ถอดแนวคิด 32 ปี บริหารงานและชีวิต “เกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์”
"Work life balance" กรุงเทพธุรกิจ สัมภาษณ์พิเศษ “เกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์” บนเส้นทาง 32 ปี ของการก่อตั้ง บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) กับแนวคิดการบริหารและการใช้ชีวิต ที่ยังคงสนุกและรู้สึกท้าทายในทุกๆ ก้าวที่พา "ลีโอ" เติบโต
"อยากให้องค์กรเป็น “องค์กรอมตะ” แม้วันหนึ่งที่ไม่อยู่แล้ว องค์กรก็ยังอยู่ได้และมีนักบริหารมืออาชีพที่สามารถขับเคลื่อนองค์กรต่อไปได้ " “เกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ถึงหลักในการสร้างองค์กรตลอดระยะเวลา 32 ปีที่ผ่านมา จากพนักงาน 15 คนสู่การจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
จากการเติบโตในครอบครัวคนจีนและญาติๆ ทุกคนทำธุรกิจ จุดประกายให้ “เกตติวิทย์" ตั้งเป้าหมายในการเป็นนักธุรกิจตั้งแต่มัธยมศึกษา และเลือกเรียน ปริญญาตรีสาขาการตลาด คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (ABAC) โดยมองว่าหากจะทำธุรกิจและมีความก้าวหน้า ภาษาอังกฤษจะต้องเก่ง
เส้นทางก่อนจะเป็นเจ้าของธุรกิจเริ่มจากการเป็นพนักงานในบริษัทตัวแทนสายเดินเรือ 2 แห่ง อยู่ 4 ปี และย้ายไปทำงานบริษัทที่ให้บริการจัดส่งสินค้าระหว่างประเทศ 2 ปีกว่า กระทั่งลาออกมาเปิดบริษัทของเขาเองตอนอายุ 28 ปี
“ตอนนั้นคิดง่ายๆ แค่ว่าหากทำธุรกิจแล้วไม่ประสบความสำเร็จก็กลับไปเป็นลูกจ้างเหมือนเดิม การที่ได้ทำงานบริษัทสายเดินเรือ ทำให้เห็นโอกาสธุรกิจนำเข้าส่งออก มองว่าเป็นธุรกิจที่ดีที่เอสเอ็มอีสามารถทำได้ ความใฝ่ฝัน คือ เปิดบริษัทได้ มีพนักงานสัก 30-40 คน ก็น่าจะมีความภาคภูมิใจแล้ว ตั้งใจว่าในอนาคตจะได้เป็นเจ้าของธุรกิจในสายนี้”
จุดเริ่มต้นจากพนักงาน 15 คน
“ลีโอ” เริ่มต้นจากการมีพนักงานเพียง 15 คน เติบโตจนมีพนักงาน 40 คนได้ภายในปีแรก ปัจจุบัน ลีโอ และบริษัทในเครือทั้ง 6 แห่ง มีพนักงานรวมทั้งสินกว่า 450 คน และจากรายได้ไม่ถึง 100 ล้านบาท สู่รายได้มากกว่า 3,000 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา และตั้งเป้า 5,000 ล้านบาทในปีนี้ ปัจจุบัน บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) ได้เข้าตลาดหลักทรัพย์เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา
“คอนเซปต์ในการทำงาน คือ ต้องเทรนด์พนักงานให้ทำงานแทนให้ได้มากที่สุด ยิ่งเขาเก่งเท่าไหร่และสามารถมอบหมายงานให้ทำแทนได้ เราจะได้เอาเวลาไปขยายธุรกิจได้เพิ่มมากขึ้น ผ่านมา 32 ปี ถือว่าประสบความสำเร็จเกินความคาดหมาย"
"การจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ ถือว่ามาไกลกว่าที่ใฝ่ฝัน แต่ก็ยังมีความสนุกและรู้สึกท้าทายมากขึ้นว่าอยากจะทำให้บริษัทเจริญก้าวหน้าและใช้ทรัพยากรของเราในการส่งเสริมระบบโลจิสติกส์ของไทยให้ดีขึ้น ช่วยผู้นำเข้าส่งออกให้มีการส่งสินค้าที่มีประสิทธิภาพ มีบริการที่ดีโดยคนไทย และมีความภาคภูมิใจว่าบริษัทให้บริการทั้งลูกค้าภายในประเทศและต่างประเทศได้เป็นอย่างดี”
มี Passion กับงาน
ตลอดระยะเวลา 32 ปีของการเป็นผู้บริหาร คำถามที่พบบ่อยคือเหนื่อยหรือท้อบ้างหรือไม่ “เกตติวิทย์” กล่าวว่า หากไม่คิดว่าเหนื่อยก็จะไม่เหนื่อย หากรู้สึกสนุกก็จะรู้สึกสนุก เพราะมี Passion มีความรักกับสิ่งที่ทำจึงไม่รู้สึกว่าเหนื่อย ไม่เคยเหนื่อยใจ แต่ร่างกายอาจจะเพลียบ้าง ก็ต้องหาเวลาพักผ่อน
“โชคดีที่มีภรรยาและลูกที่เข้าใจในธุรกิจ เพราะต้องใช้เวลาหลังเลิกงานค่อนข้างเยอะ ต้องเดินทางบ่อยๆ บางครั้งทั้งสัปดาห์อาจจะไม่ได้กลับไปทานข้าวที่บ้านเลย แต่ก็พยายามแบ่งเวลา โดยเฉพาะเมื่อมีลูก เสาร์อาทิตย์จึงพยายามจัดให้เป็นเวลาของครอบครัว สิ่งสำคัญ คือ เมื่อลูกต้องการให้ร่วมกิจกรรมที่โรงเรียน หากไม่ติดเดินทางต่างประเทศจะไปกับเขาทุกครั้ง และไม่เคยเอาเรื่องงานกลับไปที่บ้าน กลับบ้านจะทำหน้าที่พ่อให้คำปรึกษา ให้ลูกเข้าหาได้ตลอดเวลา”
ขณะเดียวกัน การออกกำลังสามารถทำได้แม้อยู่ที่ออฟฟิศและเป็นผู้บริหารเพียงคนเดียวที่เดินขึ้นตึก 5 ชั้น วันละ 2 รอบแม้จะมีลิฟต์ อีกทั้ง ในวันหยุดพยายามวิ่งอย่างน้อย 5 กิโลเมตร
“เคยอ่านบทความของแพทย์ท่านหนึ่งบอกว่า การเดินขึ้นตึก 5 ชั้นโดยไม่หยุด เท่ากับการเดินรอบสนามฟุตบอล 2 รอบ ดังนั้น จึงใช้วิธีเดินขึ้นลงออฟฟิศทุกวันเพื่อให้หัวใจสูบฉีด และเป็นคนโชคดีที่หัวถึงหมอนแล้วหลับเลยไม่มีปัญหาว่านอนไม่หลับ นอกจากนี้ จะสวดมนต์นั่งสมาธิทุกวัน ก่อนโควิด-19 จะพยายามหาเวลา 1 สัปดาห์ไปปฏิบัติธรรม เป็นการรีสตาร์ทตัวเองได้ดีมาก”
สร้างองค์กรอมตะ
เมื่อมองย้อนกลับไปในวันแรก "เกตติวิทย์" กล่าวว่า ภูมิใจและดีใจที่ลีโอเติบโตมาได้ทุกวันนี้ เพราะมีพนักงานที่ดี มีหุ้นส่วนที่ดี มีผู้บริหารที่ดีร่วมทีมกัน การสร้างองค์กร จะบอกเสมอว่าอยากจะให้องค์กรเป็น “องค์กรอมตะ” แม้วันหนึ่งที่เกตติวิทย์ไม่อยู่แล้ว องค์กรก็ยังอยู่ได้ และมีนักบริหารมืออาชีพที่สามารถขับเคลื่อนองค์กรต่อไปได้
“เราบอกพนักงานเสมอว่าอุปสรรคทุกอย่างแก้ไขได้ ถ้ามีความมุ่งมั่นตั้งใจ คติในการทำงานก็เบสิคมาก คือ ขยัน ซื่อสัตย์ อดทน พยายามเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลา และสิ่งที่ชอบมากที่สุด คือ การอ่านหนังสือ อ่านความสำเร็จขององค์กรอื่นๆ คนอื่นๆ และเรียนรู้จากเขามาประยุกต์ใช้กับเรา ลีโอที่อยู่ยั่งยืนมา 32 ปีได้ เราผ่านมาทุกวิกฤติ เพราะพยายามปรับตัวให้รวดเร็ว และรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ต้องเผชิญหน้ากับมัน พยายามป้องกันความเสี่ยง จะสามารถอยู่รอดและมีความสุขทั้งในชีวิตและธุรกิจ”
เมื่อถามว่าคาดหวังกับการส่งไม้ต่อธุรกิจให้กับลูกสาวหรือไม่ คำตอบคือ คาดหวัง แต่คนรุ่นใหม่มีแนวความคิดของตัวเอง เมื่อสมัยที่ลูกอายุ 12- 13 ปี เขาเคยพูดว่าทุกวันนี้ที่เขามีชีวิตที่ดีก็เพราะธุรกิจของพ่อ ดังนั้น วันหนึ่งถ้าเขาโตขึ้นมาเขาก็อยากจะสานต่อธุรกิจของพ่อ ตอนนั้นฟังแล้วดีใจมาก แต่นั่นก็คือช่วงที่เขาเป็นเด็ก และเราก็อยากให้เขามีความสุขกับสิ่งที่เขาทำ ถ้าเขาตัดสินใจจะมาสานต่อธุรกิจก็ยินดี
“แต่ก็บอกกับเขาตั้งแต่ต้นว่า วันไหนที่อยากมาทำที่ลีโอ ลูกต้องไปเป็นลูกจ้างบริษัทอื่น 5 ปี เป็นอย่างน้อย ให้รู้รสชาติของการเป็นพนักงาน เป็นลูกน้องว่าเป็นอย่างไร กลับเข้ามาจะได้เข้าใจว่าการดูแลลูกน้องให้ได้ใจ เป็นอย่างไร ซึ่งเขาก็เข้าใจ และเขาก็ยอมรับเงื่อนไขนี้” เกตติวิทย์ กล่าวทิ้งท้าย