รู้ทัน...โรคเส้นเลือดสมองโป่งพอง กว่าจะรู้ตัว ก็อาจสาย
โรคเส้นเลือดสมองโป่งพอง ซึ่งมีปัจจัยเสี่ยงหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็น ช่วงอายุที่มากขึ้น ความดันโลหิตสูง สูบบุหรี่ มีไขมันในเลือดสูง ดื่มแอลกอฮอล์ โรคทางพันธุกรรม ความน่ากังวลของโรคนี้ก็คือ ส่วนใหญ่จะไม่แสดงอาการ และหากเส้นเลือดแตก มีโอกาสเสี่ยงเสียชีวิตได้
ข้อมูลจาก รศ.นพ.รุ่งศักดิ์ ศิวานุวัฒน์ ในเว็บไซต์ของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย อธิบายถึง โรคเส้นเลือดสมองโป่งพอง (Cerebral Aneurysm) ว่า เป็นความผิดปกติที่เกิดจากการบางลงของผนังหลอดเลือดสมอง ทำให้ผนังเส้นเลือดสมองโป่งพองออกคล้ายบอลลูนและแตกออกง่าย โรคนี้มักเกิดขึ้นกับเส้นเลือดบริเวณฐานกะโหลกศีรษะ พบได้บ่อยในช่วงอายุ 30-60 ปี ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรค ได้แก่ โรคทางพันธุกรรมบางชนิด ประวัติโรคเส้นเลือดสมองโป่งพองในครอบครัวโรคความดันโลหิตสูงที่ไม่ได้รับการรักษา การสูบบุหรี่ และอายุที่มากขึ้น
ประเภทของเส้นเลือดสมองโป่งพอง
1. เส้นเลือดสมองโป่งพองแบบยังไม่แตก
อาการ
- ส่วนมากมักจะไม่มีอาการ ยกเว้นกรณีที่หลอดเลือดสมองโป่งพองมีขนาดใหญ่ อาจเกิดการกดทับเส้นประสาทข้างเคียง เช่น มีอาการปวดร้าวบริเวณใบหน้าหนังตาตก หรือมองเห็นภาพซ้อน
- หลอดเลือดสมองโป่งพองที่มีขนาดใหญ่ อาจทำให้เลือดไหลวนอยู่ภายใน เกิดลิ่มเลือดขึ้นและหลุดไปอุดตันหลอดเลือดสมองส่วนปลาย ส่งผลให้เกิดอาการสมองขาดเลือด
2. เส้นเลือดสมองโป่งพองแบบแตกแล้ว
อาการ
- ทำให้เกิดภาวะเลือดออกใต้ชั้นเยื่อหุ้มสมอง และความดันในกะโหลกสูงขึ้น ผู้ป่วยจะมีอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรงและเฉียบพลัน โดยเฉพาะบริเวณต้นคอ ก้มคอไม่ได้
- ส่วนใหญ่มีอาการคลื่นใส้ อาเจียน บางรายอาจชักหมดสติ ไม่รู้สึกตัว หรือเสียชีวิตได้ จึงจำเป็นต้องรับการรักษาโดยเร็ว
ความป่วยที่ไม่แสดงอาการ
ข้อมูลจาก โรงพยาบาลสมิติเวช อธิบายว่า หลอดเลือดสมองโป่งพองที่ยังไม่แตกที่ตรวจพบ มีเพียง 1% ที่แสดงอาการ โดยจะมีอาการหลักคือปวดศีรษะ แต่อาจพบอาการอื่น ๆ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณเตือนได้ ซึ่งมักเกิดจากหลอดเลือดโป่งพองมีขนาดใหญ่และกดเบียดสมองหรือเส้นประสาทสมอง ทำให้การมองเห็นผิดปกติ
หลอดเลือดโป่งพองในสมองที่ยังไม่แตก มักตรวจพบโดยบังเอิญและยังไม่มีอาการ การตรวจร่างกายโดยทั่วไปอาจไม่พบความผิดปกติ แต่ถ้ามีอาการปริแตกของหลอดเลือดโป่งพองในสมอง จะตรวจพบลักษณะความดันในสมองสูง คอแข็ง ระดับความรู้สึกตัวลดลง เลือดออกในจอประสาทตา เป็นต้น
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง เส้นเลือดสมองโป่งพอง
1. สาเหตุที่ทำให้เกิดความผิดปกติและความอ่อนแอลงของผนังหลอดเลือด ที่เกิดภายหลัง เช่น
- ความดันโลหิตสูง
- การสูบบุหรี่
- ไขมันในหลอดเลือด
- การใช้ยาเสพติด เช่น ยาบ้า หรือโคเคน
- การดื่มแอลกอฮอล์โดยเฉพาะการดื่มครั้งละมาก ๆ
- การบาดเจ็บที่บริเวณสมอง
- การติดเชื้อในหลอดเลือด
- การมีภาวะหลอดเลือดแดงฉีกเซาะ
- โรคมะเร็งบริเวณศีรษะและคอ
2. ปัจจัยบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับโรคทางพันธุกรรม หรือทางกายภาพ ได้แก่
- เพศหญิง
- มีประวัติครอบครัวเป็นโรคหลอดเลือดโป่งพอง
- เป็นโรคเกี่ยวกับหลอดเลือด หรือเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน เช่น Fibromuscular dysplasia, Hereditary hemorrhagic telangiectasis, Ehlers-Danlos syndrome, Marfan syndrome, neurofibromatosis type 1
- มีภาวะโรคถุงน้ำ เช่น polycystic kidney disease, tuberous sclerosis
- มีภาวะหลอดเลือดสมองโป่งพองแต่กำเนิด
ความรุนแรงของโรคเส้นเลือดสมองโป่งพอง
หากหลอดเลือดสมองที่โป่งพองแตกจะมีอัตราการเสียชีวิตสูงมาก 24% เสียชีวิตภายใน 24 ชั่วโมงแรก และ 50% จะเสียชีวิตใน 3 เดือนถัดมา
อาการแบบนี้ต้องรีบมาพบแพทย์
- ปวดศีรษะแบบผิดปกติ ชนิดที่ไม่เคยเป็นมาก่อน: เราทุกคนย่อม เคยปวดศีรษะ แต่เมื่อไรก็ตามที่ปวดแล้วรู้สึกว่าคราวนี้ต่างออกไป ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน
- อาการอื่น ๆ เช่น ปวดศีรษะร่วมกับแขนขาอ่อนแรง แม้ลงท้ายผู้ป่วยจะดูอาการทุเลาลง พูดคุยได้ เดินได้ตามปกติ
การวินิจฉัย เส้นเลือดสมองโป่งพอง
- การตรวจร่างกายโดยทั่วไปอาจไม่พบความผิดปกติโดยเฉพาะหลอดเลือดโป่งพองที่ยังไม่มีการปริแตก ยกเว้นเมื่อหลอดเลือดโป่งพองมีขนาดใหญ่มาก แต่ถ้ามีอาการปริแตกของหลอดเลือดโป่งพองในสมอง ก็จะมาด้วยอาการเลือดออกในชั้นเยื่อหุ้มสมอง จะตรวจพบลักษณะความดันในสมองสูง คอแข็ง ระดับความรู้สึกตัวลดลง เลือดออกในจอประสาทตา เป็นต้น
ส่วนการตรวจหาภาวะหลอดเลือดสมองโป่งพอง แพทย์จะทำการตรวจเพิ่มเติมเพื่อหาขนาดและตำแหน่งของหลอดเลือดที่มีการโป่งพอง โดยอาจพิจารณาทำการตรวจพิเศษดังต่อไปนี้
- การตรวจหลอดเลือดด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRA)
- การตรวจหลอดเลือดด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CTA)
- การฉีดสารทึบรังสีเพื่อตรวจสอบหลอดเลือด (Diagnostic cerebral angiogram) ซึ่งเป็นวิธีมาตรฐานในการวินิจฉัยภาวะนี้
การรักษา เส้นเลือดสมองโป่งพอง
เนื่องจากความเสี่ยงของหลอดเลือดโป่งพองขึ้นอยู่กับขนาดของหลอดเลือดที่โป่งพอง โดยเฉพาะหลอดเลือดที่มีขนาดใหญ่กว่า 7 มิลลิเมตรขึ้นไป จะเพิ่มโอกาสของการปริแตกมากขึ้นเป็นสองเท่า เมื่อเทียบกับขนาดที่เล็กกว่า 7 มิลลิเมตร รวมถึงตำแหน่งของหลอดเลือดโป่งพองซึ่งจะมีผลต่อแรงกระแทกต่อหลอดเลือดนั้น เช่น หลอดเลือด Posterior communicating artery aneurysm จะมีความเสี่ยงในการแตกมากที่สุดเมื่อเทียบกับหลอดเลือดโป่งพองที่มีขนาดเท่ากันในตำแหน่งอื่น เนื่องจากเป็นตำแหน่งที่มีแรงกระแทก การไหลวนของเลือด (turbulent flow) มาก
หากหลอดเลือดโป่งพองมีขนาดไม่ใหญ่
มักจะใช้การติดตามเป็นระยะๆ เพื่อดูอัตราการโตของหลอดเลือดโป่งพองนั้น หากมีความเสี่ยงที่จะแตกมากขึ้น จำเป็นจะต้องทำการอุดปิดหลอดเลือดที่โป่งพองเพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดหลอดเลือดปริแตก หรือเมื่อมีการปริแตกของหลอดเลือดโป่งพองนั้นแล้ว จำเป็นต้องทำการอุดปิดรอยรั่วของหลอดเลือดโป่งพองนั้นไม่ให้เกิดเลือดออกซ้ำอีก สามารถทำได้โดยการรักษาทางหลอดเลือด และการผ่าตัดแบบเปิดเพื่อหนีบเส้นเลือด
การรักษาทางหลอดเลือด (Endovascular therapy)
วิธีนี้ผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดเปิดกะโหลกศีรษะแต่จะสอดท่อขนาดเล็กเข้าไปทางหลอดเลือดแดง มักเป็นบริเวณขาหนีบหรือข้อมือและนำท่อไปถึงบริเวณหลอดเลือดที่โป่งพองในสมอง โดยจะมีอุปกรณ์ที่ทำให้เกิดการแข็งตัวของเลือดเพื่อหยุดเลือดออกและลดความเสี่ยงในการแตกของหลอดเลือดที่โป่งพอง หรือเป็นการใส่ท่อตาข่ายเข้าไปเพื่อให้เลือดมีการไหลเวียนผ่านท่อตาข่ายนี้แทนที่จะผ่านหลอดเลือดที่โป่งพอง โดยแพทย์จะแนะนำวิธีที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละรายก่อนการผ่าตัด
วิธีนี้มีระยะเวลาในการฟื้นตัวสำหรับผู้ที่มีการแตกของหลอดเลือดอยู่ที่หลายสัปดาห์จนถึงเป็นเดือนเช่นเดียวกัน แต่ในผู้ที่ยังไม่มีการแตกของหลอดเลือดที่โป่งพองผู้ป่วยอาจฟื้นตัวได้ในระยะเวลาเพียงไม่กี่วัน แต่อาจมีความเสี่ยงในการกลับมาเลือดออกซ้ำได้มากกว่าวิธีการผ่าตัดแบบเปิดเพื่อหนีบเส้นเลือด
การผ่าตัดแบบเปิดเพื่อหนีบเส้นเลือด (Open surgical (microvascular) clipping)
แพทย์จะทำการผ่าตัดเปิดกะโหลกศีรษะและใช้การหนีบเส้นเลือดเพื่อหยุดการไหลของเลือดเข้าไปในบริเวณที่มีเส้นเลือดโป่งพอง ระยะเวลาในการฟื้นตัวสำหรับผู้ที่มีการแตกของหลอดเลือดอยู่ที่หลายสัปดาห์จนถึงเป็นเดือน และการฟื้นตัวในผู้ที่ยังไม่มีการแตกของหลอดเลือดอยู่ที่ 2-4 สัปดาห์ วิธีนี้เป็นวิธีที่มีอัตราการกลับมาเป็นซ้ำต่ำ
นอกจากการรักษาหลอดเลือดที่โป่งพองโดยตรงแล้ว ต้องทำการควบคุมปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้หลอดเลือดโป่งพองขยายขนาดขึ้นหรือแตก ได้แก่
- การควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
- หยุดสูบบุหรี่ งดแอลกอฮอล์ และการใช้สารเสพติด
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ จะช่วยทำให้หลอดเลือดมีความยืดหยุ่น
การป้องกัน เส้นเลือดสมองโป่งพอง
- รักษาภามะความดันโลหิตสูง
- งดสูบบุหรี่
- หมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
- หลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสเค็มจัดหรือมีไขมันสูง
- และเน้นรับประทานผัก ผลไม้
อ้างอิง : โรงพยาบาลสมิติเวช , โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ , โรงบำรุงราษฎร์