อุตสาหกรรมยาเติบโตสูง คนไทยป่วยเบาหวาน 5.2 ล้านคน

อุตสาหกรรมยาเติบโตสูง คนไทยป่วยเบาหวาน 5.2 ล้านคน

โนโว นอร์ดิสค์ ฟาร์มา เผยอุตสาหกรรมยาเติบโตสูง พบคนไทยเป็นผู้ป่วยโรคเบาหวาน 5.2 ล้านคน ขณะที่ผู้ป่วยโรคอ้วนทั่วโลกเกือบ 40% ตั้งเป้าช่วยคนไทยเข้าถึงยาในราคาที่เหมาะสม และบริการทางการแพทย์ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

Keypoint:

  • คนไทยเป็นผู้ป่วยโรคเบาหวาน 5.2 ล้านคน หรือ 1 ใน 11 คนไทยที่อายุ 15 ปีขึ้นไปกำลังป่วย ในจำนวนนี้กว่า 40% ที่ไม่รู้ว่าตัวเองป่วย และยังมีผู้ป่วยด้วยโรคอ้วนกว่า 20 ล้านคน
  • ข้อจำกัดสุขภาพประเทศไทย เป็นเรื่องช่องว่างการเข้าถึงยา และการบริการทางการแพทย์ ระหว่างคนเมืองกับคนชนบท อีกทั้งผู้ป่วย ผู้ดูแลใกล้ชิดขาดความตระหนักรู้ ความเข้าใจในการใช้ยา การดูแลตัวเอง 
  • โนโว นอร์ดิสค์ เชื่อว่านวัตกรรม การเข้าถึงบริการสุขภาพ และความรวดเร็ว เป็นหัวใจสำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตผู้ป่วยโรคเรื้อรัง

มูลค่าตลาดยาและเวชภัณฑ์ทั่วโลก มีประมาณ 1.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย 5-6% ต่อปี  ขณะที่มูลค่าตลาดยาและเวชภัณฑ์ของประเทศไทย อยู่ที่ประมาณ 2.5 แสนล้านบาท เติบโตเฉลี่ย 4-5% ต่อปี โดยปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อการเติบโต ประกอบด้วย ผู้สูงอายุที่จำนวนเพิ่มขึ้น โรคเรื้อรังและโรคอุบัติใหม่ต่างๆ และเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่พัฒนาอย่างก้าวกระโดด

‘ประเทศไทย’ เป็นประเทศที่มีระบบสาธารณสุขช่วยดูแลผู้ป่วยครอบคลุมทุกโรค มีระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี แต่ขณะเดียวกันก็ยังคงมีข้อจำกัดในหลายประเด็น ไม่ว่าจะเป็นช่องว่างการเข้าถึงการรักษา การเข้าถึงยาระหว่างคนเมืองกับคนชนบท การขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์  ขาดการศึกษาเรื่องของยาและนวัตกรรมทางการแพทย์ และการสร้างความตระหนักรู้ให้แก่ผู้ป่วย หรือคนใกล้ชิดในการดูแล รักษาโรค เป็นต้น

ขณะที่ภาวะผู้ป่วยโรคเบาหวาน  พบว่า คนไทยเป็นผู้ป่วยโรคเบาหวาน 5.2 ล้านคน หรือ 1 ใน 11 คนไทยที่อายุ 15 ปีขึ้นไปกำลังป่วย ในจำนวนนี้กว่า 40% ที่ไม่รู้ว่าตัวเองป่วย และยังมีผู้ป่วยด้วยโรคอ้วนกว่า 20 ล้านคน รายงานชี้ปี 2060 ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากโรคอ้วนจะเติบโตขึ้นเป็น 4.9% ของ GDP ในประเทศไทย 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

'เบาหวาน' ต้องรู้ กินอาหารแบบไหน ไม่ให้น้ำตาลสูง

ตั้งเป้าดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวาน-โรคอ้วน

‘บริษัท โนโว นอร์ดิสค์ ฟาร์มา ประเทศไทย จำกัด’ บริษัทชั้นนำจากประเทศเดนมาร์ก หนึ่งในบริษัทอุตสาหกรรมยาระดับโลกที่มีส่วนแบ่งการตลาดระดับท็อปของโลก   ปัจจุบันมีแผนการลงทุนมากกว่า 390 พันล้านบาท เพื่อขยายโรงงานผลิตทั่วโลก และในปี 2566 มีผลประกอบการอยู่ที่ 1,207 พันล้านบาทเติบโตสุงถึง36% และมีกำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 533 พันล้านบาท เติบโต 44%  เมื่อเทียบกับปี 2565

‘นายเอ็นริโก้ คานัล บรูแลนด์’  รองประธานกรรมการและผู้จัดการทั่วไป บริษัท โนโว นอร์ดิสค์ ฟาร์มา ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่าโนโว นอร์ดิสค์ มีเป้าหมายที่จะทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน โรคอ้วน และกลุ่ม NCDs (โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง) เนื่องจากปัจจุบันพบผู้ป่วยเบาหวาน โรคอ้วน และกลุ่ม NCDs จำนวนมากขึ้น

อุตสาหกรรมยาเติบโตสูง คนไทยป่วยเบาหวาน 5.2 ล้านคน

“สถานการณ์ Health care ในประเทศไทยต้องได้รับการขับเคลื่อนอย่างเร่งด่วน  เพราะไม่ใช่มีเพียงโรคโควิด-19 หรือรับมือกับโรคอุบัติใหม่เท่านั้น แต่ต้องมีระบบการบริหารจัดการที่ ทำให้ผู้ป่วยไม่ว่าจะในเมือง หรือชนบทต้องเข้าถึงการบริการทางการแพทย์ การเข้าถึงยา ซึ่งโนโว นอร์ดิสค์ มีจุดมุ่งหมายที่จะทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น  และประเทศไทย ถือเป็นตลาดที่สำคัญ ” นายเอ็นริโก้ กล่าว

นอกจากนั้น การเพิ่มขึ้นของวิถีชีวิตแบบเนือยนิ่ง โรคอ้วน และอายุที่มากขึ้น นำมาซึ่งการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน คาดการณ์ว่าความชุก ของโรคเบาหวานจะเพิ่มสูงขึ้นถึง 5.3 ล้านคนภายในปี พ.ศ.2583 ซึ่งโรคเบาหวานที่ถูกดูแลรักษาได้ไม่ดีอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่ส่งผล เสียต่อร่างกาย เช่น โรคไต และการถูกตัดเท้าหรือขา

ความท้าทายสุขภาพไทยคล้ายคลึงโลกตะวันตก

ความท้าทายด้านสุขภาพในประเทศไทยมีความคล้ายคลึงกับโลกตะวันตก อย่าง อัตราการเป็นโรคเบาหวาน และโรคอ้วนที่ใกล้เคียงกับสเปน ฝรั่งเศส และอังกฤษ เป็นโจทย์ระดับโลกที่ต้องการวิธีแก้ไขเฉพาะพื้นที่  ซึ่งในส่วนของประเทศไทยนั้นมีระบบการบริการสุขภาพที่ดี มีหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า มีประกันสังคม มีหลายระบบในการดูแลด้านสุขภาพ แต่ยังมีข้อจำกัดเรื่องของการเข้าถึงยา เข้าถึงการบริการทางการแพทย์ระหว่างคนเมืองกับคนชนบท คนชนบทมีโอกาสน้อยกว่าคนเมือง

นายเอ็นริโก้ กล่าวต่อว่า ข้อจำกัดด้านสุขภาพของประเทศไทย นอกจากเรื่องช่องว่างการเข้าถึงยา การเข้าถึงการบริการทางการแพทย์ระหว่างคนเมืองกับคนชนบทแล้ว ยังมีเรื่องของการศึกษา  และการตระหนักรู้ ความเข้าใจของผู้ป่วย และผู้ดูแลใกล้ชิด อาทิ ผู้ป่วยเบาหวาน ทราบหรือไม่ว่าจะดูแลตัวเองอย่างไร  ฉีดอินซูลีนอย่างไรให้เหมาะสม เป็นต้น

อัตราโรคอ้วนทั่วโลกพุ่งสูงเกือบ 40%

จากรายงาน BMJ Global Health (ปี 2021) ระบุว่าในปี 2060 หากประเทศไทยไม่มีการเปลี่ยนแปลง อย่างมีนัยสำคัญ ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากโรคอ้วนคาดว่าจะเติบโตขึ้นเป็น 4.9% ของ GDP ในประเทศไทย ซึ่งค่าใช้จ่ายนี้ รวมถึงค่าใช้จ่ายโดยตรงจากการรักษาสุขภาพ และค่าใช้จ่ายทางอ้อม เช่น การสูญเสียผลผลิต (lost productivity) จากการใช้แรงงานไม่เต็มประสิทธิภาพ หรือการขาดงานจากผู้ที่ต้องรักษาโรคอ้วน และหากลดความชุกของโรคอ้วนลง 5% จากระดับที่คาดการณ์ไว้หรือคงไว้ที่ระดับปี 2019 จะทำให้ต้นทุนทางเศรษฐกิจลดลงเฉลี่ย 5.2% และ 13.2% ต่อปี ระหว่างปี 2020-2060 ตามลำดับ 

อย่าง อัตราการเป็นโรคอ้วนทั่วโลกพุ่งสูงเกือบ 40% ซึ่งประเทศไทยเองก็มีตัวเลขใกล้เคียงกัน นอกจากนี้ ผู้ที่มีน้ำหนักเกินและอ้วนยังมีความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานเพิ่มสูงถึง 10% ทั่วโลก และสถานการณ์ในประเทศไทยก็ไม่ต่างกัน โชคดีที่ไทยมีระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า ช่วยให้เราสามารถรับมือกับปัญหาเหล่านี้ได้ในระดับหนึ่ง

การมีภาวะอ้วนอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพมากมาย เช่น โรคเบาหวานและโรคหัวใจ ขณะที่ประเทศไทยกำลังประสบความสำเร็จในบางด้าน แต่ก็ยังมีอีกหลายอย่างที่ต้องทำเพื่อป้องกันวิกฤตที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

 

อุตสาหกรรมยาเติบโตสูง คนไทยป่วยเบาหวาน 5.2 ล้านคน

สร้างเครือข่ายร่วมพัฒนายาใหม่ ดูแลผู้ป่วย

การรักษาโรคเบาหวานและโรคอ้วน จำเป็นต้องพัฒนายาใหม่ๆ นำองค์ความรู้ที่ได้จากการพัฒนายาโรคเบาหวานและโรคอ้วน มาประยุกต์ใช้ และร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน โรงพยาบาลต่างๆ และโรงเรียนแพทย์ เพราะไม่มีใครสามารถแก้ปัญหานี้เพียงลำพัง ความร่วมมือ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน การทำงานร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหานี้เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากภาวะอ้วนส่งผลกระทบต่อประชาชนจำนวนมาก

“นวัตกรรม การเข้าถึงบริการสุขภาพ และความรวดเร็ว เป็นหัวใจสำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ทีมงานของเราไม่หยุดแสวงหาวิธีการใหม่ๆ ในการเพิ่มโอกาสเข้าถึงการรักษา ไม่ว่าจะเป็นการนำเทคโนโลยีล้ำสมัย มาใช้สร้างความร่วมมือกับองค์กรต่างๆ หรือพัฒนา รูปแบบการให้บริการ ที่เหมาะสม”

อุตสาหกรรมยาเติบโตสูง คนไทยป่วยเบาหวาน 5.2 ล้านคน

ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาสุขภาพผู้ป่วยผ่านการคิดค้นเวชภัณฑ์อย่างสร้างสรรค์ ควบคู่กับการให้ความสำคัญกับบุคลากร การขยายองค์กรควบคู่กับการพัฒนายาใหม่ จะช่วยเสริมศักยภาพในการให้บริการผู้ป่วยทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศไทยได้รับการยกย่องให้เป็นตลาดสำคัญในแผนขยายธุรกิจเฟสถัดไปของ โนโว นอร์ดิสค์

เดินหน้าโครงการยกระดับเข้าถึงบริการสุขภาพ

โนโว นอร์ดิสค์ มีการจัดทำโครงการ Affordability Project ร่วมกับกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงการคัดกรอง การวินิจฉัย และการรักษาโรคเบาหวานในพื้นที่ชนบทอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงให้ความรู้ในการดูแลสุขภาพและรักษาโรคเบาหวานแก่บุคลากรทางการแพทย์และผู้เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดูแลผู้ป่วยมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในระบบสาธารณสุขของไทย

นอกจากนั้นยังมี โครงการ 'ยกระดับความสามารถในการเข้าถึงบริการสุขภาพ' ซึ่งมีความสำคัญในการช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยโรคเบาหวาน โครงการนี้มุ่งเน้นทำให้บริการดูแลสุขภาพมีราคาที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยในประเทศไทย

“โครงการเหล่านี้ไม่ได้มุ่งเน้นแค่เรื่องราคาเท่านั้น ยังมุ่งเน้นด้านนวัตกรรมและความรวดเร็วด้วย เราต้องการนำเสนอวิธีการรักษาและเทคโนโลยีใหม่ๆ ให้กับผู้ป่วยได้เร็วขึ้น เราไม่สามารถรอ 30 ปีให้วิธีการรักษาใหม่มาแทนที่วิธีการรักษาแบบเก่าได้ เราจำเป็นต้องเร่งกระบวนการพัฒนานวัตกรรมและทำให้วิธีการรักษาใหม่ๆ เข้าถึงผู้คนได้มากขึ้น”

อุตสาหกรรมยาเติบโตสูง คนไทยป่วยเบาหวาน 5.2 ล้านคน

การแก้ไขปัญหาดังกล่าว  จำเป็นต้องอาศัยความมุ่งมั่นร่วมกัน ในการหาแนวทางแก้ไขที่ยั่งยืนสำหรับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ปัญหานี้ ใหญ่เกินกว่าที่องค์กรใดองค์กรหนึ่งจะแก้ไขได้เพียงลำพัง นั่นคือเหตุผลที่เรากำลัง ร่วมมือกันขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง เพื่อแก้ไขปัญหานี้ไปด้วยกัน

“เราเชื่อว่าทุกคนสมควรได้รับการดูแลสุขภาพที่มีคุณภาพ ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ไหนหรือเผชิญกับความท้าทายใด ซึ่งในอนาคตจะมีการพัฒนานวัตกรรมที่ช่วยลดการฉีดอินซูลินให้จำนวนครั้งน้อยลง ซึ่งในปัจจุบันมีการฉีดอินซูลินอาทิตย์ละ 1 ครั้ง และควบคุมน้ำตาลได้ดีขึ้นจากเดิมที่ต้องฉีดทุกวัน แต่เร็วๆ นี้จะมีนวัตกรรมใหม่ออกมา เพื่อช่วยคนไข้เบาหวาน และโรคอ้วนได้รับยาที่มีคุณภาพในราคาที่เหมาะสม”

อุตสาหกรรมยาเติบโตสูง คนไทยป่วยเบาหวาน 5.2 ล้านคน

เน้นความรับผิดชอบต่อสังคม ลดก๊าซเรือนกระจก

โนโว นอร์ดิสค์ ให้ความสำคัญกับความรับผิดชอบต่อสังคม โดยมุ่งมั่นที่จะสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม บริษัทมีเป้าหมายที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 40% ภายในปี 2030 และบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2045 บริษัทยังให้ความสำคัญกับประเด็นอื่นๆ เช่น การส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศ การปกป้องสิทธิมนุษยชน และการพัฒนาชุมชน

ความยั่งยืน เป็นคำที่มักพูดถึงกันในแวดวงธุรกิจ แต่สำหรับผม "คน" คือหัวใจสำคัญของความยั่งยืนจริงๆ มันไม่ใช่แค่ผลกำไร แต่รวมถึงผลกระทบด้านสังคมและชุมชน (triple bottom line)

ธุรกิจที่ประสบความสำเร็จจำเป็นต้องมีความมั่นคงทางการเงิน แต่เรายังคำนึงถึงความยั่งยืนทางสังคมและสิ่งแวดล้อมด้วย ในฐานะองค์กรที่มุ่งช่วยเหลือผู้คน เรามีภาระหน้าที่ที่จะดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ปัจจุบันเรามีผู้ป่วยทั่วโลกกว่า 40 ล้านคน เป้าหมายของเราคือการรักษาผู้ป่วยให้มากขึ้นและขยายการช่วยเหลือไปยังผู้ที่ต้องการ