วันที่ “เผ่าทอง ทองเจือ” ตัดสินใจขายทรัพย์ สมบัติ
“เผ่าทอง ทองเจือ” ถึงเวลาต้องปลดปล่อยทรัพย์ สมบัติ ตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายายจนถึงของรักของหวงที่สะสมมานาน เพื่อจัดการให้เรียบร้อยก่อนจะลาจากโลกนี้ไป วันนี้จุดประกาย หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ได้พูดคุยกับ “อาจารย์แพน” เกี่ยวกับ “กรุสมบัติ” และแนวคิด
เผ่าทอง ทองเจือ ก่อนตัดสินใจเปิด กรุสมบัติ ขาย หลังจากหายป่วยจากโรคมะเร็ง มีความสุขกับการใช้ชีวิตต่อจากนั้น ผ่านมา 30 ปี
อะไรทำให้ อาจารย์แพน ในวัย 65 ปี ตัดสินใจทำ Death Cleaning ปลดปล่อย กรุสมบ้ติเผ่าทอง อันเป็นที่รักที่ได้สะสมมานาน
จุดประกาย กรุงเทพธุรกิจ มีโอกาสได้ไปเยือนกรุสมบัติ แล้วฟังแนวคิดที่น่าทึ่งกับผู้ชายหลากหลายอาชีพที่คนรู้จักทั่วประเทศ
เป็นนักโบราณคดี นักประวัติศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญผ้าไทย นายแบบ พิธีกร นักแสดง อดีตอาจารย์มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ และ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
นอกจากนี้ยังเป็นเจ้าของรายการ เปิดตำนานกับเผ่าทอง เจ้าของห้องเสื้อเผ่าทอง ทองเจือ (Paothong’s Private Collection)
และเมื่อไม่นาน เขาไลฟ์สดเปิดกรุสมบัติ ตัดสินใจขายสมบัติที่สะสมมาทั้งชีวิต และเขามีเหตุผลที่น่าสนใจมาก
เผ่าทอง ทองเจือ เจ้าของรายการ เปิดตำนานกับเผ่าทอง ให้สัมภาษณ์ท่ามกลาง กรุสมบัติ จำนวนหนึ่งในห้องรับแขก
คำถามแรกที่ถาม อาจารย์แพน เกี่ยวกับ “กรุสมบัติเผ่าทอง” ก็คือ
ทำไมอาจารย์ตัดสินใจทำ Death Cleaning
30 ปีที่แล้ว ปี 2537 ผมเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง หมอบอกว่าอยู่ได้ 3 เดือน เป็นช่วงที่เริ่มปล่อยวาง แต่ปล่อยได้ระดับหนึ่ง
เพราะเราเหลือแม่คนเดียว ห่วงแม่ยังไม่อยากตาย บอกหมอว่าเราจะสู้ทุกอย่าง ต่อให้เหนื่อยแค่ไหนก็จะทำ เพราะคนโบราณพูดว่า
ความทุกข์ที่สุดของพ่อแม่คือการเผาลูก ไม่อยากให้แม่ต้องมาเผาเรา ตอนนั้น
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง รับเป็นคนไข้ในพระราชูปถัมภ์ทรงดูแลจนหาย (เคาะโต๊ะ) หายไม่หายก็อยู่มา 30 ปี
ในที่สุดกลับมาคิดถึงเรื่องความตาย?
เริ่มจากกลุ่มเพื่อนสมัยอนุบาล จนเข้าสาธิตประสานมิตร เตรียมอุดม แล้วเรียนศิลปากร ไม่ได้เจอกัน เพื่อนทุกคนแต่งงานมีลูก จนกระทั่งแก่
กลับมาเจอกัน แล้วบอกว่าเราเหลือกันแค่นี้ จับกลุ่มกันใหม่นัดกินข้าว นัดเที่ยว ก่อนโควิดเล็กน้อยเพื่อนคนหนึ่งเป็นมะเร็ง เขาไม่อยากตาย ทำทุกทางให้รอด
ปรากฏว่าเพื่อนก็ตาย ไม่ได้ทำอะไรข้างหลังให้เรียบร้อย ก็เลยมาคิดว่าเราต้องจัดการให้เรียบร้อย เมื่อเรายังมีลมหายใจ
พอเพื่อนคนนี้ตายไลน์กลุ่มเราเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น“กลุ่มเหลือเท่านี้”มี 10 คน พ่อแม่เริ่มเจ็บไข้ได้ป่วยตาย เพราะฉะนั้นความตายอยู่ใกล้ตัวเรามาก
ภาพโดย: ศุกร์ภมร เฮงประภากร
"อาจารย์แพน-เผ่าทอง ทองเจือ"
เผ่าทอง ทองเจือ หรือ อาจารย์แพน เจ้าของรายการ เปิดตำนานกับเผ่าทอง เล่าเรื่องราวที่นำไปสู่สาเหตุของการม
ทำ Death Cleaning ออกมาเปิด กรุสมบัติเผ่าทอง เพื่อปลดปล่อยทรัพย์สมบัติต่อไปกับคำถามที่ว่า
อาจารย์แพนเคยเกือบสัมผัสกับความตาย?
เรียกว่าเราผ่านความตายมาแล้ว ตอนไม่สบายเมื่อ 30 ปีที่แล้ว รักษาตัวที่โรงพยาบาลสวนดอก ได้สัมผัสกับคนไข้อนาถา
ได้เห็นความทุกข์ ความยากจน ความไม่มี เห็นแล้วปลง สงสาร แต่ในขณะเดียวกัน เราเองก็ป่วย เท่าที่ทำได้เอาสตางค์ให้เขา 500 บาท
1,000 บาท เพราะเขาจนจริงๆชนิดไม่มีเงินค่ารถ ออกจากบ้านตี 3 เดิน 30 กิโล เพื่อมาหาหมอ
ถามว่า 30 ปีที่ผ่านมาให้อะไรมั่ง ให้ข้อคิดหลายอย่างกับชีวิต เช่น เราอยู่บนเส้นทางที่ไม่ประมาทต่อความตาย เราพยายามมีชีวิตที่เป็นประโยชน์กับคนอื่น
ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเราจะตายเมื่อไหร่ตอนเพื่อนตายไปเมื่อ 3 ปีก่อน มีความรู้สึกว่า ชีวิตไม่มีเวลากำหนดจริงๆ นะ มันจะไปตอนไหนก็ได้ เราสั่งทุกอย่างก่อนตายได้ แต่ไม่รู้ว่าเราตายไปแล้วเขาจะทำตามหรือเปล่า
ผมคุยกับหลานคนหนึ่งเรื่องการสั่งเสีย สั่งเสียว่าตายแล้วตั้งศพกี่วัน แต่งตัวสวยแบบนั้น จัดดอกไม้แบบนี้ หลานบอกว่า มันเป็นภาระกับคนอยู่นะ
จะสั่งทำไม เยอะแยะวุ่นวาย พอไม่ทำตามก็เป็นตราบาปในใจคนอยู่อีก ไม่ต้องไปสั่งหรอก ตายแล้วไม่รู้เรื่องหรอก เขาทำให้แค่ไหนก็แค่นั้นแหละ
เขาไม่ทำก็ไม่เป็นไร ปอเต๊กตึ๊งมี ร่วมกตัญญูมี ไม่มีใครปล่อยให้ตายเน่าคาบ้านหรอก หลานบอกน้าแพน อย่าไปห่วงอะไรเลย ตายก็จบ
ก็แค่นั้น เออ จบก็จบ Death Cleaning คือเริ่มเคลียร์ เริ่มคัดสรร จัดสรร แจกจ่ายออกไป
พระพุทธรูปสมัยราชวงศ์ถัง
แนวคิด Death Cleaning มาจากไหน
ผ่านไป 30 ปี หลังจากหายมะเร็ง คิดว่าจะให้ของกับคนที่อยากให้ บ้าน ที่ดิน ทรัพย์สมบัติ เงินทอง ซึ่งพ่อแม่เคยสอนไว้ว่า
อย่าเพิ่งให้อะไรใครจนกว่าเราจะตาย ให้ผ่านพินัยกรรมดีกว่า ถ้าให้เขาตอนเป็นๆ เกิดเขาไม่ดีกับเราในภายภาคหน้า ก็จะเสียใจ หรือให้ไปแล้วเขาไม่ดูแลเรา
อันนี้เป็นโจทย์ที่พ่อแม่คิด ส่วนโจทย์เราก็คือให้ไปเลย ตอบแทนบุญคุณที่มีต่อกัน ส่วนภายภาคหน้าจะดูแลกันอยู่ไหม จะดีกับเราไหม ค่อยว่ากัน
ญาติพี่น้องก็ร่ำรวยทุกคน รวยกว่าเราเยอะแยะ ก็เลยดูแลคนที่อยู่รอบตัวที่เขาดีกับเรา ดูแลเรา คนที่เราฝากผีฝากไข้กับเขา อันดับต้นๆ
ถามความต้องการของแต่ละคนว่า ฉันมีขันเงิน มีพระพุทธรูป มีจานชามเบญจรงค์น้ำทอง มีสารพัดจะยกให้เธอก่อนตาย จะได้เอาไปขาย
พวกเขาบอกว่าไม่อยากได้ ไม่รู้จะเอาไปขายใคร ขายกี่บาทไม่รู้เลย ทุกคนปฎิเสธ ก็เลยคิดว่า เราน่าจะเริ่มขาย แล้วเปลี่ยนเป็นเงินสด แจกจ่ายน่าจะดีกว่า
แล้วก็เริ่มขายใน Facebook ตอนนั้นยังไม่กล้าไลฟ์สด ก็ขายเก้าอี้เชคโก ตอนไลฟ์ก็บอกว่า นี่ไม่ใช่สมบัติฉันคนเดียว ยังมีของปู่เป็นพระยา
ตาเป็นคุณหลวง ยายเป็นคุณนาย ยายน้อยเป็นคุณหญิง ย่าเป็นคุณท้าว มียศถาบรรดาศักดิ์ ทุกคนมีสมบัติเยอะ ส่วนใหญ่ก็ตกทอดมาอยู่ที่นี่ ก็เป็นหลานรัก หลานตอแหลก็ว่าไป (หัวเราะ)
พระพุทธรูปสมัยราชวงศ์หมิง
สมบัติเยอะมาก ?
ก็มานั่งนึก ขายแบบนี้อีกกี่ชาติจะหมดวะ สะสมผ้านุ่งอย่างเดียวก็ 30,000 ผืน ก็เป็นจังหวะที่เห็นคนมาไลฟ์ขายของ แต่ยังไม่มีใครไลฟ์ขายสมบัติพัสสถาน
ก็เลยไปรื้อสมบัติมาขาย นอกจากสมบัติมรดก สมบัติที่ฉันหามาเองก็เยอะ ห้องเสื้อเผ่าทองเมื่อ 20-30 ปีก่อนรุ่งเรืองมากๆมี 14 สาขา สาขาหนึ่งมีสินค้าอย่างน้อย 5-10 ล้านบาท ถ้าไม่เอามาขายตอนนี้จะขายตอนไหน
มีของรักชิ้นที่รักมากๆไม่อยากขายไหม
ของที่ตั้งใจไม่ขาย คือพยายามไม่ตั้งใจแล้ว ของในบ้านนี้คือ ที่ยังไม่ขาย เพราะนี่คือบ้านที่อยู่ ของที่เราขายก็คือ
หนึ่งของในร้านเผ่าทองขายแน่นอน สองคือของมรดกมาจากปู่ย่าตายาย เลือกแล้วเอามาไว้บ้านนี้แหละ เพราะชอบ
ถ้าจะถามว่าขายสุดท้ายจริงๆ ก็คงเป็นบ้านนี้ หรือถ้าตายก่อน ก็คงไม่ได้ขาย ก็แบ่งกันไปเอง แต่ถามว่าพยายามตัดใจจากการรักสิ่งนั้น
สิ่งนี้ ก็ตัดใจเยอะนะ หลายๆอย่างที่เราชอบ อย่างแหวนรอบเพชรฝังรอบนิ้ว ก็ตัดใจขายไป
ทุกวันนี้เวลาเห็นสมบัติที่รัก ความรู้สึกเปลี่ยนไปไหม
มันเปลี่ยนไปนะ เช่น เราคิดว่าของชิ้นนี้เคยรักมันมาก เรามีความสุขมากในการที่ได้ใส่แหวนเพชร 5 กะรัตวงนี้ วิบวับวิบวับใส่แล้วสวย ดูแล้วรวย
แต่ ณ วันนี้เราตัดใจได้ Death Cleaning เรารู้ว่าแหวนวงนี้ขายได้ 3 ล้าน มันจะได้คอนโด 1 ห้องสำหรับลูกน้องเราคนนึง
ซึ่งเขามีลูกมีเมียจะได้มีที่ซุกหัวนอน ไม่ต้องเช่า ถ้าเรามี 2 วงก็ขายได้ 6 ล้าน เท่ากับเราซื้อได้ 2 ห้องให้เขาห้องหนึ่ง
อีกห้องให้เขาเก็บค่าเช่ากัน ถ้าเรายังห่วงมัน เราก็ช่วยให้มากที่สุดเท่าที่จะช่วยได้ ของที่เรารักที่สุดถามว่า มีเยอะไหม ก็เยอะ เพราะเราคงไม่เก็บของที่ไม่ชอบ ใช่ไหม
มาถึงตอนนี้รู้สึกกลัวความตายไหม
ความตายไม่กลัวแล้ว เพราะตอนเป็นมะเร็ง หมอบอกว่าต้องพนันกันแล้วระหว่างชีวิตนึงกับความตาย เวลาของเราเหลืออยู่ 3 เดือน
ก็คือ 90 วัน คูณ 24 ชั่วโมง คูณ 60 นาที คูณ 60 วินาที ทุกอย่างมันเห็นเป็นตัวเลขไปหมดเลย เพราะฉะนั้นโอกาสรอดก็แข่งกับเวลาที่เดินเร็วมาก
หมอบอกว่าให้คีโมแบบดับเบิ้ลโดสเลยไหม เสี่ยงดู รอดก็รอด ตายก็ตาย ปกติคีโมเขาให้แบบน้ำเกลือค่อยๆ หยด แต่นี่คือฉีดเข้าเส้น กระบอกฉีดยาเท่ากับกระบอกฉีดยุงสมัยก่อน
เดินยาไปครึ่งกระบอก รู้สึกปวดทั้งตัว หัวใจก็ปวด บอกหมอไม่ไหวแล้ว เอนหลังพิงผนังแล้วตายเลย หัวใจหยุด เพื่อนที่อยู่ด้วยบอกหมอดึงเข็มออก
ส่งไป CCU ปั๊มหัวใจ ระหว่างนั้นรู้สึกว่าตัวเองเหมือนขนนกสีขาว หมุนอยู่ในกล่องเหล็กสีดำ มืดสนิทแล้วก็เย็นฉ่ำ หมุนลงมาเรื่อยๆๆ
หมุนลงมาแต่ไม่ถึงพื้นสักที จังหวะช้าๆ แล้วก็เย็นสบายมาก เงียบสนิท สงบเหลือเกิน นั่นคือความตาย สลบอยู่ 7 วัน
ระหว่าง 7 วันนั้นหัวใจก็หยุด หมอเอาไฟฟ้าช๊อต แต่เรารู้สึกเหมือนเดิม ไม่รู้สึกว่ามีไฟฟ้าช๊อตเลย เรารู้สึกเป็นขนนกหมุนอยู่อย่างเดียว 7 วัน แล้วก็ฟื้น ไม่ฟื้น ไม่ขยับ มันคือความฝัน
ถือว่ามีกำไรชีวิตมา 30 ปี?
เป็นกำไรฮะ พอหาย หมอก็นัดตรวจเดือนหนึ่ง แล้วเว้นไป 3 เดือน 10 ปีแล้ว เราก็ถามหมอว่า ขอดื่มไวน์ได้ไหม เวลาเขากินเลี้ยงกันเห็นเขาจิบ รู้สึกเขินจัง หมอบอก ตายแล้วลืมบอกไปว่ากินไปเลย เหล้า วิสกี้ กินได้หมด
ชีวิตที่เหลือเป็นโบนัสแล้ว คนที่เจ็บรุ่นเดียวกับเรา ตายหมดแล้วนะ ไม่มีใครเหลือ เราเป็น Case Study ของหมอ
ใครเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองรู้จัก เผ่าทอง ทองเจือ ทั้งนั้น มีการประชุมเรื่องมะเร็งต่อมน้ำเหลืองในโลก คนต้องถามว่า
มิสเตอร์ทองเจือนี่ตายหรือยัง เคสแบบนี้ไม่ค่อยรอด และไม่น่ารอดมาได้ยาวขนาดนี้
แล้วรอดมาได้ยังไง
ไม่รู้สิ ตอบโง่ๆ ก็รอดเพราะมีบุญ ไม่มีใครรู้
มีอะไรที่อยากทำอยากได้อีกไหมคะ
เรื่องอยากได้ ตอนนี้ไม่อยากได้อะไร เป็นคนใช้ชีวิตเรียบง่ายมาตลอดนะจะบอกให้ ไม่ได้เป็นคนใช้สินค้าแบรนด์เนม
ไม่ยึดติดกับแบรนด์ ยังทำงานเยอะ และเงินที่ได้ก็เอาไปทำบุญ ไม่เคยใช้เลยนะ คนใกล้ตัวจะรู้
ไม่ใช้ชีวิตกินแพง เที่ยวหรู รถยนต์ส่วนตัวไม่มี มีแต่ของบริษัท จะไปไหนก็รถไฟฟ้าหน้าบ้าน มอเตอร์ไซด์ปากซอยก็มีวิน เรียก 10 บาท จ่าย 20 บาททุกครั้ง
ถือว่าทำบุญ ช่วงโควิดให้ 100 บาท เพราะเขาลำบาก ตำน้ำพริกแจกวินทุกคน ทำบุญกับคนใกล้ตัว ชีวิตเราสบายอยู่แล้ว
มรดกที่เขาทิ้งไว้ให้ก็พอแล้ว จะอยู่ยังไงล่ะ คือเราก็เป็นโรคปวดหลัง ต้องนอนพื้นกระดานแข็งๆ จะนอนเตียงสปริงก็ไม่ได้
ทุกวันนี้ยังทำรายการทีวี ทำโน่นทำนี่ นั่นก็คือความสุขของอาจารย์ใช่ไหม
เราเป็นลูกคนเดียว ถูกเลี้ยงแบบลูกคนเดียว เหงามากนะ แม่ก็ดุ เจ้าระเบียบ พูดเสมอว่าลูกรักของเรา อย่าให้เป็นลูกชังของคนอื่น
ว่าแล้วแม่ก็ตีด้วยไม้เรียว ก้านมะยม ไม้บรรทัด ไม้ขัดหม้อ แล้วแต่ความผิดและแล้วแต่จะหยิบอะไรใกล้มือ (หัวเราะ)
สิ่งที่แม่สอนคือให้ดูแลคนอื่นก่อน เราเกิดในครอบครัวโบราณ ปู่เป็นพระยา(พระยาไพชยนต์เทพ หรือทองเจือ ทองเจือ ต้นสกุลทองเจือ)
ย่าเป็นคุณท้าว (ท้าวอนงค์รักษา หรือ พร้อง ทองเจือ) ตาเป็นคุณหลวง ยายเป็นคุณหญิง ความเป็นอยู่ของเราเหมือนในหนังจักรๆ วงศ์ๆ
ดูหนังจักรๆ วงศ์ๆ ทุกวันนี้ ยังน้อยกว่าสิ่งที่เราเป็น เรามีคนใช้ 15-20 คน มีลูกคนใช้อีก 20-30 คน ลูกคนใช้ต้องมาเป็นลูกไล่เรา
วิ่งเล่นกับเรา มีทั้งแก่กว่า เด็กกว่า ก็ต้องเรียกคุณแพน คุณหนูแพน สิ่งที่แม่สอนคือ ต้องเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กับคนรอบๆ ตัวเราก่อน
ต้องทำให้คนรอบๆตัวเรามีความสุข แม่ตาย 30 ปี
พินัยกรรมแม่นี่คือแม่ซื้อคอนโด ทาวน์เฮ้าส์แจกคนใช้หมดเลยนะ ให้ออกไปตั้งตัวกัน แม่ตาย ผมเหลือคนใช้อยู่ 3 คน
สิ่งที่อาจารย์ทำทุกวันนี้ ก็ทำตามแบบฉบับของคุณแม่ ?
ใช่ เราจะดูแลคนของเราเหมือนสมัยโบราณ ตั้งแต่ยายก็ดูแลคนใช้ของยาย พอยายตาย แม่ก็ดูแลคนใช้ของยายต่อ แม่ตาย
ผมก็ดูแลคนใช้ของแม่ต่อ ผมก็ยังดูอยู่จนถึงทุกวันนี้ พอถึงวันที่เราตายทุกอย่างก็จบ
ก่อนเป็นมะเร็ง เผ่าทอง ทองเจือ เป็นคนยังไงคะ
เป็นคนที่วีนมาก ทำอะไรตามใจตัวเองมากๆ พอเป็นมะเร็งได้เห็นสัจธรรม ได้สัมผัสกับคนยากไร้เยอะมาก ก่อนหน้านั้นเรารู้ว่าคนจน
แต่ไม่รู้ว่าจนแค่ไหน จนคุณต๋อม ภูมิใจ บุรุษพัฒน์ เขาเป็นนักสังคมสงเคราะห์ เป็นคนแนะนำให้เราได้เห็นหลายๆเรื่อง
ขอบใจต๋อมมากเลย ทำให้เราเปลี่ยนวิธีคิดเยอะมาก จริงๆ แล้วการเป็นมะเร็ง ก็เป็นประโยชน์มากอย่างหนึ่ง ที่ทำให้ 30 ปีที่ผ่านมา
เราสร้างงานได้เยอะมาก เราได้สร้างสิ่งที่เราคิดว่าเป็นบุญ และสิ่งที่ทำกรรมก็น้อยลงไปกว่าเดิมมาก
อาจารย์เคยไปบวชมาด้วยเหรอคะ
ช่วงระหว่างเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม ผมไปบวชที่พุทธคยา ประเทศอินเดีย บวชอยู่ 2 อาทิตย์กว่าๆ ตอนบวชก็ไม่ได้คิดว่าเราจะได้อะไร
แต่ปรากฏว่าได้อยู่กับตัวเองเยอะมาก ได้อยู่กับความเงียบ ไม่มีใครมายุ่ง ไม่ถือโทรศัพท์มือถือเลย วางจากทุกเรื่อง ไม่ทำงาน ไม่สั่งการ
ตอนนั้นรู้สึกว่าชีวิตมีความสุข มีความรู้สึกไม่อยากสึกขึ้นมานิดๆ แต่ยังไม่พร้อม เรายังมีภาระอยู่ ก็คือลูกน้องที่ควรสึกมาจัดการดูแล
ถ้าเราจัดการหมดทุกอย่างเรียบร้อยแล้วยังไม่ตาย ก็ยังอยากจะบวช บวชไปเลย ตายในผ้าเหลือง น่าจะเป็นความสุขที่ตัวเองปรารถนา
"อาจารย์แพน เผ่าทอง ทองเจือ"