กังวลใจจนนอนไม่หลับ | วรากรณ์ สามโกเศศ
มั่นใจว่าทุกคนเคยรู้สึกกังวลจนนอนไม่หลับ กังวลว่าจะมีโรคระบาดร้ายแรงอีกหรือไม่ วัคซีนโควิด-19 ที่ฉีดไปแล้วจะเป็นอันตรายต่อร่างกายในอนาคตหรือไม่อย่างไร เศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร จะตกงานไหม สภาวะอากาศแปรปรวนจะมีผลต่อชีวิตอย่างไร
KEY
POINTS
- ส่วนใหญ่สิ่งเรารู้สึกกังวลใจนั้นมักไม่เกิดขึ้นจริง การกังวลจนนอนไม่หลับล้วนเป็นผลจากความคิดคำนึงด้านลบของเราเองทั้งสิ้น
- วิเคราะห์ 3 สาเหตุของความกังวล ได้แก่ ต้องการควบคุม สงสัยในความสามารถ จินตนาการเลวร้ายสุด ๆ
- 6 แนวทางที่จะช่วยจัดการความกังวล
- key point สรุปจากกองบรรณาธิการ
ลูกจะสอบเข้าได้ไหม คนรักจะเทหรือปาดคอเราไหม พรุ่งนี้หมอนัดดูผลเลือดและผลตรวจร่างกายจะเป็นอะไรไหม ฯลฯ สารพัดเรื่องที่เราสามารถกังวลได้ ถ้ารู้สาเหตุและหนทางแก้ไขบ้างก็คงดีไม่น้อย
ความกังวล (anxiety) หมายถึงความรู้สึกกังวลใจและไม่สบายอันเนื่องมาจากการจินตนาการเหตุการณ์หรือสิ่งที่คาดว่าเป็นลบจะเกิดขึ้น อันแตกต่างจากความกลัว (fear) ซึ่งเป็นความรู้สึกที่มาจากเรื่องจริงที่กำลังคุกคาม
ประเด็นสำคัญก็คือเรากังวลใจกับสิ่งที่เราฟุ้งซ่านจินตนาการขึ้นเอง ว่าจะเกิดขึ้นในด้านที่เป็นลบอย่างเกินเหตุ ดังนั้น ถ้าจะแก้ไขก็ต้องเริ่มจากจุดนี้
ส่วนใหญ่สิ่งเรารู้สึกกังวลใจนั้นมักไม่เกิดขึ้นจริง การกังวลจนนอนไม่หลับล้วนเป็นผลจากความคิดคำนึงด้านลบของเราเองทั้งสิ้น ยิ่งเป็นคนมีความคิดสร้างสรรค์มากเท่าใดก็ยิ่งมีโอกาสมีภาพในใจที่ไปไกลได้อย่างน่าอัศจรรย์
มนุษย์มีความรู้สึกกังวลใจในลักษณะและความเข้มข้นที่แตกต่างกัน บ้างเพียงนอนไม่หลับกระสับกระส่าย บ้างหัวใจเต้นแรง รู้สึกแน่นหน้าอก เหงื่อออก มีอารมณ์ฉุนเฉียว ฯลฯ คนที่มีความรู้สึกกังวลอย่างรุนแรงและอย่างเรื้อรังจนนอนไม่หลับและขาดความสุขอาจนำไปสู่ความป่วยไข้ในอนาคตได้
อะไรเป็นสาเหตุของความกังวล?
ข้อหนึ่ง ต้องการควบคุม นี่คือสาเหตุที่เกิดขึ้นบ่อยสุด ถ้าเราเป็นคนที่ต้องการให้สิ่งต่าง ๆ เป็นไปอย่างที่เราได้วางแผนไว้แล้วเป็นอย่างดี
เช่น ต้องการให้ผู้คนมีพฤติกรรมในบางเรื่องอย่างที่เราต้องการและจินตนาการว่าถ้ามันไม่เป็นไปเช่นนั้นแล้วก็จะตีตราตนเองว่าล้มเหลวอย่างน่าอับอาย
การคาดคะเนว่าสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาจะเกิดขึ้นเช่นนี้แหละ ที่ทำให้เกิดความกังวลขึ้นในใจ
ข้อสอง สงสัยในความสามารถ ถึงแม้จะเป็นคนที่มีความสามารถในเรื่องต่าง ๆ แต่ถ้าบางครั้งเกิดความรู้สึกสงสัยในความสามารถของตนในการจัดการกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตแล้วก็ทำให้เกิดความกังวลใจขึ้นได้เช่นกัน
ข้อสาม จินตนาการเลวร้ายสุด ๆ ผู้ที่ชอบจินตนาการความพังพินาศขนาดใหญ่ของชีวิต ของงานหรือของธุรกิจในลักษณะเลวร้ายสุด ๆ อยู่เสมอแล้วจะทำให้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในลักษณะบิดเบือนโดยมักตกอยู่ในห้วงกังวลใจอยู่เสมอเพราะคนเหล่านี้ไม่ไว้ใจสิ่งที่มองเห็น และมักจินตนาการไปทางร้ายสุดโต่งเสมอ
ข้อสาม มีความทรงจำด้านลบจากอดีต ทุกครั้งที่เรามีประสบการณ์ของสถานการณ์ที่เครียดสุด ๆ ร่างกายจะรู้สึกถึงความเครียดนั้นและบางครั้งจดจำความรู้สึกเหล่านั้นไว้ถึงแม้จะล่วงเลยมาเป็นเวลานานแล้วก็ตาม
ปรากฏการณ์เช่นนี้จะช่วยทำให้ระบบประสาทมีการตื่นตัวและรู้สึกว่าอยู่ในภาวะอันตรายอยู่เสมอจนทำให้สมองมองหาสิ่งที่เป็นอันตรายจากสิ่งที่ประสบอยู่ตลอดเวลา
คนเหล่านี้จะกังวลเพราะความรู้สึกด้านลบที่เคยประสบมาถูกฝังลึกอยู่ในใจจนทำให้เกิดจินตนาการชนิดเลวร้ายที่ไม่รู้จบ
จัดการกับความกังวลอย่างไร?
ข้อแรก เรียนรู้ที่จะปลดปล่อย ยอมรับว่ามีหลายสิ่งมากในชีวิตที่เราไม่อาจควบคุมมันได้ เมื่อเราทำดีที่สุดแล้วก็ต้องยอมปล่อยให้มันเป็นไป ถึงกังวลก็ไม่สามารถทำอะไรกับมันได้ มีแต่เสียสุขภาพ
ข้อสอง ยอมรับการมีข้อผิดพลาด มนุษย์สมบูรณ์แบบ (perfectionist) กังวลมากกว่าคนปกติเพราะอะไรก็ตามที่ต่ำกว่า “สมบูรณ์แบบ” ไม่สามารถอภัยให้ได้ การตระหนักว่าเวลา แรงงาน และความคิดที่ทุ่มเทให้กับ “ความสมบูรณ์แบบ” นั้น ไม่คุ้มกับผลที่มันเกิดขึ้นที่มักไม่ “สมบูรณ์แบบ” เสมอ การยอมรับความเป็นจริงของโลกเช่นนี้จะช่วยลดความกังวลลงได้
ข้อสาม ไว้ใจตัวเอง ต้องไว้ใจความสามารถของตนเองเมื่อเกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ ขึ้น การเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ อาจช่วยให้ผ่อนคลายความกังวล และโน้มน้าวให้ไว้ใจความสามารถของตนเองมากขึ้น
ข้อสี่ ปิดสวิตช์ความคิด เรียนรู้ที่จะปิดสวิตซ์ความคิดในบางเรื่องโดยการหันเหไปกระทำหรือคิดเรื่องอื่น เรื่องนี้พูดง่ายกว่าทำ แต่เป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนต้องเรียนรู้ การนั่งสมาธิเป็นวิธีการหนึ่งที่ได้ผล
ข้อห้า มองหาความช่วยเหลือ สร้างสิ่งแวดล้อมที่ทำให้เกิดความพยายามในการเอาชนะความกังวล เช่นการอ่านหนังสือ การมีเพื่อน การออกกำลังกาย การฝึกใจ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเครื่องมือที่ดี
(ผู้เขียนเคยใช้การเขียนข้อกังวลใจทั้งหมดที่มีลงบนกระดาษ แล้วขยำกระดาษแผ่นนั้นลงถังขยะหรือเผาอย่างสะใจทันที มันเป็นวิธีที่ได้ผลอย่างชะงัด)
ถ้านอนไม่หลับและหาความสุขไม่ได้เลย เพราะความกังวลต้องพบแพทย์และนักจิตวิทยา
ข้อหก ตีความหมาย เมื่อบางสิ่งที่เป็นลบเกิดขึ้นโดยไม่เป็นไปดังที่วางแผนหรือตั้งใจไว้ก็จะขาดความสุข นักจิตวิทยาแนะนำให้ใช้วิธีที่เรียกว่า Positive Learning กล่าวคือตีความสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นลบไปในเเนวทางบวกเสมอ
การหาความหมายด้านบวกเช่นนี้จะนำไปสู่ความคิดที่เป็นบวกในอนาคตและมีความกังวลน้อยลง เช่น พบว่าเป็นโรคหัวใจก็มองว่าดีเหมือนกันเพราะเป็นสิ่งเตือนให้ต้องดูแลสุขภาพอย่างจริงจัง
“อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด” “ความกังวลเสมือนกับการนั่งเก้าอี้โยก มันทำให้มีอะไรทำแต่ไม่ได้ทำให้ไปไหนเลย” “โชคดีนะที่โดนเพียงแค่นี้” ฯลฯ
ความกังวลใจมีสาเหตุมาจากใจที่ฟุ้งซ่านในด้านลบกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นซึ่งโดยแท้จริงแล้วมักไม่เป็นจริง ถ้าปล่อยให้ใจเตลิดไปไกลโดยไม่หาหลักหรือวิธีคิดยึดเหนี่ยวแล้วก็จะไม่สบายตัว รู้สึกไม่สบายใจ นอนไม่หลับ ขาดความสุขโดยรวม และหากปล่อยไว้ก็อาจนำสู่โรคอื่น ๆ ได้
อย่างไรก็ดี ความกังวลอยู่คู่กับมนุษย์มายาวนานและจะไม่มีวันหมดไป แต่ถ้าปล่อยไว้ให้มันเป็นปัญหาเรื้อรังก็จะไม่เป็นมงคลอย่างแน่นอน
ผู้เขียนต้องรีบจัดการกับข้อเขียนนี้โดยเร็วเพราะอาจส่งไม่ทันกำหนดเวลา / เขียนแล้วไม่มีคนอ่าน / ข้อเขียนนี้อาจไปจี้ใจบางคนจนเอาปืนมายิงก็เป็นได้ /
เจ้าของข้อมูลสำหรับข้อเขียนนี้คือ Sheila Tan จาก Inquirer Lifestyle อาจไม่พอใจที่เอามาอธิบายผิด ๆจนถูกฟ้องร้องได้ / ถึงเเม้ส่งไปในเมลถึงบรรณาธิการแล้วแต่อาจไม่ถึงจนเข้าใจผิดนึกว่าไม่ส่งข้อเขียนของอาทิตย์นี้ ฯลฯ ช่วยด้วยครับ.