ดูแลสุขภาพ 'มนุษย์วัยทำงาน'ด้วยไบโอมาร์กเกอร์ดิจิทัล
“ไบโอมาร์กเกอร์ดิจิทัล” เป็นสาขาใหม่ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งขับเคลื่อนโดยอุปกรณ์อัจฉริยะที่เพิ่มมากขึ้น เทคโนโลยีเครือข่ายที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง และอัลกอริทึมอัจฉริยะ
KEY
POINTS
- การใช้ไบโอมาร์กเกอร์ดิจิทัลเพื่อปรับแต่งการดูแลป้องกันส่วนบุคคล ประเมินความเสี่ยง และจัดการภาวะและโรคทางจิตเวช
- สาเหตุที่ทำให้คนทำงานเกิดความเจ็บป่วยหรือโรคมาจาก สุขภาพส่วนตัวของคนทำงาน (Host) และสิ่งคุกคามจากสถานที่ทำงานหรือสิ่งแวดล้อมที่คนทำงานเข้าไปทำงาน (Hazard)
- ตลาดไบโอมาร์กเกอร์ดิจิทัลถูกขับเคลื่อน เติบโตได้จากการลงทุนของรัฐบาล ค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลที่เพิ่มขึ้น ผู้คนจำนวนมากใช้สมาร์ทโฟนและสมาร์ทวอทซ์ติดตามสุขภาพ และการพัฒนายา
“ไบโอมาร์กเกอร์ดิจิทัล” เป็นสาขาใหม่ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งขับเคลื่อนโดยอุปกรณ์อัจฉริยะที่เพิ่มมากขึ้น เทคโนโลยีเครือข่ายที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง และอัลกอริทึมอัจฉริยะ การตั้งค่านี้จะทำให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพและบุคคลทั่วไปสามารถรวบรวมไบโอมาร์กเกอร์ดิจิทัลตามยาวจากผู้ป่วยและบุคคลที่มีสุขภาพดีได้
จนถึงขณะนี้ ไบโอมาร์กเกอร์ดิจิทัลที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุดคือข้อมูลเครื่องวัดความเร่งของผู้ป่วย รวมถึงข้อมูลพลีทิสโมกราฟีแบบโฟโตพลีทิสโมกราฟี เพื่อตรวจจับ เช่น อาการสั่น หรือภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ พารามิเตอร์ทั้งสองนี้มีความน่าสนใจเป็นพิเศษเนื่องจากมีการใช้ในตลาดผู้บริโภคมาระยะหนึ่งแล้วกับไบโอเซนเซอร์ที่ทนทานและเป็นที่ยอมรับ
พารามิเตอร์เหล่านี้ให้ข้อมูลเชิงลึกตามยาวที่ขยายออกไปเกี่ยวกับสุขภาพและโรคของผู้ป่วย แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงเป็นการวิเคราะห์เลือดที่จุดดูแลผู้ป่วยโดยใช้สมาร์ทโฟนที่หาได้ง่ายในคลินิก วิธีการรวบรวมไบโอมาร์กเกอร์เมตาบอลิกมาตรฐานปัจจุบันยังคงรุกราน การตรวจจับผลป้อนกลับของการเผาผลาญที่ไม่รุกรานโดยการวิเคราะห์เหงื่อถือเป็นส่วนเสริมที่มีแนวโน้มดีมากสำหรับไบโอมาร์กเกอร์เชิงฟังก์ชันที่กำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยให้ข้อมูลทางสรีรวิทยาโดยตรง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
หักล้างความรู้เดิม วิจัยใหม่ชี้ชัด คุยมือถือนานๆ ไม่ทำให้ป่วย ‘มะเร็งสมอง’
'การนอนหลับ' ที่ดี 7-9 ชั่วโมง เชื่อมโยงกับ 'ความพึงพอใจ' ในชีวิต
"ไบโอมาร์กเกอร์ดิจิทัล" ป้องกันดูแลสุขภาพส่วนบุคคล
ปัจจุบันมีการใช้ไบโอมาร์กเกอร์ดิจิทัลเพื่อปรับแต่งการดูแลป้องกันส่วนบุคคล ประเมินความเสี่ยง และจัดการภาวะและโรคทางจิตเวช ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่าภายในปี 2030 ตลาดไบโอมาร์กเกอร์ดิจิทัลทั่วโลกจะมีมูลค่า 23,860 ล้านดอลลาร์ ผู้ใช้มือถือเป็นผู้สนับสนุนหลักของการนำไบโอมาร์กเกอร์ดิจิทัลมาใช้ในระบบดูแลสุขภาพ
กำลังคิดที่จะใช้ไบโอมาร์กเกอร์ดิจิทัลในโซลูชันด้านการดูแลสุขภาพหรือไม่ อ่านต่อไปและเรียนรู้วิธีสร้างประโยชน์ให้กับธุรกิจของคุณผ่านการใช้ไบโอมาร์กเกอร์ดิจิทัล
อุปกรณ์สวมใส่ที่มีเซ็นเซอร์และไบโอมาร์กเกอร์ดิจิทัลทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดและสร้างการเติบโตอย่างรวดเร็วให้กับตลาดรายงานของ Strategic Market Research คาดการณ์การเติบโตในเชิงบวกของตลาดไบโอมาร์กเกอร์ดิจิทัล ต่อไปนี้คือข้อเท็จจริงที่น่าสนใจและตัวเลขที่มีประโยชน์ ดังนี้
ในปี 2021 ตลาดไบโอมาร์กเกอร์ดิจิทัลมีมูลค่า 1.51 พันล้านดอลลาร์ โดยมี CARG อยู่ที่ 35.7% ภายในปี 2030 มูลค่าตลาดจะสูงถึง 23,860 ล้านเหรียญสหรัฐ ปัจจุบัน ไบโอมาร์กเกอร์ดิจิทัลสร้างข้อมูลขนาดใหญ่ส่วนใหญ่ที่มีอยู่ในอุตสาหกรรมการดูแลสุขภาพ
ณ ขณะนี้ มีอุปกรณ์สี่กลุ่มที่รวบรวมไบโอมาร์กเกอร์ดิจิทัล ได้แก่ อุปกรณ์สวมใส่ อุปกรณ์พกพา อุปกรณ์ย่อย และอุปกรณ์ฝัง สมาร์ทโฟน สมาร์ทวอทช์ และสร้อยข้อมือทางการแพทย์เป็นแรงผลักดันความต้องการใช้ไบโอมาร์กเกอร์ดิจิทัล ความอิ่มตัวของออกซิเจนและการวัดอัตราการเต้นของหัวใจเป็นคุณสมบัติสองประการที่พบมากที่สุดในอุปกรณ์สวมใส่ของผู้บริโภค
2 สาเหตุคนทำงานเจ็บป่วยเกิดจากการทำงาน
นพ.วรวัฒน์ โนหล้า แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ Occupational Medicine แพทย์ประจำศูนย์สุขภาพและอาชีวอนามัย โรงพยาบาลบางโพ กล่าวว่าในการดำเนินงานทางด้านอาชีวอนามัยนั้น การดูแลสุขภาพของคนทำงานที่สัมผัสสารเคมีต่างๆ ถือเป็นเรื่องที่ควรให้ความสำคัญอีกประการหนึ่ง โดยหลักการพื้นฐานทางอาชีวเวชศาสตร์ มีแนวคิดหลักที่ว่าคนทำงานสามารถจะเกิดความเจ็บป่วยหรือโรคที่เกิดจากการทำงานได้เกิดจากสาเหตุ 2 ทาง อันได้แก่
- สุขภาพส่วนตัวของคนทำงาน (Host) เช่น โรคประจำตัว พฤติกรรมการใช้ชีวิตส่วนตัว อาหาร ยา การดื่มสุรา สูบบุหรี่ สุขภาพจิตและอารมณ์ส่วนบุคคล ของคนที่ทำงาน เป็นต้น
- สิ่งคุกคามจากสถานที่ทำงานหรือสิ่งแวดล้อมที่คนทำงานเข้าไปทำงาน (Hazard) ซึ่งมีอยู่ 5 ประการ ได้แก่ สิ่งคุกคามทางกายภาพ (Physical Hazard) สิ่งคุกคามทางชีวภาพ (Biological Hazard) สิ่งคุกคามทางเคมี (Chemical Hazard) สิ่งคุกคามทางการยศาสตร์ (Ergonomic Hazard) สิ่งคุกคามทางจิตสังคม (Psychosocial Hazard)
เมื่อมีสาเหตุ 2 ทางเกิดขึ้นกับคนทำงานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสาเหตุจากคนทำงานเอง หรือสาเหตุจากการสัมผัสสิ่งคุกคามในที่ทำงานหรือสิ่งแวดล้อม หรือทั้งสองสาเหตุ ก็จะทำเกิดการเจ็บป่วยหรือโรคที่เกิดจากการทำงานได้ ดังนั้นเราควรป้องกันการเกิดสาเหตุทั้งสุขภาพส่วนตัวของคนทำงานและสาเหตุจากสิ่งคุกคาม เพื่อไม่ให้ส่งผลต่อการเจ็บป่วยหรือโรคจากการทำงาน ในที่นี้จะกล่าวถึงสิ่งคุกคามทางสารเคมีซึ่งเป็นสิ่งคุกคามจากการทำงานชนิดหนึ่งที่คนทำงานหากสัมผัสเป็นเวลานานๆโดยไม่มีการป้องกัน ส่งผลทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้
คุณสมบัติสารเคมีที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพคนทำงาน
สารเคมีอันตราย หมายถึง สารเคมีที่มีหลักฐานที่เชื่อถือได้ว่าก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพ ทั้งผลกระทบอย่างฉับพลัน หรือเรื้อรัง มักรวมถึงสารที่ก่อให้เกิดมะเร็ง (Carcinogen) สารพิษ สารพิษที่ก่อให้เกิดผลต่อระบบสืบพันธุ์ (Reproductive toxins) สารที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง (Irritants) สารที่ส่งผลต่อระบบเลือด ระบบประสาท เป็นต้นและสารเคมีมี 2 คุณสมบัติที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพคนทำงานที่ไปสัมผัสได้แก่
1.มีคุณสมบัติสิ่งคุกคามอันตราย (Hazard) คือ มีโอกาสที่สารเคมีจะก่อให้เกิดผลอันไม่พึงประสงค์ต่อสุขภาพร่างกาย
2.ความเป็นพิษ ( Toxicity) คือ มีศักยภาพของสารเคมีที่เกิดให้เกิดพิษ หรือความเป็นพิษ
ในหลักการป้องกันทางอาชีวอนามัย ถือว่าการที่ไม่รับสัมผัสสารย่อมไม่เกิดอันตราย ( No exposure-No hazard) สารเคมีที่มีความเป็นพิษสูง อาจเป็นสารที่มีอันตรายสูงหรือต่ำก็ได้ขึ้นกับโอกาส และสภาพการใช้สารนั้นๆ ยกตัวอย่างเช่น การใช้สารยาฆ่าแมลงจะสัมพันธ์ต่อการสัมผัสสาร CO ได้สูง เป็นต้น
หลักการป้องกันการสัมผัสสารเคมี
ดังที่กล่าวไว้ว่า “No exposure-No hazard” เป็นหลักการป้องกันทางอาชีวอนามัย แต่ถ้าหากจำเป็นต้องสัมผัสจริงๆ ก็ควรมีการป้องกันให้ดีหรือมีการสัมผัสให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการทำงานกับสารเคมี โดยอะไรที่ควรทำเพื่อลดการบาดเจ็บ ลดอุบัติเหตุ ลดการรับสัมผัสสารเคมี ป้องกันการหกรั่วไหล และการปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม ให้เกิดน้อยที่สุด ทั้งหมดนี้จะอยู่ในหลักการป้องกันการสัมผัสสารเคมี 4 ประการสำคัญได้แก่
- ป้องกันที่ต้นเหตุ
การลดใช้สารเคมี หรือ การใช้สารเคมีที่มีพิษกว่าทดแทน เมื่อลดการใช้สารเคมีที่มีความเป็นพิษสูง ก็จะทำให้โอกาสเกิดการเจ็บป่วยหรือรับสัมพิษจากสารเคมีน้อยลง
- ป้องกันด้วยเครื่องใช้
การปรับเปลี่ยนเครื่องใช้ที่เหมาะสมกับงาน ซึ่งจะสามารถลดการสัมผัสสารเคมีโดยตรงได้เป็นอย่างดี เช่น มีระบบระบายอากาศเฉพาะที่(Local Exhaust Ventilation) ระบบการทำงานแบบปิด (Close system) การปิดคลุม (Enclosure) ระบบระบายอากาศเฉพาะที่(Local Exhaust Ventilation) และระบบการทำงานแบบปิด (Close system)
- ป้องกันด้วยหลักการทำงาน
การทำงานที่ได้มาตรฐาน โดยมีหลักการคือ เพื่อลดเวลาการสัมผัสสารเคมี เพื่อเพิ่มระยะห่างระหว่างสารเคมีกับคนทำงาน เพื่อปรับวิธีการให้เหมาะเอื้อต่อความปลอดภัยของคนทำงาน และเพื่อเพิ่มความชำนาณของคนทำงาน เมื่อคนทำงานมีความชำนาณในงานนั้น ก็จะลดโอกาสเกิดอุบัติเหตุ ความเจ็บป่วยจากการทำงานได้
- ป้องกันด้วยเครื่องมือส่วนบุคคล
อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (Personal Protective Equipment; PPE) เช่น ถุงมือ หมวก และรองเท้า เป็นต้น ทั้งนี้ชนิดและการออกแบบของอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลขึ้นกับชนิด ปริมาณ ความเข้มข้น และระยะเวลาของสารเคมีที่จะไปสัมผัส ดังนั้นควรเลือกใช้อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลให้เหมาะสมกับงาน และศึกษาวิธีการใช้และใช้อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลให้ถูกต้องทุกครั้ง
เมื่อมีหลักการป้องกันการสัมผัสสารเคมีที่เหมาะสมแล้ว ก็ควรมีการเฝ้าระวังไม่ให้เกิดการเจ็บป่วยจากการสัมผัสสารเคมีนั่นคือ การประเมินการสัมผัสสารเคมีเป็นระยะ เมื่อเกิดความผิดปกติจากการประเมิน เราก็สามารถแก้ไขได้ทันท่วงทีและลดโอกาสอันตรายจากการสัมผัสสารเคมีนั้นได้
ประเมินคนทำงานสัมผัสสารเคมี
การประเมินการสัมผัสสารเคมีนั้น มีวิธีการประเมินว่า คนทำงานมีการสัมผัส (Exposure) ต่อสารเคมี (Chemical hazards) มีหลายวิธีดังต่อไปนี้
- การซักประวัติสอบถามจากคนทำงานโดยตรง เช่น หาอาการที่ผิดปกติหรือสงสัยว่าน่าจะมาจากการสัมผัสสารเคมี เช่น อาการเวียนศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน อ่อนเพลียจากการทำงาน ผื่นแพ้อักเสบหลังเลิกงาน เป็นต้น
- การตรวจร่างกายคนทำงาน เช่น หาภาวะซีด ภาวะตัวเหลืองตาเหลือง ตับโต ม้ามโต เป็นต้น
- การตรวจวัดระดับสารเคมีในสิ่งแวดล้อม (Environment monitoring) เพื่อดูว่ามีระดับสารเคมีเพิ่มขึ้นเกินเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดไว้หรือไม่ หากมีระดับสารเคมีที่เพิ่มขึ้นมากกว่าปกติ ย่อมส่งผลเพิ่มโอกาสเสี่ยงที่คนทำงานจะได้รับอันตรายจากการสัมผัสสารเคมีมากขึ้น
- การตรวจระดับสารเคมีในร่างกายของคนทำงาน (Biological monitoring) เพื่อดูว่าคนทำงานได้รับสารเคมีที่อยู่ในสถานที่ทำงานหรือสิ่งแวดล้อมหรือไม่
หนึ่งในสี่วิธีนี้สามารถใช้มาประเมินร่วมกันได้ โดยวิธีการตรวจระดับสารเคมีในร่างกายคนทำงานเป็นวิธีที่นิยมมากที่สุด เพราะสามารถบอกได้โดยตรงว่าคนทำงานไปสัมผัสสารเคมีมากหรือน้อย
ชนิดของ Biomarker มีอยู่ 3 ชนิด
Biomarker of exposure หรือ Direct biomarker ตัวสารนั้น หรือ metobolite ของสารนั้น(สารเคมีที่ถูกเปลี่ยนสภาพโดยกระบวนการของร่างกาย) ที่วัดได้ในตัวอย่างชีวภาพของคนทำงาน เช่น ตรวจจากเลือด ปัสสาวะ อากาศที่หายใจ เส้นผล เป็นต้น ยกตัวอย่างเช่นการตรวจสาร Syrene เมื่อเข้าไปร่างกายจะเปลี่ยนแปลง ผ่านกระบวนการทางเคมีในร่างกายจนกลายเป็น mandelic acid ซึ่งถือว่า การตรวจระดับ mandelic acid ในปัสสาวะ เป็นการตรวจ biomarker of exposure ของสาร Syrene เป้นต้น
Biomarker of effect หรือ Indirect biomarker คือ การตรวจผลเปลี่ยนแปลงทางเคมี,ชีวภาพ,สรีรวิทยา หรือในระดับโมเลกุล ที่จะเกิดขึ้นแก่ร่างกายเมื่อได้รับสารพิษนั้นๆ เช่น เราทราบว่า การสัมผัส n-hexane จะทำให้เกิดอัมภาพที่เส้นประสาทได้ การตรวจการนำกระแสไฟฟ้าของเส้นประสาท(Nerve ConductionVelocety;NCV) เพื่อดูว่าเส้นประสาทเป็นอัมภาพไปหรือไม่ ก็ถือว่าเป็น Biomarker of effect ของสาร n-hexane
Biomarker of susceptibility คือ การวัดระดับความไวรับ (Susceptibility) ในการเจ็บป่วยจากสารเคมีในแต่ละคน การตรวจนี้จะทำให้คาดการณ์ได้ว่า คนทำงานสัมผัสสารเคมีตัวที่พิจรณาแล้ว จะมีโอกาสเจ็บป่วยมากน้อยเพียงใด และเป็นการตรวจตั้งแต่ยังไม่ได้รับการสัมผัส (pre-exposure) และส่วนใหญ่เป็นการตรวจทางพันธุกรรม(genetic tesing) มักใช้ในทางการงานวิจัย ไม่ได้ใช้ในทางเวชปฏิบัติ
ในทางเวชปฏิบัติจริงๆจะใช้ biomarker of exposure และ biomarker of effect เท่านั้น และbiomarker ในการหาสาเคมีตัวหนึ่งนั้น อาจมี biomarker of exposure หลายตัวได้ เช่น การตรวจหาสาร toluene มี biomarker ได้แก่ hipuric acid in Urine , Toluene in Urine,Toluene in Blood หรืออีกกรณีหนึ่งคือ สารเคมีหลายตัวก็อาจมี Biomarker of Exposure เป็นตัวเดียวกันได้ เช่น การตรวจหา acetone,isopropyl alcohol มี biomarker ตัวเดียวกันคือ acetone in Urine สำหรับการตรวจ biomarker นั้นทำเพื่อดูว่าคนทำงานมีการสัมผัส (exposure) กับสารเคมีแล้วดูดซึมเข้าไปในร่างกายหรือไม่ มากน้อยเพียงใด (Biological monitoring) ดังนั้นจึงมักมีความสัมพันธ์ไปในทิศทางเดียวกันกับค่าสารเคมีในสิ่งแวดล้อมจากการทำงาน (Environment monitoring) เสมอ
ในการประเมินการสัมผัสสารเคมีนั้นควรทำการตรวจวัดทั้งระดับสารเคมีในสิ่งแวดล้อมการทำงาน(environment monitoring) และระดับสารเคมีในร่างกาย (biological monitoring) ควบคู่ กันไปด้วยเสมอ
เมื่อไหร่จึงควรสั่งตรวจ biomarker
เหตุผลหลัก คือ ตรวจเมื่อต้องการประเมินการสัมผัสสารเคมีในร่างกายคนทำงาน ส่วนเหตุผลรองลงมา คือ ตรวจเมื่อค่าตรวจระดับสารเคมีในสิ่งแวดล้อมมีระดับสูงเกินมาตรฐานที่กฎหมายกำหนดไว้ หรือเมื่อมีอาการพิษเกิดขึ้นกับผู้ป่วย โดยอิงจากกฎหมายที่กำหนดเกณฑ์มาตรฐานระดับสารเคมีในสถานที่ทำงานของกระทรวงแรงงาน เรื่อง กำหนดสารเคมีอันตรายที่ให้นายจ้างจัดให้มีการตรวจสุขภาพของลูกจ้าง พ.ศ.2552
ในส่วนค่ามาตรฐานของ biomarker จะถูกกำหนดโดยองค์กรACGIH(American Conference of Government Industrial Hygienists) เป็นองค์กรที่กำหนดค่ามาตรฐานที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลกมากที่สุด โดยค่าที่กำหนดเรียกว่าค่า BEI ซึ่งแนะนำให้ใช้ค่า BEI ได้ในกรณีดังต่อไปนี้
- ประเมินการสัมผัสทางผิวหนัง (Skin absorption) และการกิน (Ingestion)
- ประเมินขนาดการสัมผัสสะสมในร่างกาย (body burden)
- คาดคะเนการสัมผัสในอดีต (past exposure) ในกรณีที่ไม่มีข้อมูลทางอื่น
- ประเมินการสัมผัสสารเคมีนอกงาน (non-occupational exposure)
- ทดสอบประสิทธิภาพของการควบคุมทางวิศวกรรม (engineering control)
- ทดสอบประสิทธิภาพของอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (Protective equipment)
- ตรวจสอบวินัยด้านความปลอดภัยในการทำงาน (work practice)
นอกจากยังมีปัจจัยที่มีผลต่อค่า BEI ที่ทำให้เปลี่ยนแปลงสูงหรือต่ำมากเกินความเป็นจริงได้อันได้แก่
- ความอ้วน-ผอม
- ระดับเมตาบอลิซึมของแต่ละคน
- อายุ เพศการตั้งครรภ์ โรคที่เป็นเช่น โรคตับโรคไต
- อาหารหรือยาที่รับประทาน
- การสัมผัสสารเคมีนอกงาน
- วิธีการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
- วิธีการเก็บตัวอย่าง การรักษาสภาพตัวอย่าง
- การปนเปื้อนระหว่างเก็บตัวอย่าง
ทั้งนี้ BEI ยังมีข้อจำกัดบางอย่างที่ควรระลึกไว้เสมอ คือ biomarker เอาไว้ประเมินการสัมผัส (Exposure) ต่อสารเคมี ซึ่งถ้าค่าเกินมาตรฐานนั่นแปลว่า คนทำงาน อาจมีการสัมผัสสารเคมีนั้น แต่ไม่ใช่เป็นการตัดตายหรือ cut point เพื่อวินิจฉัยโรคพิษจากสารเคมี ไม่ได้เอาไว้ทดแทนการตรวจระดับสารเคมีในสิ่งแวดล้อม และไม่ได้เอาไว้ยืนยันว่าถ้าที่ตรวจวัดได้ต่ำแล้วโรคจะไม่ได้เกิดขึ้น
ข้อควรรู้เกี่ยวกับ biomarker
แร่ธาตุอื่นๆที่ตรวจ biomarker สามารถตรวจได้ถ้ามีการสัมผัส และมีค่ามาตรฐานที่องค์กร ACGIH-BEI กำหนดไว้ เช่น Cadmium Chromium (VI) Cobalt Fluoride Mercury Uranium เป็นต้น แต่แร่ธาตุที่เป็น Essential elements มีอยู่ในร่างกายมนุษย์อยู่แล้ว ส่วนใหญ่จะไม่สามารถส่งตรวจ biomarker ได้เพราะไม่มีค่ามาตรฐานให้แปลผลและพบได้ในร่างกายคนทั่วไปอยู่แล้ว เช่น Copper Chromium (III) Iron Magnesium Selenium Zinc เป็นต้น
หากมีข้อสงสัยเรื่องการตรวจสารบ่งชีทางชีวภาพว่าจะตรวจตัวไหนบ้างไม่ต้องตรวจตัวไหนบ้าง สามารถปรึกษากับแพทย์ด้านอาชีวเวชศาสตร์ เพื่อจะได้รับคำแนะนำและการตรวจสารบ่งชีทางชีวภาพที่ถูกต้อง
4 ปัจจัยส่งผลตลาดไบโอมาร์กเกอร์ดิจิทัลเติบโต
อย่างไรก็ตาม เป็นไปได้หรือไม่ที่การนำอุปกรณ์สวมใส่มาใช้โดยผู้ใช้เพียงอย่างเดียวอาจเป็นสาเหตุของการเติบโตอย่างรวดเร็วของตลาด รายงานระบุถึงปัจจัยอื่น ๆ ที่เป็นตัวขับเคลื่อนไบโอมาร์กเกอร์ดิจิทัลอย่างไร ในระดับที่ใหญ่กว่า ตลาดไบโอมาร์กเกอร์ดิจิทัลถูกขับเคลื่อนโดยสี่ด้าน
- การลงทุนของรัฐบาล
เทเลเมดิซีนกลายเป็นทางเลือกเดียวสำหรับการดูแลผู้ป่วยในแบบดั้งเดิมในช่วงการระบาดของโควิด-19 หลังจากนั้น รัฐบาลสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรปได้ลงทุนอย่างเด็ดขาดในการพัฒนากรอบงานของรัฐบาลที่สนับสนุนการนำแพลตฟอร์มการดูแลสุขภาพมาใช้ ซึ่งกรอบงานหลังนี้ช่วยกระตุ้นการเติบโตของตลาดไบโอมาร์กเกอร์ดิจิทัลระดับโลกได้อย่างมาก
- ค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลที่เพิ่มขึ้น
การระบาด ของCOVID -19 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและทำให้ค่าใช้จ่ายด้านการบริโภคด้านสุขภาพต่อหัวเพิ่มขึ้นจาก 12,592 ดอลลาร์ในปี 2563 เป็น 12,914 ดอลลาร์ในปี 2564 ในสหรัฐอเมริกา
“โดยเฉลี่ยแล้ว ประเทศร่ำรวยขนาดใหญ่อื่นๆ ใช้จ่ายด้านสาธารณสุขต่อคนเพียงประมาณครึ่งหนึ่งของสหรัฐฯ” Peterson Center on Healthcare และ KFF ระบุภาพรวมของการใช้จ่ายด้านสาธารณสุขในสหรัฐฯ เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ
- ผู้คนจำนวนมากใช้สมาร์ทโฟนและสมาร์ทวอทช์เพื่อติดตามสุขภาพ
ผู้คนใช้สมาร์ทวอทช์และสมาร์ทโฟนเพื่อติดตามกิจกรรมทางกายและไบโอมาร์กเกอร์ดิจิทัลพื้นฐานบางอย่าง เช่น อัตราการเต้นของหัวใจ ตัวอย่างเช่น Apple Watch Series 4 มีเซ็นเซอร์วัดหัวใจไฟฟ้าฝังอยู่ที่ด้านหลังของคริสตัลแซฟไฟร์และเม็ดมะยมดิจิทัล เซ็นเซอร์นี้ช่วยให้ผู้คนสามารถวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG) ได้ นอกจากนี้ FDA ยังอนุมัติคุณสมบัติดังกล่าวอีกด้วย ดังนั้นในทางทฤษฎี ผู้คนสามารถแบ่งปันข้อมูลกับแพทย์ที่เชื่อมต่อได้
Apple Watch เป็นเพียงหนึ่งในสมาร์ทวอทช์มากมายที่ผู้คนใช้กันทุกวันนี้ นี่คือวิธีการที่เครื่องตรวจการเต้นของหัวใจจาก Apple Watch แสดงภาพการทำงานของหัวใจระหว่างทำกิจกรรมต่างๆ ในแต่ละวัน
- การพัฒนายาได้กลายเป็นการลงทุนครั้งใหญ่
บริษัทเภสัชกรรมทุ่มงบประมาณมหาศาลในการพัฒนายาเนื่องจากการทดลองทางคลินิกมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ใช้เวลานาน และมักจะไม่ประสบความสำเร็จ นั่นคือเหตุผลที่บริษัทเภสัชกรรมมองเห็นศักยภาพอันยิ่งใหญ่ในการใช้ไบโอมาร์กเกอร์ดิจิทัล เนื่องจากไบโอมาร์กเกอร์มีความสอดคล้อง เป็นหนึ่งเดียว ทันเวลา แม่นยำ และสามารถรวบรวมได้จากระยะไกล
หากจะพูดให้กระชับ ไบโอมาร์กเกอร์ดิจิทัลจะช่วยเร่งการทดลองทางคลินิก (รวมถึงการทดลองทางคลินิก ECRF ) และประหยัดงบประมาณ
อ้างอิง : โรงพยาบาลบางโพ ,binariks