Mind Education (ME) คนไทย “ใกล้เกลือกินด่าง” หรือไม่

สำนวนไทย “ใกล้เกลือกินด่าง” หมายถึงผู้ที่อยู่ใกล้สิ่งที่ดีมีคุณค่า แต่มองไม่เห็นคุณค่านั้นกลับไปหลงชื่นชมสิ่งที่ด้อยค่า หรือมองข้ามของดีที่อยู่ใกล้ตัวซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่ตน
สำนวนนี้ดูจะสอดคล้องกับสภาวการณ์ของการศึกษาไทย เมื่อคำนึงถึงแนวคิดที่เรียกว่า Mind Education ของโลกตะวันตกในปัจจุบัน
แนวคิด Mind Education (ME) กำลังได้รับความสนใจอย่างมากในโลกสมัยใหม่เพราะตอบสนองปัญหาของชาวโลก ME มีรากฐานมาจากการตระหนักถึงเรื่องจิตในหลายวัฒนธรรม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีการฝึกฝนปฏิบัติจิตมายาวนานนับพันปี อีกทั้งอยู่ในปรัชญาเเละศาสนาโดยปรากฏอย่างโดดเด่นในศาสนาพุทธและประเพณีตะวันออก และในปัจจุบันปรากฏอยู่ในทฤษฎีจิตวิทยากระบวนการพัฒนาตนเอง ความฉลาดทางอารมณ์ (EQ-Emotional Intelligence) ฯลฯ
ME มีอิทธิพลต่อแนวคิดที่ต้องการสร้างสุขภาวะที่ครอบคลุมทั้งกาย ใจ และสิ่งแวดล้อมที่มีลักษณะเป็นองค์รวม (holistic)
งานศึกษาวิจัยทางจิตวิทยาเกี่ยวกับ ME ในเรื่องการนั่งสมาธิ (meditation) พบว่าช่วยทำให้เกิดความผ่อนคลาย มีจิตใจที่แน่วแน่ มีสมาธิดีขึ้น ควบคุมอารมณ์ได้ดีจนทำให้สามารถตัดสินใจในเรื่องต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิผลยิ่งขึ้น อีกทั้งมีความสุขมากขึ้นด้วย
ปัจจุบัน CEO ตลอดจนผู้บริหารขององค์กรต่างๆ ในต่างประเทศ นักเรียน นักศึกษา ประชาชน สนใจเข้าฝึกฝนวิธีการ meditation หรือ mindfulness (การมีสติ) กันอย่างกว้างขวาง
วันนี้มาดูกันว่า ME มีองค์ประกอบสำคัญใดบ้าง และเหตุใดจึงสำคัญจนได้รับความนิยมมากขึ้นทุกทีในระดับโลก และคนไทย “ใกล้เกลือกินด่าง” หรือไม่
องค์ประกอบของ ME มีดังนี้
(1)พัฒนาระบบความคิด ME เน้นการพัฒนาความสามารถในการคิด เช่น แก้ไขปัญหา มีความคิดสร้างสรรค์เเละช่วยการตัดสินใจ นอกจากนี้ ME ช่วยสนับสนุนให้บุคคลคิดเป็น สามารถวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการใช้ตรรกะ
(2) EQ ลักษณะสำคัญของ ME ส่วนหนึ่งก็คือมี EQ ซึ่งได้แก่ การรู้จักตนเอง การมี empathy (ความสามารถเข้าใจและรู้สึกความคิดและอารมณ์ของผู้อื่น) การควบคุมอารมณ์ตนเอง
และการมีทักษะในการทำงานร่วมกับผู้อื่น ซึ่งจะทำให้บุคคลเข้าใจอารมณ์ของผู้อื่นๆ และสามารถสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่นได้เป็นอย่างดี
(3) Mindfulness และ Meditation แนวคิด ME ครอบคลุมถึงการมีสติผ่านการฝึกนั่งสมาธิหรือการเจริญสติซึ่งสอนให้ทุกคนอยู่กับปัจจุบัน ช่วยจัดการความเครียดและลดความคิดที่เป็นลบ
การนั่งสมาธิเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความสงบภายในจิตใจ ขยายความสามารถในการสะท้อนคิดและช่วยพัฒนาการมีสมาธิ
(4) Mental Resilience การสอนให้บุคคลรู้จักวิธีจัดการกับความผันผวนด้านลบที่ไม่น่าพึงใจและการรักษาไว้ซึ่งความเข้มแข็งของจิตใจ ท่ามกลางความท้าทายเป็นส่วนสำคัญของ ME
นอกจากนี้เทคนิคในการคิดด้านบวก จัดการความเครียดและพัฒนากลไกที่ช่วยสุขภาพจิตอื่นๆ จะช่วยให้เกิดความคล่องตัว สามารถต่อสู้กับความผันผวนในทุกทางได้เป็นอย่างดี
(5) Self-Reflection and Personal Growth แนวคิด ME สนับสนุนให้มีการสะท้อนคิดอย่างต่อเนื่องซึ่งช่วยให้บุคคลเข้าใจคุณค่านำทางชีวิตของตน เข้าใจแรงจูงใจตลอดจนพฤติกรรมของตนเอง
นอกจากนี้ การรู้จักตนเองช่วยส่งเสริมการเติบโตของตนเอง พัฒนาความสามารถด้วยตนเอง และเพิ่มความความสามารถในการเลือกผ่านการคิดอย่างรอบคอบและรอบด้าน
(6) Focus and Attention ส่วนสำคัญของ ME คือการพัฒนาความสามารถในการโฟกัส การเน้นให้ความสนใจเเละการให้ความใส่ใจโดยขจัดสิ่งที่ทำให้หันเห
(7) Holistic Well-being แนวคิด ME มุ่งสู่ความมีสุขภาวะซึ่งเป็นองค์รวม โดยมีการปฏิบัติที่สร้างความสมดุลในชีวิต การบริโภคอาหารที่ถูกสุขลักษณะ การพักผ่อนและการฝึกปฏิบัติด้านจิตใจ
เป้าหมายสำคัญของ ME คือการเพิ่มความสามารถในด้านการคิดทั้งในการควบคุม การริเริ่มที่สร้างสรรค์ การตัดสินใจที่รอบคอบเเละรอบด้าน การคิดในด้านบวก ผ่านการปฏิบัติฝึกฝนจิตใจซึ่งมีการเจริญสติเป็นหลักได้เป็นอย่างดี
ซึ่งทั้งหมดเพื่อการทำงานและการดำเนินชีวิตที่มีประสิทธิผลเพิ่มขึ้น และประการสำคัญคือมีความสุขในชีวิต
คำถามที่คนไทยหลายคนที่คุ้นเคยกับแนวคิด ME คิดอยู่ในใจก็คือ เหตุใดการศึกษาของบ้านเราในทุกระดับจึงมิได้เน้น ME โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านการฝึกปฏิบัติด้านจิตใจ
ที่สำคัญก็คือการนั่งสมาธิ หรือการเจริญสติทั้งๆ ที่เรารู้จักวิธีการนี้มายาวนานและอยู่ในศาสนาพุทธ เรามีผู้รู้จำนวนมาก มีองค์ความรู้ มีสถานที่พร้อม เราเข้าทำนอง “ใกล้เกลือกินด่าง” หรือไม่
การบรรจุการนั่งสมาธิหรือการเจริญสติไว้ในหลักสูตรตั้งแต่เล็กขึ้นมาตามแนว ME นั้นน่าจะช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องของการขาดสติ การควบคุมอารมณ์ การพัฒนาจิตใจตนเอง ฯลฯ ของคนในชาติเราได้เป็นอย่างดี.