิตามินซีที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพต่อร่างกายมากที่สุดคือ แบ่งกินวิตามินซีขนาด 500 มิลลิกรัม 2-6 มื้อต่อวัน เพื่อให้ร่างกายได้รับปริมาณวิตามินครบถ้วนและสมดุล

แต่ไม่ว่าจะกินวิตาวินซีเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ต้านโรคหวัดต่างๆ หรือโควิด-19 หรือเพื่อบำรุงผิวพรรณก็ตาม ก็ต้องเข้าใจวิธีการกินให้เหมาะสมกับร่างกายของตนเอง เพื่อไม่ให้การกินวิตามินซีในแต่ละวันนั้นต้องเสียเปล่า และช่วยหลีกเลี่ยงค่าใช้จ่ายในการซื้อวิตามินที่แพงเกินความจำเป็นได้ด้วย

อ้างอิงข้อมูล : โรงพยาบาลกรุงเทพ, โรงพยาบาลเปาโล, RAMA channel, คลังข้อมูลยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์