สัญญาณเตือน!! เส้นเลือดสมองตีบเฉียบพลัน รู้เร็ว รักษาทัน ลดเสี่ยงอัมพาต
จากกรณี ‘ต้าร์ วงมิสเตอร์ทีม ต้องเข้าโรงพยาบาลกะทันหัน ด้วยอาการเส้นเลือดสมองตีบเฉียบพลันนั้น ทำให้หลายๆ คนอยากทราบว่า โรคดังกล่าว รุนแรงมากขนาดไหน? และเกิดความตื่นตัวในการดูแลตัวเองเพื่อไม่ให้เกิดอาการดังกล่าว
Keypoint:
- ทุกๆ 1 นาทีที่สมองขาดเลือด เซลล์สมองจะตายไป 1.9 ล้านเซลล์ หรือ 114 ล้านเซลล์ใน 1 ชั่วโมง ส่งผลให้การทำงานของสมองช้าลง และหากไม่ได้รับการรักษาอย่างรวดเร็ว สมองก็หยุดทำงานไปในที่สุด
- ปัจจัยเสี่ยงเส้นเลือดสมองตีบเฉียบพลัน หรือโรคหลอดเลือดสมอง เกิดได้จากทั้งพฤติกรรม อาทิ สูบบุหรี่ ดื่มสุรา โรคอ้วน หรือโรคประจำตัว อย่าง เบาหวาน ไขมัน ความดัน และการใช้ฮอร์โมน
- เมื่อเกิดอาการเดินเซ เวียนศีรษะ บ้านหมุนฉับพลัน ตามัว มองไม่เห็น เห็นภาพซ้อนฉับพลัน หน้าเบี้ยวหรือปากเบี้ยว แขนขาอ่อนแรง พูดไม่ชัด ควรรีบพบแพทย์
โรคเส้นเลือดสมองตีบเฉียบพลัน หรือ โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) ถือเป็นตัวการในลำดับต้นๆ ที่คร่าชีวิตของคนไทย ซึ่งจากสถิติพบว่าคนไทยป่วยเป็นโรคหลอดเลือดสมองถึงปีละ 150,000 คน
กล่าวได้ว่าคนไทยป่วยเป็นโรคนี้ 1 รายในทุกๆ 4 นาทีและทุกๆ 10 นาทีจะมีคนเสียชีวิตจากโรคดังกล่าว เห็นได้ชัดในช่วงนี้ที่มีคนดังล้มป่วยด้วยโรคหลอดเลือดสมองเป็นจำนวนมาก ส่งผลกระทบทำให้กลายเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตหรือรุนแรงขึ้นเสียชีวิตในบางราย
แต่หากประชาชนทั่วไปมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับเส้นเลือดสมองตีบเฉียบพลัน ก็จะช่วยให้การรับมือและป้องกันสามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งยังจะช่วยลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นตามมาได้อีกด้วย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
ถึงรพ.ช้าเกิน 270 นาที เสี่ยงอัมพฤกษ์ อัมพาต
เมื่อพบ ผู้ป่วยเส้นเลือดสมองตีบเฉียบพลัน หรือ หลอดเลือดสมองตีบเฉียบพลัน ต้องนำส่งผู้ป่วยให้ถึงโรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว เพราะทุกๆ 1 นาทีที่สมองขาดเลือด เซลล์สมองจะตายไป 1.9 ล้านเซลล์ หรือ 114 ล้านเซลล์ใน 1 ชั่วโมง ส่งผลให้การทำงานของสมองช้าลง และหากไม่ได้รับการรักษาอย่างรวดเร็ว สมองก็หยุดทำงานไปในที่สุด
การมาถึงโรงพยาบาลล่าช้าเกิน 270 นาที อาจเป็นที่มาของ ‘อัมพฤกษ์อัมพาต’ อย่างสมบูรณ์ ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยในระยะยาว และหากอาการรุนแรงมากก็ถึงขั้นเสียชีวิตได้
นพ.ชาญพงค์ ตังคณะกุล ผู้ อำนวยการศูนย์สมองและระบบประสาทกรุงเทพ โรงพยาบาลกรุงเทพอินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า ต้นเหตุของโรคเส้นเลือดสมองตีบ หรือ โรคหลอดเลือดสมอง หรือ Stroke นั้น เกิดจากการที่หลอดเลือดไปเลี้ยงสมองมีความผิดปกติ ซึ่งมี 2 ชนิดคือ
- หลอดเลือดสมองอุดตัน
- หลอดเลือดสมองแตก
ส่งผลให้สมองหยุดทำงานไปอย่างเฉียบพลันจากการที่สมองขาดเลือดไปเลี้ยงหรือมี เลือดออกแทรกทับในเนื้อสมอง 70% ของโรคหลอดเลือดสมองเกิดจากการที่เลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ ซึ่งมีสาเหตุสำคัญ 3 ประการคือ
- การอุดตันของหลอดเลือดจากการเสื่อมหรือการแข็งตัวของหลอดเลือ
- ก้อนเลือดจากหัวใจหรือตะกอนเลือดจากผนังหลอดเลือดแดงที่คอด้านหน้าหลุดเข้าไปอุดตันหลอดเลือดในสมอง
- ความดันเลือดลดลงมากจนไปเลี้ยงไม่พออีก
ส่วนอีก 30% เกิดจากหลอดเลือดในสมองแตก ซึ่งแบ่งย่อยออกเป็น 2 ชนิด คือ
- เลือดออกในเนื้อสมอง (Intracerebral Hemorrhage หรือ ICH)
- เลือดออกที่ผิวสมอง (Subarachnoid Hemorrhage หรือ SAH)
เช็กสาเหตุการเกิดเส้นเลือดสมองตีบเฉียบพลัน
โรคเส้นเลือดสมองตีบ (Ischemic Stroke) เป็นภาวะที่สมองขาดออกซิเจนและเลือดไปเลี้ยง โดยเกิดการหนาตัวของผนังหลอดเลือดจากการมีไขมันมาสะสมตามผนังหลอดเลือด ส่งผลให้เลือดไหลผ่านไปได้น้อยลง ซึ่งถ้าเกิดการสะสมและหนามาก จะทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ เกิดความเสียหายต่อบริเวณนั้น ๆ ทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถควบคุมอวัยวะและระบบต่าง ๆ ภายในร่างกายได้
ซึ่งในบางรายอาจกลายเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต หรือมีอาการผิดปกติ เช่น ตามองไม่เห็น ชาครึ่งซีก เป็นต้น แต่หากผู้ป่วยได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีก็จะมีโอกาสลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายถึงชีวิตได้
สาเหตุหลักของการเกิดโรคเส้นเลือดสมองตีบ
- ไขมันไปเกาะผนังหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดตีบแคบและขาดความยืดหยุ่น
- เกิดจากการฉีกของผนังหลอดเลือดด้านใน ทำให้เส้นเลือดอุดตัน
- เกิดลิ่มเลือดขนาดเล็กแข็งตัวและเกาะที่ผนังหัวใจและลิ้นหัวใจ จากนั้นหลุดลอยตามกระแสเลือดไปอุดตันหลอดเลือดในสมอง
ขณะที่โรคหลอดเลือดสมองมี 3 ประเภท สาเหตุแรกคือหลอดเลือดเกิดตีบหรืออุดตัน (Ischemic stroke) และหลอดเลือดสมองแตก (Hemorrhagic stroke) ในผู้ป่วยบางรายจะมีอาการของภาวะสมองขาดเลือดชั่วขณะ (Transient Ischemic Attack) นำมาก่อน
- ภาวะหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตัน (Ischemic stroke) พบได้บ่อยถึง 85% ของโรคหลอดเลือดสมอง สาเหตุที่สำคัญ ได้แก่ โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง การสูบบุหรี่
- ภาวะหลอดเลือดสมองแตก (Hemorrhagic stroke) พบได้ประมาณ 15% ของโรคหลอดเลือดสมอง ปัจจัยดังต่อไปนี้อาจเพิ่มความเสี่ยงในเกิดภาวะหลอดเลือดสมองแตก
- ภาวะความดันโลหิตสูงที่ไม่สามารถควบคุมได้
- การได้รับการรักษาด้วยยาต้านการแข็งตัวของเลือด (anticoagulant) ที่มากเกินความจำเป็น
- โรคหลอดเลือดสมองโป่งพอง (cerebral aneurysm or arteriovenous malformation)
- การบาดเจ็บ อุบัติเหตุ
- มีโปรตีนสะสมผิดปกติในผนังหลอดเลือด (cerebral amyloidosis)
- ภาวะสมองขาดเลือดชั่วขณะ (Transient ischemic attack - TIA) คืออาการโรคหลอดเลือดสมอง แต่อาการเป็นไม่นาน (< 24 ชั่วโมง) แล้วอาการดีขึ้นได้เอง สาเหตุของ TIA เกิดจากสมองมีเลือดไปเลี้ยงไม่พอเป็นระยะเวลาชั่วคราว ส่วนใหญ่จะมีอาการ 5-15 นาที แล้วอาการดีขึ้นเอง
อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยควรทำการพบแพทย์ทันทีเพื่อทำการตรวจแยกระหว่างโรคหลอดเลือดสมอง และภาวะสมองขาดเลือดชั่วขณะ
ปัจจัยเสี่ยงที่จะเพิ่มโอกาสการเกิดโรค
ปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวเนื่องกับพฤติกรรมการใช้ชีวิต
- โรคอ้วน ทานอาหารที่มีไขมันมาก รสเค็ม
- สูบบุหรี่หรือได้รับควันบุหรี่ต่อเนื่อง
- ดื่มสุราในปริมาณมาก
- ใช้สารเสพติด
โรคประจำตัวและความผิดปกติของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง
- ภาวะความดันโลหิตสูง
- ไขมันคลอเรสเตอรอลสูง
- เบาหวาน
- ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
- โรคหัวใจ เช่น ภาวะะหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิด atrial fibrillation, ภาวะหัวใจล้มเหลว โรคลิ้นหัวใจติดเชื้อ (infective endocarditis)
- โรคหลอดเลือดแดงที่คอตีบ (severe carotid or vertebral stenosis)
- ภาวะเลือดแดงหรือเกล็ดเลือดผิดปกติ (Polycythemia vera or Essential thrombocytosis)
- ภาวะการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ (Thrombophilia)
- โรคหลอดเลือดผิดปกติแต่กำเนิด เช่น โรค Moyamoya, Cerebral autosomal dominant and subcortical leukoencephalopathy (CADASIL)
- มีการเซาะตัวของผนังหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง (carotid or vertebral artery dissection)
ปัจจัยอื่น ๆที่อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรค
- อายุ ผู้สูงวัยอายุ 55 หรือมากกว่า มีโอกาสเสี่ยงสูงกว่าในการเกิดโรค มากกว่าคนหนุ่มสาว
- เชื้อชาติ กลุ่มคนชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันมีความเสี่ยงสูงกว่าในการเป็นโรคหลอดเลือดสมองมากกว่าเชื้อชาติอื่น ๆ
- เพศ เพศชายมีความเสี่ยงสูงมากกว่าเพศหญิงในการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง แต่เพศหญิงมักจะเป็นโรคหลอดเลือดสมองเมื่ออายุมากขึ้น และพบว่ามีอัตราการเสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมองกับเพศหญิงมากกว่าเพศชาย
- คนในครอบครัวมีประวัติเป็นโรคหลอดเลือดสมอง
- การใช้ฮอร์โมน การใช้ยาคุมกำเนิดหรือการใช้ฮอร์โมนบำบัด ที่มีส่วนประกอบของฮอร์โมนเอสโตรเจน จะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง
นพ.ชาญพงค์ กล่าวต่อถึงอาการและความรุนแรงของโรคหลอดเลือดสมองว่าสามารถแบ่งออกเป็น 3 ระดับ ขึ้นอยู่กับระยะเวลา ตำแหน่งที่เกิดการตีบตันในสมองและขนาดของหลอดเลือด
- กลุ่มแรก
เป็นกลุ่มที่มีอาการน้อย คนไข้จะพูดไม่ชัด มุมปากตก แขนขาไม่มีแรงแต่พอเดินได้ มักไม่มีอาการปวดศีรษะร่วมด้วย
- กลุ่มที่ 2
อาการปานกลาง คนไข้จะมีอาการเปลี่ยนแปลงเร็ว เช่น อ่อนแรงมากจนขยับไม่ได้หรือพูดไม่ได้เลย ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วนเพราะอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ การฟื้นตัวในกลุ่มนี้จะเริ่มเห็นชัดประมาณสัปดาห์ที่ 3 และมักไม่กลับมาเป็นปกติ
- กลุ่มสุดท้าย
กลุ่มอาการหนัก มักไม่รู้สึกตั้งแต่ต้นหรืออาการซึมลงเร็วมากภายใน 24 ชม. ส่วนใหญ่เกิดในผู้ป่วยที่หลอดเลือดสมองตีบตันขนาดใหญ่ในผู้สูงอายุ มักมีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน หรือเคยเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตมาก่อน และมักจะเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ง่าย
หลักประเมินผู้ป่วยโรคเส้นเลือดสมองตีบ-หลอดเลือดสมอง
นพ.ชาญพงค์ ได้กล่าวเพิ่มเติมถึงขั้นตอนในการประเมินผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองตามหลัก BEFAST โดยเน้นให้จดจำอาการเตือน 5 อย่าง คือ
- เดินเซ เวียนศีรษะ บ้านหมุนฉับพลัน (Balance)
- ตามัว มองไม่เห็น เห็นภาพซ้อนฉับพลัน (Eyes)
- หน้าเบี้ยวหรือปากเบี้ยว (Face)
- แขนขาอ่อนแรง (Arm)
- พูดไม่ชัด พูดอ้อแอ้หรือพูดไม่ออก (Speech)
โดยอาการทั้งหมดทั้งปากเบี้ยว แขนขาอ่อนแรง พูดไม่ชัดจะเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน ดังนั้นจึงต้องรีบนำส่งโรงพยาบาลทันที (Time)
เมื่อไหร่ที่ควรพบแพทย์
ผู้ป่วยควรพบแพทย์ทันที หากพบอาการคล้ายคลึงกับโรคหลอดเลือดสมอง ถึงแม้ว่าอาการเหล่านั้นจะเกิดขึ้นเป็นระยะ ๆ และหายไป ผู้ป่วยควรปฏิบัติตามแนวทางของ 'FAST' ดังต่อไปนี้
- F (Face) ใบหน้า - ให้ผู้ป่วยพยายามยิ้ม แล้วสังเกตว่ามีอาการปากเบี้ยวหรือไม่?
- A (Arm) แขน - ให้ผู้ป่วยพยายามยกแขนขึ้นทั้งสองข้าง เหนีอศรีษะ แล้วสังเกตว่าแขนข้างใดข้างหนึ่งตกไม่มีแรง ต่างจากอีกข้างหนึ่งชัดเจน?
- S (Speech) คำพูด - ถามคำถามง่าย ๆ ที่ผู้ป่วยน่าจะตอบได้ ฟังเสียงผู้ป่วยและความหมายในการ แล้วลองสังเกตว่าเสียงผู้ป่วยพูดไม่ชัดหรือไม่?
- T (Time) ระยะเวลา - หากเกิดอาการเหล่านี้ ควรพบแพทย์ทันที
โทรศัพท์หาสถานพยาบาลที่มีศักยภาพในการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองในพื้นที่ของผู้ป่วยทันที อย่ารอจนกว่าอาการจะดีขึ้น เพราะยิ่งผู้ป่วยได้รับการรักษาเร็วเท่าใด ยิ่งลดความเสี่ยงของภาวะสมองขาดเลือดและลดความรุนแรงของทุพพลภาพได้มากยิ่งขึ้นเท่านั้น
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้
โรคหลอดเลือดสมองสามารถส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนแก่ผู้ป่วย ซึ่งอาจจะเป็นภาวะที่เกิดขึ้นชั่วคราว หรือส่งผลให้ผู้ป่วยเกิดความพิการถาวร ความรุนแรงของภาวะแทรกซ้อนจะขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่สมองขาดเลือด และขึ้นอยู่กับบริเวณสมองที่ได้รับผลกระทบ
- อัมพาต
ผู้ป่วยอาจจะเกิดอัมพาตส่วนใดส่วนหนึ่งบนร่างกาย หรือไม่สามารถขยับกล้ามเนื้อบนใบหน้า อาการอาจจะเกิดขึ้นบริเวณด้านใดด้านหนึ่งของใบหน้าหรือแขน
- ปัญหาการพูดหรือการกลืน
ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากโรคหลอดเลือดสมองคือผู้ป่วยจะมีปัญหาในการพูด การกลืน หรือการรับประทานอาหาร นอกจากนี้ผู้ป่วยจะพบปัญหาด้านภาษาอย่างเช่นการพูดคุย การพยายามทำความเข้าใจคำพูดของคนอื่น การอ่านและการเขียนหนังสือ
- สูญเสียความทรงจำ หรือปัญหาเกี่ยวกับสมอง
โดยทั่วไปผู้ป่วยที่เป็นโรคหลอดเลือดสมองจะเกิดอาการสูญเสียความทรงจำ ผู้ป่วยบางคนอาจจะพบปัญหาเกี่ยวกับการคิดวิเคราะห์ การตัดสินใจ หรือการเข้าใจสิ่งต่าง ๆ
- อารมณ์แปรปรวน
ผู้ป่วยจะพบปัญหาในการบริหารอารมณ์ และมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดภาวะซึมเศร้า
- เจ็บปวดหรือชาบริเวณร่างกาย
ผู้ป่วยจะรู้สึกปวด หรือชาบนร่างกาย โดยเฉพาะส่วนที่ได้รับผลกระทบจากโรคหลอดเลือดสมอง ยกตัวอย่างเช่นหากโรคส่งผลให้ผู้ป่วยสูญเสียความรู้สึกในแขนด้านซ้าย ผู้ป่วนจะเริ่มรู้สึกเจ็บแปล๊บแขนด้านดังกล่าว
- พฤติกรรมเปลี่ยนแปลงและเกิดการทอดทิ้งตัวเอง (Self-neglect)
โรคอาจจะส่งผลให้ผู้ป่วยเริ่มมีการปลีกแยกจากสังคม และจำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือในการดูแลตัวเองและทำกิจวัตรประจำวัน
การวินิจฉัยโรคหลอดเลือดสมอง
หลังจากที่ผู้ป่วยถึงโรงพยาบาล แพทย์จะทำการตรวจผู้ป่วยด้วย CT scan หรือ MRI และแพทย์จะวินิจฉัยแยกโรคที่มีอาการใกล้เคียงอย่างเช่น เนื้องอกในสมอง ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำหรือสูงผิดปกติ อื่น ๆ ด้วยวิธีการ
- การตรวจร่างกาย
- การตรวจเลือด
- การตรวจ CT scan
- การตรวจ MRI
- การตรวจหลอดเลือดแดงที่คอด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (Carotid doppler ultrasound)
- การฉีดสีเข้าหลอดเลือดสมอง (Cerebral angiogram)
วิธีการรักษาเมื่อเกิดโรค
ในระยะแรกที่เกิดอาการเส้นเลือดสมองตีบ แพทย์จะทำการประเมินผู้ป่วย หากมีข้อบ่งชี้ของการรักษาด้วยยาต้านการแข็งตัวของเลือด (anticoagulant) และไม่มีข้อห้าม แพทย์จะให้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด และตรวจหลอดเลือดสมองด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CTA brain) ในกรณีที่มีหลอดเลือดสมองขนาดใหญ่อุดตัน แพทย์จะรักษาโดยการใช้สายสวนเข้าไปในหลอดเลือดแดงที่ขาหนีบและขึ้นไปที่สมอง (endovascular procedure) เพื่อนำเอาลิ่มเลือดที่อุดตันในหลอดเลือดออกมา (Mechanical thrombectomy)
1.การใช้ยาเพื่อการรักษา
แพทย์จะทำการสั่งยาเหล่านี้ เพื่อช่วยลดโอกาสการกำเริบของโรคหลอดเลือดสมอง
- ยาต้านเกล็ดเลือด (antiplatelet)
- ยาต้านการแข็งตัวของเลือด (anticoagulant)
- ยาลดไขมัน (statin)
- ยาลดความดันโลหิต
- ยารักษาโรคเบาหวาน
2.แนวทางการรักษารูปแบบอื่น ๆ
ในกรณีที่ผู้ป่วยมีภาวะหลอดเลือดที่คอตีบรุนแรง (severe carotid stenosis) และมีอาการของสมองขาดเลือด แพทย์จะรักษาโดยการทำผ่าตัดหลอดเลือดเพื่อนำเอาส่วนของไขมันที่หลอดเลือดออกมา (carotid endarterectomy) หรือการใส่ขยายหลอดเลือดที่ตีบและใส่ขดลวด (carotid angioplasty and stenting)
การรักษาหลอดเลือดสมองแตก
หากมีอาการภาวะหลอดเลือดสมองแตก มีการพิจารณาการรักษา ดังนี้
- การรักษาผู้ป่วยฉุกเฉิน
- การผ่าตัดสมอง
- ในกรณีที่เกิดจากหลอดเลือดโป่งพอง พิจารณาการรักษาด้วยการสวนหลอเลือดและใส่ขดลวด (coiling)
- โรคหลอดเลือดสมองผิดปกติ (cerebral arteriovenous malformation) พิจารณาการรักษาด้วยการสวนหลอดเลือดและใช่สารอุดหลอดเลือดที่ผิดปกติ (transarterial/venous embolization) หรือ radiosurgery
ป้องกัน ดูแลสุขภาพอย่างไร? ไม่ให้เกิดโรค
การป้องกันโรคเส้นเลือดสมองตีบ หรือหลอดเลือดสมอง ควรป้องกันก่อนการเกิดโรคและควรควบคุมปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจทำให้เกิดอาการ ตีบ อุดตัน หรือแตก โดยมีแนวทางการป้องกันโรค ดังนี้
- ปรับระดับความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปกติ
- หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีคลอเรสเตอรอลและไขมันอิ่มตัวสูง
- เลิกสูบบุหรี่
- ควบคุมอาการของโรคเบาหวาน
- ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
- รับประทานผลไม้และผักให้มากยิ่งขึ้น
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
- ลดการดื่มสุรา
- เข้ารับการรักษาภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
- หลีกเลี่ยงการใช้สารเสพติด
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงการทานอาหารที่มีไขมันสูง โดยเฉพาะไขมันอิ่มตัว เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม หากเริ่มสงสัยว่าตัวเองเริ่มมีอาการของโรคเส้นเลือดในสมองตีบ ควรรีบไปพบแพทย์ให้เร็วที่สุด เพื่อการรักษาที่รวดเร็วและลดความเสี่ยงของการเสียชีวิตเฉียบพลัน
อ้างอิง:โรงพยาบาลกรุงเทพ ,โรงพยาบาลพญาไท ,โรงพยาบาลเมดพาร์ค