“นวณัฐ ศรียุกต์สิริ” จากเจ้าแม่คัพเค้กสู่นักคลื่นเสียงบำบัด
เคยเปิดร้านคัพเค้กที่ดังมาก มีหนังสือทำขนมของตัวเอง มีความสุขกับการทำขนม แต่ธุรกิจที่ยุ่งทุกวัน ทำให้เธอตั้งคำถามว่า นี่...ใช่ความสุขหรือ
บางช่วงเวลา คนเราก็คิดว่า ได้ทำอาชีพตัวเองรักและชอบ มีความสุขที่สุดแล้ว แต่บางทีไม่เป็นอย่างที่คิด...
ชีวิตเป็นเช่นนั้นเอง เฉกเช่น แจน-นวณัฐ ศรียุกต์สิริ อดีตผู้บริหารร้านโฮมเมดเบเกอรี่ชื่อดัง “เมด บาย เจลลี่ เจน” (Made by Jelly Jan) ที่รักการทำขนมเป็นชีวิตจิตใจ
เธอเคยไปร่ำเรียนทำอาหารที่ Le Cordon Bleu แล้วเรียนต่อปริญญาตรี ด้าน International restaurant and catering management ที่ Le Cordon Bleu ประเทศออสเตรเลีย
เธอเปิดร้านขายเบเกอรี่ขายดิบขายดีอยู่หลายปี ตื่นขึ้นมาพบกับความวุ่นวาย บริหารจัดการธุุรกิจขนมวันแล้ววันเล่า แต่ชีวิตไม่ได้มีแค่ขนม ยังมีเรื่องธุรกิจ การบริหารพนักงาน และเรื่องเงินๆ ทองๆ เธอจึงเริ่มรู้สึกว่า นี่ไม่ใช่ความสุขแล้ว
จนได้มาพบกับคลื่นเสียงคริสตัล โบวล์ จึงเริ่มเรียนรู้ ทำความเข้าใจ และเลือกเส้นทางใหม่ เพราะทำให้เข้าใจชีวิตมากขึ้น จนกลายเป็นนักคลื่นเสียงบำบัด เจ้าของ Jaan Healing ทำหน้าที่เป็นผู้นำทางคลื่นเสียง
บรรเลงด้วยท่วงทำนองที่เลือกสรรมาให้เข้ากับการเยียวยาหรือผ่อนคลายสำหรับคนๆ นั้นหรือคนกลุ่มนั้น
เมื่อทำมาหลายปี เธอรู้สึกได้เลยว่า สามารถอยู่กับสิ่งนี้ได้อย่างมีความสุข ไม่ใช่การทำงานที่เหนื่อยล้าเฉกเช่นเมื่อก่อน...
ก่อนหน้านี้เคยเป็นเจ้าของร้านเบเกอรี่ขายดิบขายดีได้ทำในสิ่งที่รัก ก็น่าจะมีความสุข ?
ตอนนั้นทำเพราะชอบ แต่พอเป็นธุรกิจ ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เรามีความสุข
ทั้งๆ ที่ทำธุรกิจเบเกอรี่มานานกว่า 7 ปี ?
ตอนนั้นไม่รู้ตัวว่า เราไม่มีความสุข แต่เราโอเคที่ธุรกิจสามารถสร้างรายได้ กระทั่งสิบปีที่แล้ว เรามารู้จักเรื่องหินบำบัดก่อนที่คนทั่วไปจะรู้จักไม่กี่เดือน รู้สึกว่าหินมีพลัง ก็เลยอยากเรียนรู้ เพราะคุ้นเคยกับเจ้าของร้าน Madame Stone
จนได้มาเรียนเรื่องเรกิ (Rieki) พลังธรรมชาติรูปแบบหนึ่งใช้บำบัดผู้คนได้ ใช้พลังงานจากรอบๆ ตัวเรานี่แหละบำบัด แต่ตอนนั้นไม่รู้ว่าคืออะไร จึงไม่ได้คำตอบ
5 ปีที่แล้วจึงได้ค้นพบตัวเอง ตอนนั้นได้มาเรียนกับคนสัญชาติสิงคโปร์อินเดียน เรียนแล้วฝึกไปเรื่อยๆ ใช้เวลา 1 ปี ไม่ได้เรียนทุกวัน
ตอนทำธุรกิจขนม เคยสนใจเรื่องแนวนี้ไหม
ไม่เคย อาจเป็นเพราะถึงเวลา แจนเชื่อว่าไม่มีอะไรเป็นเรื่องบังเอิญ ทุกอย่างจักรวาลจัดให้ พอทำเรื่องแนวนี้ ก็เข้าใจตัวเองมากขึ้น มีความสุข และทำให้เข้าใจว่าทุกอย่างที่เราทำ อยู่ที่ตัวเราทั้งหมด
ปกติคนชอบที่จะออกไปหาความสุขภายนอก จริงๆ แล้วความสุขมาจากตัวเรา แม้ตอนนี้เราจะบอกว่า เราเป็นนักบำบัด ไม่ว่าเราจะช่วยใคร นั่นหมายถึงคนๆ นั้นต้องบำบัดตัวเอง
นักคลื่นเสียงบำบัด เป็นแค่คนนำทาง ?
เหมือนเวลาเราล้มป่วยไปหาหมอ แม้หมอจะช่วยเย็บแผลให้ แต่เราก็ต้องรักษาตัวเอง คล้ายๆ การบำบัด
พอทำเรื่องเรกิไปเรื่อยๆ แจนมาเจอ Crystal Bowl เป็นอีกแนวทางที่ใช้เสียงบำบัด แจนรู้สึกอยากทำงานกับสิ่งนี้ ตอนนั้นไม่รู้ว่า คืออะไร ก็เริ่มศึกษา
ตัวคริสตัล โบวล์ (Crystal Bowl ) ทำมาจากหินและแร่ธาตุหลายชนิด แจนมาเจอแบรนด์สีสวยๆ บริษัทที่ทำ มีกระบวนการการทำจดลิขสิทธิ์วิธีทำไว้ พอไปดูราคาสูงมาก ก็นึกว่า ถ้าจะให้เราทำงานกับสิ่งนี้ ก็ขอให้เงินไหลเข้ามา หลังจากนั้นก็ได้ทำเรื่องการบำบัด
เมื่อเริ่มศึกษาคริสตัล โบวล์ ใช้คลื่นเสียงบำบัด คุณค้นพบอะไรบ้าง
เราเรียนรู้เรื่องพลังจากธรรมชาติมาหลายปี จริงๆ แล้วทุกอย่างในชีวิตเกี่ยวข้องกับพลังงานทั้งหมด ไม่ว่าชี่กง ฝั่งเข็ม สำหรับแจนไม่ได้แตกต่าง ทุกอย่างมีเสียงหมด แต่เราไม่ได้ยินแค่นั้นเอง มันมีโมเลกุลเชื่อมโยงกัน มีวิธีการหลายๆ ทางที่ทำได้ในการบำบัด แต่ไม่ใช่ทุกคนจะสื่อสารกับทุกอย่างได้ เราต้องมีทางของตัวเอง
ทุกสิ่งทุกอย่างก็คือ พลังงาน ?
ตัวเรา ก็เป็นพลังงานรูปแบบหนึ่ง อธิบายยากนะเรื่องนี้ เพราะพลังจากธรรมชาติ เป็นอีกสิ่งที่คนๆ หนึ่งสร้างขึ้น ไม่ว่าพลังจักรวาล เสียงบำบัดก็คือ พลังงาน ทุกอย่างคือพลังงาน เพียงแค่เราจะใช้วิธีไหน
ใช้คลื่นเสียงคริสตัล โบวล์ บำบัดอย่างไร
แล้วแต่คนที่เข้ามา บางคนก็แค่อยากผ่อนคลาย บางคนนอนไม่หลับ บางคนซึมเศร้า ส่วนใหญ่มาจากหลายเหตุปัจจัย บางคนก็ฮอร์โมนไม่สมดุล ชีวิตมีปมสะสมไว้นาน บางทีก็มีความกดดันเกิดขึ้น แล้วก็เกิดเรื่อยๆ อย่างเช่นตัวแจน ก็เคยเจอว่า ทำไมเราชอบดึงดูดผู้ชายที่ชอบมีผู้หญิงอื่นเข้ามาในชีวิต เราก็ต้องเรียนรู้
เพราะทุกคนมีตัวตนในแบบหนึ่ง เราถูกสอนจากพ่อแม่ก็เรื่องหนึ่ง ไม่ใช่ความผิดของพ่อแม่ พวกเขาก็ทำในสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูก บางทีสิ่งที่ดีที่สุดในมุมพ่อแม่ อาจไม่ใช่สิ่งที่ถูกที่สุด
แล้วคุณแจนปลดล็อคชีวิตให้มีความสุขได้อย่างไร
ปลดล็อคโดยการทำความเข้าใจ ทำไมเราถึงคิดแบบนี้ อย่างเรื่องเงิน บางคนถูกสอนมาว่า ต้องทำงานหนักถึงจะได้เงินก็จะรู้สึกว่า ทำงานไม่มากพอ จึงไม่ได้เงิน ถ้าลองดูคนที่รวยๆ เพราะเขามีไอเดีย บริหารมอบหมายงานให้คนอื่นทำแทนเป็น จ้างคนที่ถูกต้องมาทำงาน
การเป็นนักคลื่นเสียงบำบัด จึงไม่ใช่ความบังเอิญ ?
พอเราพร้อมจะทำงาน จักรวาลจัดสรรให้เราเอง ไม่ต้องคิดว่าจะมายังไง เราจะรู้เองว่า ต้องทำอย่างนี้ แจนเริ่มจากซื้อคริสตัส โบวล์มาสามใบ ก่อนจะไปเรียนหาความรู้ ตอนนั้นเราไปเรียนเรื่องนี้ที่อังกฤษ
แต่คริสตัส โบวล์ ซื้อมาจากอเมริกา และส่วนใหญ่คนที่ขายคริสตัส โบวล์ก็จะสอนวิธีการด้วย บริษัทที่ทำก็จดทะเบียนไว้ว่า ต้องใช้หินแบบไหน อีกอย่างถ้าเราเข้าใจเรื่องแนวนี้ จริงๆ แล้วไม่จำเป็นต้องเรียนก็ได้
หลักการคลื่นเสียงบำบัดเป็นอย่างไร
ไม่เหมือนดนตรีบำบัด เมื่อเราใช้คริสตัล โบวล์เป็นหลัก เราก็ใช้เสียงร้องของเราจากด้านในที่เรารู้สึกเวลานั้น แล้วใช้เครื่องดนตรีเล็กๆ ฆ้อง ขลุ่ย และกลอง ซึ่งเราเรียกของเราว่า คลืื่นเสียงบำบัด เรานำมาผสมผสาน เวลาเราบำบัดลูกค้าที่เข้ามา ความรู้สึกจะเหมือนพาไปเที่ยว
คนทำเรื่องแนวนี้ จำเป็นต้องเป็นนักดนตรีไหม
ไม่จำเป็น แต่ก็เหมือนเป็นนักดนตรีโดยปริยาย เราก็เล่นคนเดียว ไม่จำเป็นต้องเรียนดนตรี สิ่งสำคัญคือต้องมาจากข้างในตัวเรา
ตอนนั้นคิดว่าจะทำเป็นธุรกิจไหม
ไม่ได้คิดว่าเป็นธุรกิจ ทำไปทำมา ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก ไม่ได้รู้สึกว่า วันไหนไม่อยากทำ ไม่ได้รู้สึกว่า พรุ่งนี้วันจันทร์ต้องทำงาน ทุกๆ วันจึงเหมือนกัน
แล้วคนส่วนใหญ่รู้จักนักคลื่นเสียงบำบัดอย่างคุณได้ยังไง
ปากต่อปาก และอินสตาแกรม ไม่ได้มาจากสื่อเลย บางคนไม่มีปัญหา ก็มาบำบัด อย่างการทำคลื่นเสียงบำบัดก็คล้ายๆ การนวด เสียงช่วยบำบัดในสิ่งที่จับต้องไม่ได้
แต่ละคนที่เข้ามา มีวิธีการบำบัดต่างกัน ?
ใช่ เพราะแจนเคยเรียนรู้เรื่องพลังงานธรรมชาติ เรารู้ว่า คนที่เข้ามามีอารมณ์แบบไหน ทุกคนไม่ได้เชื่อเหมือนกัน ถ้าไม่เชื่อในบางเรื่อง เราก็ไม่พูด อาจทำให้ไม่เข้าใจคริสตัล
หินของคริสตัล โบวล์แต่ละเสียง ช่วยบำบัดแต่ละจุดของร่างกาย ถ้ารู้เรื่อง 7 จักระของร่างกาย มันเชื่อมแต่ละโน้ตเสียงของคริสตัล โบวล์ เพื่อช่วยเคลียร์อวัยวะส่วนนั้นๆ อย่างหัวใจ หรืออวัยวะส่วนอื่นๆ ถ้าเราเห็นว่า คนๆ นั้นต้องเคลียร์ส่วนไหน ก็เล่นตามโน้ตให้ถูกต้อง
ต้องคุยกับคนที่มาบำบัดไหม
ไม่จำเป็นต้องคุย ใช้วิธีการอ่านพลังงานในตัว ถ้าเป็นการบำบัดแบบตัวต่อตัว บางทีตอนจบการบำบัด ก็คุยแลกเปลี่ยนกัน เพื่อจะช่วยเหลือกัน อย่างที่อธิบายไว้ คลื่นเสียงบำบัดก็เหมือนการนวด ไม่จำเป็นต้องมีปัญหาถึงจะมาบำบัด อย่างเราเองก็บำบัดตัวเอง และบำบัดเรื่อยๆ ให้เวลาผ่อนคลายตัวเอง บางคนป่วย ก็มาบำบัดเรื่อยๆ แล้วแต่เลือก หากมาแล้วมีความสุข ก็มาบ่อยๆ
ทุกคนมีเสียงในตัวเอง ?
แจนมักจะบอกว่า เราทุกคนมีเสียงในตัวเอง เวลาร้องเพลงเปล่งเสียงออกมา จะรู้สึกถึงการสั่นสะเทือนในร่างกาย แต่เราต้องแน่ใจว่า เสียงที่เราเปล่งออกมา เป็นการสั่นสะเทือนที่ดี มันเป็นเรื่องอารมณ์
ก็เหมือนเวลาฟังเพลง เวลาอกหัก ฟังเพลงเศร้าๆ ก็แย่ไปอีกแล้วคนที่แต่งเพลงเศร้าๆ เขาก็ดึงพลังงานแบบนั้นออกมาจากตัวเขาเอง
การสวดมนต์ จึงเป็นสิ่งที่ดี เวลาสวดก็มีบทแผ่เมตตา ทุกคนสวดเพื่อจะแผ่เมตตาให้คนอื่น พอเป็นคำเดิมๆ ที่ใช้เรื่อยๆ ก็มีพลังงานของการแผ่เมตตา
การทำคลื่นเสียงบำบัด คุณมีบทสรุปกับตัวเองอย่างไร
พอเราช่วยคนอื่นให้เข้าใจตัวเองได้มากขึ้น ก็เหมือนเราได้เข้าใจตัวเองด้วย แจนรู้สึกว่าลูกค้าทุกคนเป็นครู เราเองก็โชคดีที่เกิดในครอบครัวที่คุณพ่อคุณแม่สนับสนุนทุกอย่าง ไม่เคยลำบากเหมือนคนอื่น ไม่เคยผ่านอะไรแย่ๆ จนรับไม่ได้
แม้เราจะโชคดีในเรื่องครอบครัว แต่ไม่ใช่ว่าเราไม่มีความทุกข์เลย เมื่อก่อนก็คิดว่า ไม่ควรมาทำเรื่องคลื่นเสียงบำบัด เพราะไม่มีประสบการณ์ พอเราได้เรียนรู้จากคนอื่น เราก็เข้าใจคนอื่น แจนเชื่อว่า เราคงเกิดมาหลายครั้งแล้ว แต่จำไม่ได้
เวลามีความทุกข์ ไม่เข้าใจความรู้สึกที่เกิดในตัวเอง ต้องแก้อย่างไร
ยกตัวอย่าง บางคนตื่นมาอารมณ์ไม่ดีในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ส่วนมากจะมาจากเรื่องอื่น อย่างคนที่ขับรถ อารมณ์เสียง่ายๆ กับคนรอบตัว จริงๆ แล้วมาจากเรื่องอื่นที่สะสมอยู่ในตัวมานาน ทำให้เรื่องเล็กๆ เป็นปัญหา ซึ่งไม่ใช่ปัญหาที่แท้จริง
การแก้ปมในใจ ต้องใช้เวลาบำบัดนานไหม ?
คนส่วนใหญ่เข้ามา ก็ต้องการการบำบัดที่เร็วๆ มักจะถามว่า ต้องบำบัดกี่ครั้ง แจนไม่สามารถตอบได้ หรือบางคนก็คิดว่าตัวเองพร้อมจะบำบัด แต่เมื่อมาแล้ว ไม่สามารถปลดปล่อยอะไรได้เลย
เราทำเรื่องเหล่านี้มามากพอที่จะรู้ว่า เขาเป็นอย่างนี้เพราะอะไร ถ้าเขาปฎิเสธในสิ่งที่เราบอก แล้วบอกว่าเขาไม่ได้เป็นแบบนั้น แจนก็ไม่รู้จะไปต่ออย่างไร ก็เข้าใจว่าบางคนไม่พร้อม เราจึงมีทั้งการบำบัดแบบตัวต่อตัว เป็นกลุ่มที่ใครสนใจก็มาร่วมในคอร์ส โดยมีค่าใช้จ่าย เพราะเงินก็เป็นพลังงานให้ชีวิตเราไปต่อ