ทำความรู้จัก"โรคหลอดเลือดสมอง" ตีบ ตัน แตก และโป่งพอง
“โรคหลอดเลือดสมอง”เป็นอีกโรคที่มีสถิติการเสียชีวิตติดอันดับรองจากมะเร็งและหัวใจ มีทั้งกรณีตีบ ตัน แตกและโป่งพอง หากเดินทางไปโรงพยาบาลไม่ทันเวลา อาจเสียชีวิตหรืออาจเป็นอัมพาต อัมพฤกษ์
หลอดเลือดสมอง มีทั้งเส้นเลือดใหญ่ เส้นเลือดฝอย หากเส้นเลือดเหล่านั้นตีบ ตัน หรือแตก ก็จะส่งผลต่อร่างกายทันที เนื่องจากเนื้อสมองที่อยู่รอบหลอดเลือดอ่อนนุ่มกว่าเนื้อส่วนอื่นๆ ทำให้หลอดเลือดแตกง่าย และเมื่อแตกเลือดจะออกไปกดเนื้อสมอง
โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) จึงเป็นเสมือนระเบิดเวลาที่ซ่อนอยู่ในร่างกาย เหตุปัจจัยความเสี่ยงของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่บางคนแทบไม่รู้เลยว่ามีความเสี่ยง เนื่องจากไม่เคยตรวจสุขภาพ และถ้าเกิด Stroke ต้องได้รับการรักษาให้ทันเวลาภายใน 3-4.5 ชั่วโมง
- ปัจจัยเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมอง
- ปัจจัยเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมองที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้
1.คนที่มีอายุมากกว่า 65 ปีมีความเสี่ยงมากกว่า เนื่องจากอายุมากขึ้นหลอดเลือดจะมีการแข็งตัวมากขึ้น และมีไขมันเกาะหนาตัว ทำให้เลือดไหลผ่านได้ลำบากมากขึ้น
2.เพศชาย มีความเสี่ยงมากกว่าเพศหญิง
3.มีประวัติครอบครัว เป็นโรคหลอดเลือดสมองหรือโรคหลอดเลือดหัวใจ โดยเฉพาะในขณะที่มีอายุยังน้อย
- ปัจจัยเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมองที่เปลี่ยนแปลงได้
เรื่องการปรับพฤติกรรมมีส่วนช่วยได้ ปัจจัยเสี่ยงมีทั้งความดันโลหิตสูง เบาหวาน หัวใจ ไขมันในเลือดสูง การดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ ความเครียดและความอ้วน
- ชนิดหลอดเลือดสมอง
ความผิดปกติของโรคหลอดเลือดสมองแบ่งออกได้ดังนี้
1. หลอดเลือดสมองชนิดสมองขาดเลือด (Ischemic Stroke)
เป็นชนิดของหลอดเลือดสมองที่พบได้กว่า 80% ของโรคหลอดเลือดสมองทั้งหมด เกิดจากอุดตันของหลอดเลือด จนทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไปเพียงพอ ส่วนใหญ่มักเกิดร่วมกับภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง ซึ่งมีสาเหตุมาจากไขมันที่เกาะตามผนังหลอดเลือด จนทำให้เกิดเส้นเลือดตีบแข็ง โรคหลอดเลือดสมองชนิดนี้ยังแบ่งออกได้อีก 2 ชนิดย่อย ได้แก่
• ขาดเลือดจากภาวะหลอดเลือดสมองตีบ (Thrombotic Stroke)
เป็นผลมาจากหลอดเลือดแดงแข็ง (Atherosclerosis) เกิดจากภาวะไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ทำให้เลือดไม่สามารถไหลเวียนไปยังสมองได้
• ขาดเลือดจากการอุดตัน (Embolic Stroke)
เกิดจากการอุดตันของหลอดเลือด จนทำให้เลือดไม่สามารถไหลเวียนไปที่สมองได้อย่างเพียงพอ
2. หลอดเลือดสมองชนิดเลือดออกในสมอง (Hemorrhagic Stroke)
เกิดจากภาวะหลอดเลือดสมองแตก หรือ ฉีกขาด ทำให้เลือดรั่วไหลเข้าไปในเนื้อเยื่อสมอง พบได้น้อยกว่าชนิดแรก คือประมาณ 20% สามารถแบ่งได้อีก 2 ชนิดย่อย ๆ ดังนี้
• หลอดเลือดสมองผิดปกติ (Arteriovenous Malformation)
เกิดจากความผิดปกติของหลอดเลือดสมองตั้งแต่กำเนิด
• หลอดเลือดสมองโป่งพอง (Aneurysm)
เกิดจากความอ่อนแอของหลอดเลือด คือ ความผิดปกติที่เกิดจากการบางลงของผนังหลอดเลือดสมอง ทำให้ผนังเส้นเลือดสมองโป่งพองออกคล้ายบอลลูนและแตกออกง่าย
โรคนี้มักเกิดขึ้นกับเส้นเลือดบริเวณฐานกะโหลกศีรษะ พบได้บ่อยในช่วงอายุ 30-60 ปี ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรค ได้แก่ โรคทางพันธุกรรมบางชนิด ประวัติโรคเส้นเลือดสมองโป่งพองในครอบครัว
นอกจากนี้ประเภทของเส้นเลือดสมองโป่งพอง ยังมีทั้งกรณี
-เส้นเลือดสมองโป่งพองแบบยังไม่แตก
อาการส่วนมากไม่มีอาการ ยกเว้นกรณีที่หลอดเลือดสมองโป่งพองมีขนาดใหญ่ อาจเกิดการกดทับเส้นประสาทข้างเคียง เช่น มีอาการปวดร้าวบริเวณใบหน้าหนังตาตก หรือมองเห็นภาพซ้อน หลอดเลือดสมองโป่งพองที่มีขนาดใหญ่ อาจทำให้เลือดไหลวนอยู่กายใน เกิดลิ่มเลือดขึ้นและหลุดไปอุดตันหลอดเลือดสมองส่วนปลาย ส่งผลให้เกิดอาการสมองขาดเลือด
-เส้นเลือดสมองโป่งพองแบบแตกแล้วมีอาการ
ทำให้เกิดภาวะเลือดออกใต้ชั้นเยื่อหุ้มสมอง และความดันในกะโหลกสูงขึ้น ผู้ป่วยจะมีอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรงและเฉียบพลัน โดยเฉพาะบริเวณต้นคอ ก้มคอไม่ได้ ส่วนใหญ่มีอาการคลื่นใส้ อาเจียน บางรายอาจชักหมดสติไม่รู้สึกตัว หรือเสียชีวิตได้ จึงจำเป็นต้องรับการรักษาโดยเร็ว
อาการโรคหลอดเลือดสมองตีบตัน
- ตาพร่ามัวมองเห็นภาพซ้อน มีอาการชาครึ่งซีก อ่อนแรงและหน้าเบี้ยว
- แขนขาอ่อนแรงร่วมด้วย พูดลำบาก หรือฟังไม่เข้าใจ เวียนศีรษะ
- การทรงตัวไม่ดี เดินเซ กลืนลำบาก ปวดศีรษะ (บางครั้งจะมีอาการปวดศีรษะรุนแรง) และบางกรณีก็หมดสติ
การรักษาโรคหลอดเลือดสมองชนิดขาดเลือด
ในปัจจุบันโรคหลอดเลือดสมองขาดเลือดสามารถให้การรักษาได้โดยความรวดเร็วในการรักษาถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะยิ่งปล่อยไว้จะทำ ให้สมองเกิดความเสียหายมากขึ้น
- ยาละลายลิ่มเลือด
ใช้เพื่อละลายลิ่มเลือดที่อุดตันอยู่ เพื่อทำให้เลือดไหลเวียนได้สะดวกมากขึ้น ยิ่งได้รับเร็วประสิทธิภาพในการรักษาก็จะยิ่งดีขึ้น
- ยาต้านเกล็ดเลือด
เป็นยาที่ช่วยป้องกันการก่อตัวของเกล็ดเลือด ทำให้การอุดตันลดลง ยาในกลุ่มนี้ที่นิยมใช้ได้แก่ยาแอสไพริน ใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยเข้ารับการรักษาในระยะเวลาที่เกิน 4.5 ชั่วโมง และให้เพื่อป้องกันการเกิดซ้ำของโรคหลอดเลือดสมองชนิดขาดเลือดในระยะยาว
-ยาต้านการแข็งตัวของเลือด
ใช้ในผู้ที่มีอัตราการเต้นของหัวใจที่ผิดปกติเพื่อป้องกันการเกิดการกลับเป็นซ้ำในระยะยาว หากผู้ป่วยได้รับการรักษาอย่างรวดเร็ว อาการของผู้ป่วยจะเริ่มดีขึ้นตามลำดับ และอาจกลับมาเป็นปกติได้ภายใน 6 เดือน แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความเสียหายของสมอง
-การรักษาทางการผ่าตัด
เส้นเลือดในสมองแตก พบเลือดออกในสมอง ต้องรักษา ต้องผ่าตัดช่วยเหลือ ซึ่งปัจจุบันมีนวัตกรรมการผ่าตัดที่เรียกว่า Key Hole Surgery หรือการเจาะรูเล็กๆ คล้ายรูกุญแจที่ศีรษะเพื่อดูดเลือดออกจากสมอง
วิธีป้องกันโรคหลอดเลือด
ทำได้โดยหลีกเลี่ยงและควบคุมปัจจัยเสี่ยงดังนี้
-ลดอาหารเค็ม หรือเกลือมาก จะช่วยป้องกันโรคความดันโลหิตสูงและหลอดเลือดแข็งได้
-รับประทานอาหารที่มีกากใยสูงเป็นประจำ เช่น ผัก ผลไม้
-หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันมากโดยเฉพาะไขมันอิ่มตัว เช่น มันหมู มันไก่ ไข่แดง และกะทิมะพร้าว รวมทั้งอาหารที่หวานจัดต่างๆ เป็นต้น ซึ่งจะทำให้ระดับไขมันไนเลือดสูงได้
-งดสูบบุหรี่ เนื่องจากบุหรี่มีสารนิโคติน ซึ่งสารนี้จะทำให้หัวใจเต้นเร็วหลอดเลือดหดตัว ความดันโลหิตสูง ทำให้เกิดการอุดตันของเส้นเลือด โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีความดันโลหิตสูง เบาหวาน และโรคหัวใจอยู่ก่อนแล้วจะทำให้เกิดอันตรายได้
-ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพราะช่วยคลายเครียด ลดไขมัน และลดความดันโลหิตนอกจากนี้ยังทำให้สุขภาพแข็งแรงอีกด้วย
ปัจจัยเสี่ยงแต่ละโรคในการเป็นหลอดเลือดสมอง
-ถ้าเป็นโรคความดันโลหิตสูง มีความเสี่ยงในการเป็น Stroke มากกว่าคนทั่วไปประมาณ 4 เท่า แต่ถ้าควบคุมความดันให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ สามารถลดความเสี่ยงได้
-เป็นโรคหัวใจ เช่น โรคหัวใจวาย โรคเกี่ยวกับลิ้นหัวใจ โดยเฉพาะหัวใจเต้นผิดจังหวะจะมีความเสี่ยงมากขึ้น
-ถ้าเป็นเบาหวาน ก็เพิ่มโอกาสเป็น Stroke ประมาณ 1.8-2.2 เท่า ถ้าควบคุมเบาหวานได้ดี โอกาสจะลดลง
-กลุ่มคนที่ไขมันในเลือดสูง ทำให้ผนังเส้นเลือดแดงไม่ยืดหยุ่น เกิดการตีบตันง่าย เลือดจึงไหลผ่านไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ได้น้อย ถ้าเกิดกับหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง จะทำให้สมองขาดเลือดและเป็นอัมพาตได้
-อายุเกิน 55 ปี ทุก 10 ปีจะเพิ่มโอกาสเป็น Stroke เป็น 2 เท่า
-สูบบุหรี่เพิ่มโอกาสเป็น Stroke ประมาณ 2 เท่า
-การดื่มสุรา จะทำให้หลอดเลือดเปราะ หรือเลือดออกง่าย
-ดื่มแอลกอฮอล์ เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นเลือดออกในสมอง
-อ้วนมากไป เสี่ยงต่อการเป็น Stroke
- เคยมีเส้นเลือดสมองตีบ ก็มีโอกาสเป็นได้อีก
ฯลฯ
..................
อ้างอิง : โรงพยาบาลวัฒนา, แพทย์หญิงพรรณวลัย ผดุงวณิชย์กุล อายุรศาสตร์สาขาประสาทวิทยา มหาวิทยาลัยนเรศวร,โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และสาขาวิชาประสาทศัลยศาสตร์ ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล