‘จอตาเสื่อม’ โรคฮิตวัยทำงาน - ผู้สูงวัย เช็กสัญญาณเตือนที่ต้องระวัง!

‘จอตาเสื่อม’ โรคฮิตวัยทำงาน - ผู้สูงวัย เช็กสัญญาณเตือนที่ต้องระวัง!

'ดวงตา’ เป็นอวัยวะที่สำคัญมากๆ ยิ่งในปัจจุบันการใช้ชีวิต การทำงานของผู้คน ทำให้ต้องใช้ดวงตาในการทำงานอย่างหนัก และดวงตาก็เหมือนกับอวัยวะอื่นๆ ที่สามารถเสื่อมไปตามสภาพร่างกายและอายุ ได้เช่นเดียวกัน

Keypoint:

  • ด้วยพฤติกรรม การทำงานต้องจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือตลอดเวลา อาจทำให้หลายๆคนสุขภาพดวงตาเสื่อมก่อนวัยอันควร
  • ปัจจุบันไม่ใช่เฉพาะผู้สูงวัยที่เท่านั้นที่กำลังประสบปัญหาจอประสาทตาเสื่อม หรือโรคเกี่ยวกับสุขภาพดวงตา แต่คนวัยทำงาน หรือแม้กระทั่งเด็กเล็กต่างมีปัญหาสุขภาพดวงตาทั้งนั้น 
  • วิธีการป้องกัน ดูแลสุขภาพดวงตา ปรับแสงหน้าจอ เว้นระยะห่าง ไม่สูบบุหรี่ ออกกำลังกาย รับประทานอาหาร  ดื่มน้ำ สวมแว่นกันแดด ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้เหมาะสม

 

‘การใช้ดวงตาหนักๆ  และไม่ได้ดูแลสุขภาพดวงตาให้ดี' อาจจะทำให้สุขภาพดวงตาเสื่อมอย่างรวดเร็วก่อนวัยทำงาน โดยอาจเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย อาทิ วัยที่เพิ่มขึ้นก่อให้เกิดความเสื่อมต่างๆ ของร่างกายและดวงตา รูปแบบการดำเนินชีวิตที่ก่อให้เกิดโรคนั้นๆ อุบัติเหตุ กรรมพันธุ์ หรืออื่นๆ

ทั้งนี้ การใช้งานที่มากขึ้น อายุที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อการมองเห็นของดวงตา ที่อาจมีการมองเห็นไม่ชัดเจน โดยอาจเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย อาทิ วัยที่เพิ่มขึ้นก่อให้เกิดความเสื่อมต่างๆ ของร่างกายและดวงตา รูปแบบการดำเนินชีวิตที่ก่อให้เกิดโรคนั้นๆ อุบัติเหตุ กรรมพันธุ์ หรืออื่นๆ โดยการเฝ้าระวัง หมั่นสังเกตอาการผิดปกติ หรือป้องกันปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เป็นอีกหนึ่งวิธีที่มีส่วนช่วยดูแลป้องกันสุขภาพดวงตาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

โดยการเฝ้าระวัง หมั่นสังเกตอาการผิดปกติ หรือป้องกันปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เป็นอีกหนึ่งวิธีที่มีส่วนช่วยดูแลป้องกันสุขภาพดวงตาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

 

สัญญาณเตือนอาการผิดปกติต่อดวงตา 

ถ้าไม่อยากเสียสายตาต้องหมั่นสังเกตอาการต่างๆ ที่ผิดปกติต่อดวงตา เพราะอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคต่างๆ ได้ดังนี้

1.ตาแห้ง

สามารถเกิดได้กับทุกเพศทุกวัย โดยอาจเกิดได้จากพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การจ้องคอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟนเป็นเวลานาน การใช้ยาบางชนิด หรือการไม่สมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย เป็นต้น ซึ่งในผู้หญิงสูงวัยสามารถเกิดอาการตาแห้งได้จากภาวะการขาดฮอร์โมนเพศ จากการหมดประจำเดือน ส่งผลให้การผลิตน้ำตาน้อยลง

โดยอาจส่งผลให้มีอาการเหล่านี้ ไม่สบายตา แสบร้อนดวงตา คันตา เคืองตา มีน้ำตาไหลมากผิดปกติ เป็นต้น สามารถแก้ไขเบื้องต้น โดยการป้องกันภาวะตาแห้งจากสภาพแวดล้อม ด้วยการสวมใส่แว่นตากันลม หรือหยอดน้ำตาเทียม กรณีรู้สึกตาแห้ง แต่หากอาการไม่ดีขึ้นควรรีบไปพบจักษุแพทย์

‘จอตาเสื่อม’ โรคฮิตวัยทำงาน - ผู้สูงวัย เช็กสัญญาณเตือนที่ต้องระวัง!

2.โรคต้อกระจก

เกิดจากเลนส์แก้วตามีการขุ่นตัว มักพบมากในผู้สูงอายุ โดยส่วนมากมักพบในอายุ 50 ปีขึ้นไป หากปล่อยไว้จะส่งผลเสียต่อการมองเห็นไปเรื่อยๆ โดยผู้ที่เป็นต้อกระจกส่วนมากมักจะมีอาการสายตามัวเหมือนมีฝ้าหรือหมอกบัง มองไม่ชัด มองเห็นสีต่าง ๆ ผิดเพี้ยนไปจากเดิม เป็นต้น

หากมีอาการเหล่านี้ควรรีบปรึกษาจักษุแพทย์ เพราะปัจจุบันมีวิวัฒนาการก้าวหน้า ในการรักษาโรคต้อกระจกด้วยการผ่าตัดสลายต้อกระจกด้วยเทคนิค 'เฟโค' (Phacoemulsification) ที่ช่วยคืนการมองเห็นชัดเจน แผลเล็ก ไม่ต้องเย็บแผล ปลอดภัย

 

จอประสาทตาเสื่อม ส่งผลเสียอย่างไร?

โรคจอประสาทตาเสื่อม คือ (Macular Degeneration) โรคที่เกิดจากจอประสาทตาในลูกตาเสื่อมสภาพ จนไม่สามารถรับภาพได้ดีเท่าเดิม โรคจอประสาทตาเสื่อมนี้จะทำให้การมองเห็นแย่ลงเรื่อยๆ มองภาพบิดเบี้ยว มองเห็นสีได้น้อยลง การมองเห็นช่วงกลางภาพหายไป เมื่อถึงจุดหนึ่งจะสูญเสียการมองเห็นส่วนใหญ่ไปในที่สุด

จอประสาทตาเสื่อมมักจะเกิดในผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี เนื่องจากสาเหตุส่วนใหญ่ของโรคมาจากความเสื่อมของอวัยวะตามอายุ บางครั้งจึงเรียกโรคจอประสาทตาเสื่อมที่มักเกิดในผู้สูงวัยว่า Age – Related Macular Degeneration หรือที่เรียกว่า AMD นั่นเอง

‘จอตาเสื่อม’ โรคฮิตวัยทำงาน - ผู้สูงวัย เช็กสัญญาณเตือนที่ต้องระวัง!

ผู้ป่วยโรคนี้มักรู้ตัวช้า เนื่องจากในผู้ป่วยส่วนใหญ่อาการของโรคจะค่อยๆเกิด บางครั้งก็เกิดขึ้นกับดวงตาเพียงข้าง เมื่อผู้ป่วยใช้ดวงตาสองข้างในการมองจึงไม่ทราบว่าภาพการมองเห็นของตนกำลังผิดเพี้ยนไป

โดยพบว่าผู้สูบบุหรี่มีโอกาสเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อม ถึง 4 เท่า เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ได้สูบบุหรี่ ภาวะความดันโลหิตสูง โดยโรคจอประสาทตาเสื่อม แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ดังนี้

  1.  แบบแห้ง (Dry AMD)

เป็นชนิดที่พบมากที่สุด เกิดจาการเสื่อมและบางตัวลงของจุดศูนย์กลางการรับภาพของจอประสาทตา (Macular)  อาการเริ่มต้นคือการมองเห็นภาพเบลอๆ ทำให้เห็นหน้าคนไม่ชัด หรือต้องใช้แสงสว่างมากขึ้นในการทำกิจกรรม หรือบางรายอาจมีอาการเริ่มจากตามัวเพียงเล็กน้อย แต่เมื่อเวลาผ่านไปความสามารถในการมองเห็นจะค่อยๆ ลดลง และเป็นไปอย่างช้าๆ

  1. แบบเปียก (Wet AMD)

พบประมาณ 10 – 15% ของโรคจอประสาทตาเสื่อมทั้งหมด แต่จะสูญเสียการมองเห็นอย่างรวดเร็ว และเป็นสาเหตุสำคัญของอาการตาบอด โรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อม เกิดจากมีหลอดเลือดผิดปกติงอกอยู่ใต้จอประสาทตา ทำให้เลือดและของเหลวที่อยู่ภายในไหลซึมออกมา เป็นผลให้จุดศูนย์กลางการรับภาพบวม ผู้ป่วยจะเริ่มมองเห็นภาพตรงกลางบิดเบี้ยว และเมื่อเซลล์ประสาทตาตาย ผู้ป่วยจะสูญเสียการมองเห็นในที่สุด อาการเริ่มต้น จะเริ่มเห็นเส้นตรงกลายเป็นเส้นโค้งบิดเบี้ยว เห็นภาพสีซีดจางกว่าปกติ และอาจเห็นจุดมืดดำที่ตรงกลางภาพ  

8 วิธีดูแลรักษาสุขภาพดวงตา ไม่ให้เสื่อมก่อนวัย

1. ปรับแสงหน้าจอคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต หรือสมาร์ทโฟนให้พอดี ไม่มืดหรือสว่างเกินไป

2. ควรปรับแสงหน้าจอต่างๆให้มีความสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมโดยรอบ เพราะดวงตาจะต้องทำงานหนักเนื่องจากต้องเพ่งตาตลอดเวลา ทำให้ ปวดตา เคืองตา ปวดหัว และอาจส่งผลกับสุขภาพของดวงตาในระยะยาว

3. ควรอยู่ห่างจากหน้าจอดิจิตอลต่างๆในระยะที่เหมาะสม

4. หน้าจอของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ จะปล่อยแสงสีฟ้าที่เป็นอันตรายต่อดวงตา ซึ่งแสงสีฟ้าเป็นแสงที่มีพลังงานสูงใกล้เคียงกับแสง UV ที่เป็นอันตรายต่อดวงตา 

5. วิธีการป้องกันแสงสีฟ้า คือ ควรเว้นระยะห่างระหว่างดวงตาและหน้าจอต่างๆให้มีระยะห่างที่เหมาะสมตามขนาดของหน้าจอและคำแนะนำการใช้งาน ไม่ควรให้ดวงตาอยู่ใกล้หน้าจอจนเกินไป

6. ใส่แว่นกันแดดที่ได้มาตรฐานขณะออกแดด

7. แว่นกันแดดในท้องตลาด มีทั้งเลนส์ที่กันแสง UV ได้จริง และเลนส์ที่เคลือบสีเข้มเฉยๆ แต่กันแสง UV ไม่ได้

8. หมอแนะนำให้ทุกท่านเลือกแบบที่สามารถกันแสง UV ได้ตามมาตรฐาน เพราะหากเราใส่แว่นกันแดดที่เคลือบสีเข้มเฉยๆ จะทำให้ดวงตาได้รับผลกระทบจากแสง UV มากกว่าตอนที่ไม่ใส่แว่นกันแดด ซึ่งจะมีผลร้ายต่อสุขภาพของดวงตาในอนาคต

‘จอตาเสื่อม’ โรคฮิตวัยทำงาน - ผู้สูงวัย เช็กสัญญาณเตือนที่ต้องระวัง!

ผู้ที่ใส่คอนแทคเลนส์ไม่ควรใส่เกินวันละ 8-12 ชม

สำหรับผู้ที่ใส่คอนแทคเลนส์ ไม่ควรใส่เกินวันละ 8-12 ชั่วโมงต่อวัน และไม่ควรใส่นอน เพราะอาจทำให้กระจกตาเป็นรอย เป็นแผล ตาแห้ง และอาจถึงขั้นทำให้ดวงตาอักเสบได้

  • พักสายตา ทุกๆ 20 นาที

คนที่ทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือเล่นมือถือนานๆ ควรพักสายตาทุกๆ 20 นาที โดยการมองไกลเกิน 20 ฟุต เป็นเวลา 20 วินาที เพื่อให้กล้ามเนื้อดวงตาผ่อนคลาย ทำให้ไม่ปวดตา ไม่ปวดหัว เวลาจ้องหน้าจอนานๆ

  • พักผ่อนให้เพียงพอ และทานอาหารที่มีประโยชน์

ควรพักผ่อนให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เพื่อให้ร่างกายได้ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ประกอบกับทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่นผักใบเขียว แครอท ไข่ เพื่อบำรุงดวงตา

  • ควรใช้ยาหยอดตาที่ไม่ผสมสารกันเสีย

ยาหยอดตา สามารถบรรเทาอาการตาแห้ง ที่เกิดจากน้ำตาไปหล่อเลี้ยงดวงตาไม่เพียงพอได้ เมื่อเราหยอดตาจะทำให้ดวงตากลับมามีความชุ่มชื้น ไม่ระคายเคืองตาซึ่งหมอขอแนะนำให้ใช้ยาหยอดตาเป็นประจำ และควรใช้แบบกระเปาะ เพราะไม่มีส่วนผสมของสารกันเสีย

  • ตรวจสุขภาพดวงตาประจำปี

หมอขอแนะนำให้ทุกท่านควรตรวจสุขภาพดวงตาประจำปี เพราะสุขภาพของดวงตาเป็นสิ่งสำคัญในการใช้ชีวิตประจำวัน ยิ่งเรามีอายุมากขึ้นดวงตาก็เสื่อมสภาพลงตามอายุ ซึ่งการตรวจสุขภาพดวงตาจะทำให้เรารู้ว่า ดวงตาของเราเป็นอย่างไร มีอะไรผิดปกติหรือไม่ และควรแก้ไขอย่างไรก่อนที่จะสายเกินแก้

ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ดูแลสุขภาพดวงตา

1.รับประทานผักผลไม้สม่ำเสมอ 

การรับประทานอาหารให้ถูกสุขลักษณะ และครบสารอาหาร 5 หมู่นั้น นอกจากจะให้สารอาหารครบถ้วนช่วยบำรุงร่างกายแล้ว ยังได้รับเกลือแร่และวิตามิน ช่วยส่งเสริมสุขภาพดวงตาและสายตาอาทิเช่น ซิงค์ วิตามินเอ วิตามินซี ที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพดวงตาและสายตา

2. รับประทานปลาที่อุดมด้วยโอเมก้า 3 (Omega 3)

จากการศึกษาพบว่า Omega 3 สามารถบรรเทาอาการตาแห้งได้ เนื่องจาก Omega 3 จะทำให้ต่อมไขมันบริเวณเปลือกตา ที่เรียกว่า Meibomian Gland ทำงานได้ดีขึ้น โดยทำหน้าที่ผลิตไขมันมาเพื่อเคลือบชั้นของน้ำตาไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำตาระเหยเร็วจนเกินไป ช่วยบรรเทาอาการตาแห้งได้

3.ดื่มน้ำเปล่าอย่างน้อย 8 แก้ว ต่อวัน

การดื่มน้ำเปล่าในปริมาณที่เหมาะสม จะช่วยให้ร่างกายและดวงตา ไม่ขาดน้ำ และช่วยให้ร่างกายผลิตน้ำตาได้เพียงพอ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันตาแห้ง

‘จอตาเสื่อม’ โรคฮิตวัยทำงาน - ผู้สูงวัย เช็กสัญญาณเตือนที่ต้องระวัง!

4.สวมใส่แว่นตากันแดดทุกครั้งเมื่ออยู่กลางแจ้ง

แสงแดดเป็นอันตรายต่อสายตา เมื่อปล่อยให้ดวงตาสัมผัสกับแสงแดดโดยตรงเป็นประจำ ซึ่งส่งผลเสี่ยงต่อการเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อม โรคต้อกระจก ควรสวมแว่นกันแดดทุกครั้งเมื่ออยู่กลางแจ้ง และควรเลือกสวมใส่แว่นตากันแดดที่มีคุณสมบัติป้องกันรังสี UVA ได้อย่างน้อย 95% และ รังสี UVB ได้อย่างน้อย 99% ตามมาตรฐานขององค์กรอาหารและยาสหรัฐอเมริกา เพื่อป้องกันภัยร้ายจากแสงแดดต่อสุขภาพดวงตา  

5. การใช้น้ำตาเทียมให้เหมาะสม

เพื่อช่วยหล่อลื่นดวงตาให้ผิวดวงตาชุ่มชื้น จากอาการตาแห้ง ช่วยบรรเทาอาการแสบตา ระคายเคือง กระจกตาถลอก หรือลดการอักเสบของแผลที่กระจกตาจากอาการตาแห้งได้

6. การออกกำลังกายสม่ำเสมอ

การออกกำลังช่วยส่งผลดีให้กับสุขภาพร่างกาย และจิตใจ รวมถึงลดความเสี่ยงการเกิดโรคเบาหวาน ไขมันและน้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งเป็นปัจจัยก่อให้เกิดโรคต่างๆ รวมถึงโรคที่เกี่ยวกับดวงตา และยังเป็นหนึ่งปัจจัยที่ก่อให้เกิดการสูญเสียต่อการมองเห็น เพราะฉะนั้น การออกกำลังกายอย่างพอเหมาะและสม่ำเสมอ จะมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงโรคภัยต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับดวงตาได้

อ้างอิง: โรงพยาบาลจักษุ รัตนิน ,โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์