'Ravis Technology' แพลตฟอร์มบริหารการวิจัยทางคลินิกด้วย AI

การนำระบบดูแลสุขภาพดิจิทัล หรือ HealthTech และความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีทางการแพทย์มีมากขึ้นในปัจจุบัน
KEY
POINTS
- การพัฒนากผลิตภัณฑ์สุขภาพ เครื่องมือแพทย์ นาโนเทคโนโลยี สกินแคร์ เครื่องสำอาง และยา ต้องมีการเก็บข้อมูลและศึกษา
การนำระบบดูแลสุขภาพดิจิทัล หรือ HealthTech และความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีทางการแพทย์มีมากขึ้นในปัจจุบัน ยิ่งหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 การแพทย์ทางไกล หรือ TeleHealth การนำ AI-enhanced virtual care มาช่วยให้แพทย์วินิจฉัยโรค และคาดการณ์แนวโน้มการดูแลรักษาได้แม่นยำ Remote patient monitoring อำนวยความสะดวกในการติดตามผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นตัวเร่งให้ตลาด TeleHealth เติบโตทั้งในแง่การใช้งาน และอุตสาหกรรม
คาดการณ์ตลาดการดูแลสุขภาพทางไกลทั่วโลกจะเติบโต 3.687 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จนถึงปี 2028 มีอัตราการเติบโตต่อปีมากกว่า 40.06% เพราะตลาดกำลังเห็นการขยายตัวที่โดดเด่นซึ่งได้รับแรงหนุนจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีภายในอุตสาหกรรมการดูแลสุขภาพ รวมทั้ง AI และ IoT ทำให้มีการนำเทคโนโลยีดังกล่าวมาใช้สนับสนุนทางการแพทย์มากขึ้น เพื่อให้การดูแลผู้ป่วยมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นด้วย
ขณะที่ ภาพรวมของ TeleHealth ของประเทศไทย ในปี 2024 อุตสาหกรรมเฮลท์แคร์ในไทย มีทิศทางชัดเจนในการพัฒนาด้านเทคโนโลยีและขยายบริการสุขภาพ เพื่อตอบสนองต่อความท้าทายที่เกิดขึ้น สะท้อนจากแนวโน้มการเติบโตที่สำคัญอยู่ ไม่ว่าจะเป็น การก้าวสู่สังคมสูงวัย การขยายตัวของบริการของสถานพยาบาลเอกชน เติบโตร้อยละ 15% ทั้งจากผู้รับบริการในประเทศและต่างประเทศ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
จุดเริ่มต้นแพลตฟอร์มบริหารการวิจัยทางคลินิกไทย
“มาลีพรรณ ผาสุพงษ์” CEO บริษัท ราวิส เทคโนโลยี จำกัด ผู้พัฒนาแพลตฟอร์มบริหารการวิจัยทางคลินิก เล่าว่าทำงานเกี่ยวกับด้านซอฟต์แวร์ในการพัฒนาระบบให้แก่โรงพยาบาล ทั้งระบบการเก็บข้อมูลงานวิจัย ข้อมูลนักศึกษาแพทย์และแพทย์ประจำบ้าน มาประมาณ 8 ปี ก่อนที่จะได้รับคำแนะนำจากอาจารย์ และได้รับคำแนะนำจากผู้ใหญ่ที่รู้จักในการจัดทำแพลตฟอร์มบริหารการวิจัยทางคลินิก ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ดำเนินการมาปีนี้เข้าสู่ปีที่ 2 เพื่อช่วยการวิจัยเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สุขภาพ เครื่องมือแพทย์ นาโนเทคโนโลยี สกินแคร์ เครื่องสำอาง และยา ซึ่งการจะทำสิ่งเหล่านี้จำเป็นต้องมีการเก็บข้อมูลและศึกษาการวิจัยทางคลินิก
“ตอนนี้มีหลายๆ หน่วยงานมีการบริการเก็บข้อมูลและศึกษาวิจัยทางคลินิก อย่าง กลุ่มของ Spin-Off หรือกลุ่มโรงเรียนแพทย์ที่ร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ในการให้บริการวิจัยทางคลินิกในเชิงวิชาการ แต่ในปัจจุบันมีการดำเนินการในเชิงพาณิชย์มากขึ้น เนื่องจากการออกผลิตภัณฑ์ทางสุขภาพ เครื่องมือแพทย์ เครื่องสำอาง ยา ต้องมีการวิจัยทางคลินิกในมนุษย์ หรือทดสอบในสัตว์ เพื่อนำไปสู่การจดแจ้ง การขออนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ให้เป็นไปตามความต้องการและมาตรฐานของอย. โดยเน้นความปลอดภัย และประสิทธิผลของผลิตภัณฑ์ ให้สามารถเคลม หรืออ้างสรรพคุณต่างๆ ได้ตามที่อย.กำหนด และคำนึงถึงประโยชน์ของผู้บริโภคเป็นหลัก” มาลีพรรณ กล่าว
แพลตฟอร์มบริหารการวิจัยทางคลินิกด้วย AI
“แพลตฟอร์มบริหารการวิจัยทางคลินิก” ที่ทาง Ravis Technology พัฒนาขึ้นนั้น จะประกอบไปทั้งซอฟต์แวร์ที่จะเก็บข้อมูลไว้ทางอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งต่อให้การขึ้นทะเบียนในประเทศไทยยังไม่ได้มีการตรวจสอบข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ แต่การขึ้นทะเบียนในต่างประเทศ โดยเฉพาะยา จำเป็นต้องมีการนำข้อมูลทั้งหมดไปไว้ในอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงการตรวจสอบมาตรฐานต่างๆ ของต่างประเทศด้วย ดังนั้น การใช้แพลตฟอร์มบริหารการวิจัยทางคลินิกของ Ravis Technology จะสามารถขึ้นทะเบียนตามมาตรฐานที่อเมริกาต้องการ ให้มีความเป็นสากลได้มากขึ้น
“ สิ่งที่แตกต่างอย่างชัดเจน คือ ระบบแพลตฟอร์มบริหารการวิจัยทางคลินิกที่เราพัฒนาขึ้นนั้น จะมีการนำเทคโนโลยี AI มาใช้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการอ่านวิเคราะห์วรรณกรรมของงานวิจัย การอ่านงานวิจัยที่สามารถนำมาเทียบเคียงได้ การออกแบบงานวิจัย การเก็บข้อมูล AI สามารถนำมาประมวลผลข้อมูลที่ถูกต้อง แม่นยำ และลดแรงของคนที่ออกแบบงานวิจัยได้ เพราะจากฐานข้อมูลที่มีทั้งหมด AI จะช่วยวิเคราะห์และประมวลผลข้อมูล ทำให้เกิดความปลอดภัย ช่วยออกแบบขอบเขตงานวิจัยว่าจะไปในกลุ่มไหนอย่างไร ทำให้นักวิจัยสามารถทำงานได้สะดวก รวดเร็ว ควบคู่ไปกับความถูกต้องแม่นยำมากขึ้น”มาลีพรรณ กล่าว
ปัจจุบัน การดำเนินธุรกิจ Ravis Technology เป็นบริษัทที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลการวิจัยทางคลินิก ให้บริการโซลูชันสำหรับการจัดการข้อมูลทางคลินิก การบริหารโครงการทางคลินิก และการสรรหาผู้เข้าร่วม โดยมีผลิตภัณฑ์หลัก 3 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ 1.Animal Research Management System, ARMS : ระบบจัดการข้อมูลสัตว์ทดลอง 2.Clinical Research Management System, CRMS : ระบบจัดการข้อมูลในโครงวิจัย และ3.Service Price System, SPS : ระบบออกใบเสนอราคา
หนุนสตาร์ตอัปขยายตลาดต่างประเทศ
หลายๆ ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพต่างนำผลการวิจัยทางคลินิกมาประกอบกับการตลาด เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริโภค อีกทั้งยังตอบโจทย์มาตรฐานของต่างประเทศ เป็นการเพิ่มมูลค่าและโอกาสให้แก่ผู้ประกอบการไทยและการวิจัยทางคลินิก เพราะไทยมีความพร้อมและทรัพยากรที่ให้บริการ โดยการให้บริการวิจัยทางคลินิกจะมีอาจารย์หมอมาเป็น Contract Research Organization (CRO) หรือผู้รับวิจัยทางคลินิก ซึ่งในไทยมีจำนวนมากขึ้น
“แพลตฟอร์มบริหารการวิจัยทางคลินิก มีซอฟต์แวร์ มีการใช้ AI และมี CRO ซึ่งรองรับการทำงานวิจัยทางคลินิกทั้งในกลุ่มผลิตภัณฑ์สุขภาพ เครื่องมือแพทย์ เครื่องสำอาง และยา เพราะตอนนี้ Medicaltime&Pharmatime (การแพทย์เภสัชกรรมเวชกรรม) เทรนด์ที่กำลังมาแรงในต่างประเทศ แต่ยังเป็นเรื่องใหม่ของไทย โดยแพลตฟอร์มวิจัยทางคลินิกของ Ravis Technology จะบริหารจัดการโดยใช้ AI ในการช่วยออกแบบงานวิจัย วิเคราะห์วรรณกรรม ช่วยเก็บลักษณะอาสาสมัครคนไข้ ช่วยจับคู่และวิเคราะห์คนไข้ให้ ควบคู่กับซอฟต์แวร์ในการเก็บข้อมูล” มาลีพรรณ กล่าว
อย่างไรก็ตาม “Ravis Technology “ จะขยายความร่วมมือกับบริษัทในต่างประเทศมากขึ้น ทั้งในแคนาดา และอเมริกา เพื่อดึงนักลงทุนต่างชาติเข้ามาร่วมโปรเจคในไทย และใช้บริการของแพลตฟอร์มบริหารการวิจัยทางคลินิก รวมถึงฝากไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การสนับสนุนสตาร์ตอัปด้านเทคโนโลยีทางการแพทย์ และช่วยขยายโอกาสไปยังตลาดต่างประเทศมากขึ้น
ไทยเป็นแหล่งบริการวิจัยทางคลินิก
ผลิตภัณฑ์การแพทย์และเวลเนสในประเทศไทยกำลังเติบโตอย่างมาก ซึ่งการผลิตหรือพัฒนา “ผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ด้านสุขภาพ” มีความจำเป็นต้องเป็นไปตามกฎหมายของแต่ละประเทศ และต้องมีการทำงานวิจัยทางคลินิก
มาลีพรรณ กล่าวทิ้งท้ายว่าอยากให้ประเทศไทย เป็นแหล่งให้บริการวิจัยทางคลินิก เป็นศูนย์กลางของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะไทยมีแพทย์ บุคลากรทางการแพทย์ มีผู้เชี่ยวชาญ มีนักวิจัยที่เก่ง รวมถึงมีสถานที่ มีศูนย์ทดสอบสัตว์ในประเทศไทยที่หลายๆ ประเทศไม่มี อีกทั้งราคาในการให้บริการวิจัยทางคลินิก เมื่อเทียบกับประเทศทางฝั่งอเมริกาหรือยุโรปราคาสูงกว่าไทยประมาณ 5เท่า หรือ 500% ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นโอกาสของประเทศ