“ศิลปะยึกยือ”ลากเส้นวกไปวนมา เพื่อพัฒนาจิต :“พลเดช วรฉัตร”คนต้นคิด
เคยเห็นเพื่อนๆ อวดภาพลายเส้น"ศิลปะยึกยือ"บนเฟซบุ๊ค ไม่เคยรู้เลยว่า คนต้นคิดคือใคร ล่าสุดได้ค้นพบและตามไปคุยที่บ้าน เขาเตรียมจะเปิดสอนเป็นเรื่องเป็นราว
วาดเส้นยึกๆ ยือๆ ใช้ปากกาลูกลื่นสีดำอันเดียว ใจจดจ่อไม่ยกปากกา ไม่ต้องรู้เรื่องศิลปะ เพราะภาพที่ออกมาเป็นแค่ผลพลอยได้จากการพัฒนาจิต
นั่นแหละคือแนวคิดของ ดร.พลเดช วรฉัตร อดีตอัครราชทูตไทย คนต้นคิดศิลปะยึกยือ ทั้งๆ ที่ไม่เคยเรียนศิลปะ แต่สนใจธรรมะ ทั้งอ่านและปฏิบัติธรรม เคยเป็นวิทยากรสอนสมาธิในคอร์สคุณแม่สิริ กรินชัย หลายครั้ง แต่ตอนนี้ให้เวลากับศิลปะยึกยือมากกว่าเรื่องอื่นใด
ย้อนไปถึงช่วงเป็นเอกอัครราชทูตไทย ที่ประเทศศรีลังกา ตอนนั้นต้องดูแลคนไทยที่สาธารณรัฐมัลดีฟส์ด้วย จึงไปมาหลายครั้งหลายคราว และความงามของทะเลมัลดีฟส์นี่แหละ เป็นแรงบันดาลใจให้เขาจับปากกาวาดเส้นยึกยือ เพื่อถ่ายทอดความงาม
คนต้นคิดศิลปะยึกยือ
พลเดช เล่าถึงการลากเส้นยึกยือภาพแรกว่า ตอนที่กลับมาอยู่โคลัมโบ ศรีลังกา ความงามของทะเลมัลดีฟส์ยังอยู่ในใจ จึงใช้ปากกาลูกลื่นด้านเดียวพยายามถ่ายทอดออกมา
“ผมจำได้ว่า 8 ปีที่แล้ว สมเด็จพระเทพฯ เสด็จเยือนศรีลังกา และมัลดีฟส์ ช่วงนั้นผมไปมัลดีฟส์บ่อยมาก หลังจากพระองค์เสด็จกลับ ตอนผมอยู่ที่โคลัมโบ ยังนึกถึงความงามของทะเลมัลดีฟส์ หาดทรายขาวจากปะการังกลางมหาสมุทรอินเดีย น้ำใสมาก เป็นที่เดียวในโลกที่เป็นแบบนี้ ผมจึงลองใช้ปากกาด้านเดียววาดเส้นลายน้ำ และก้อนหิน"
"ผมใช้ปากกาลูกลื่นขนาด 0.5 มม.วาดวนไปวนมายึกยือ ตอนนั้นผมคิดว่า ลายเส้นแบบนี้น่าจะทำงานศิลปะได้ และยังไม่มีใครทำแบบผม
ผมจึงเป็นคนแรกที่ใช้คำว่าศิลปะยึกยือ และผมปฎิบัติธรรมมาเยอะ ก็เลยรู้ว่า การลากเส้นแบบนี้ทำให้เกิดสมาธิจดจ่อกับสิ่งที่ทำ"
8 ปีที่ผ่านมา พลเดช จัดสรรเวลาเพื่อที่จะวาดเส้นยึกยือ ถ่ายทอดจินตนาการที่สะสมมาทั้งชีวิต และเวลาใครได้เห็นผลงานของเขา ก็มักจะชวนมาเป็นวิทยากรถ่ายทอดการลากเส้นยึกยือ เพราะสามารถเรียนรู้ได้ทุกเพศทุกวัย ไม่เว้นแม้กระทั่งเด็กพิเศษ เด็กพิการ และเคยจัดนิทรรศการศิลปะยึกยือที่กระทรวงการต่างประเทศ
"ผมเคยวาดภาพถวายอาลัยแด่ในหลวง รัชกาลที่ 9 ชื่อภาพ"ตราบชั่วนิจนิรันดร์" เคยแสดงนิทรรศการแล้วมีคนถามว่า ขายไหม ผมตอบอย่างมั่นใจว่า ไม่ขาย เพราะเป็นภาพที่รักที่สุดผมคิดว่าเรื่องศิลปะคงมีอยู่ในตัวผมนานแล้ว ผมชอบวาดรูป เวลาผมไปสอนเด็ก ถ้าไม่มีการฉายสไลด์ ผมจะมีกล่องภาพเอาไว้ใช้อธิบายทีละภาพ ผมได้แรงบันดาลใจจากพิพิธภัณฑ์การ์ตูนนานาชาติที่เกียวโต ประเทศญี่ปุ่น
ผมไม่ได้สอนแค่เด็กธรรมดา เด็กพิเศษก็สอน ต้องคิดรูปแบบใหม่ สอนไปสี่ครั้ง จากเด็กพิเศษไม่มองหน้าใคร พฤติกรรมเปลี่ยน เอารูปมาโชว์ให้ผมดู และเคยไปเวิร์คชอปให้ลูกเสือต่างชาติที่ไต้หวัน
ปรากฏว่าเรียนไปแล้ว พวกเขานำไปสอนลูกศิษย์ทุกปี และมีคนรู้จักเอาศิลปะยึกยือไปสอนที่ญี่ปุ่นด้วย ท่านทูตดอน ปรมัตถ์วินัย เคยบอกว่า ผมเอาสิ่งที่คนมองข้ามมาใช้ประโยชน์ ท่านก็เรียนกับผม"
ลายเส้นยึกยือ
พลเดช จึงกลายเป็นวิทยากรสอนศิลปะยึกยือให้คนที่สนใจทั้งไทยและต่างชาติ หลายครั้งมีชาวต่างชาติไม่กี่คนอยากเรียน ติดต่อมา ก็สอนทางออนไลน์ โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย
“ตั้งแต่เกษียณมา 8 ปีวาดเส้นยึกยือทุกวัน ไม่มีวันไหนไม่วาด ลายเส้นละเอียดขึ้นทุกวัน" ลายเส้นที่เขาวาด จึงมีทั้งลายเส้นอิสระ เป็นเส้นตรง เส้นโค้ง เส้นวง เส้นยึกยือ และเส้นหักไปหักมา
นอกจากนี้ยังมีลายเส้นประณีต คล้ายตัวเขียน E ในภาษาอังกฤษ โดยหนึ่งยึกยือ ต้องมีขนาดเท่ากันและชิดกัน
เมื่อทำจนมั่นใจว่า ศิลปะยึกยือให้ทั้งความสุขและพัฒนาจิตได้ด้วย เขาไปค้นในอินเทอร์เน็ตดูว่า เคยมีคนทำศิลปะยึกยือแบบนี้ไหม พบว่าไม่เคยมีคนวาดลายเส้นแบบนี้โดยไม่ยกปากกา ลิขสิทธิ์จึงเป็นของเขา
โดยวิธีการลากเส้นยึกยือขั้นพื้นฐานใช้เวลาเรียนรู้แค่ไม่กี่ชั่วโมง ก็วาดได้แล้ว พลเดช ลองให้วาดลายเส้นประณีตโดยไม่ยกปากกาให้ยาวที่สุด และบอกว่า ถ้าจิตนิ่ง ไม่วอกแวก เส้นจะปราณีตขนาดตัวเท่ากัน
องค์ประกอบศิลปะยึกยือของพลเดชมี 4 อย่างด้วยกัน นั่นก็คือ ลายเส้นประณีต ลายเส้นอิสระ ก้อนหินยึกยือ และไม่ยกปากกา
“ถ้าวาดไม่ยกปากกา ความยาวของการลากเส้นอย่างต่อเนื่องเป็นตัวกำหนดความยาวของสมาธิ ซึ่งทำให้อยู่กับปัจจุบันขณะได้มากกว่าการปฎิบัติธรรม ถ้าข้างในเรานิ่ง ลายเส้นก็จะนิ่ง ถ้าข้างในไม่นิ่ง ลายเส้นก็ไม่ประณีต ความละเอียดลายเส้น บางทีก็เหมือนการปักผ้า นี่คือเสน่ห์ที่อยู่ในธรรมชาติ ที่เราเลียนแบบ"
การลากเส้นยึกยือ จึงไม่ใช่แค่การวาดภาพ แต่เป็นการพัฒนาจิต พลเดช บอกว่า ความสวยงามเป็นผลพลอยได้ ความละเอียดเป็นสิ่งที่ทำให้ภาพมีเสน่ห์ ลายเส้นเราเป็นยังไง จิตก็เป็นอย่างนั้น ทุกอย่างเชื่อมโยงกัน
“เคยมีคนเรียนศิลปะมาเรียน บอกว่า ไม่เคยมีใครสอนแบบนี้ ในต่างประเทศก็ยอมรับว่าเป็นลิขสิทธิ์ของเรา อีกไม่นานผมจะเปิดสอนคอร์สครึ่งวันสอนประมาณ 10 คน เก็บเงินไม่มาก ซึ่งเรื่องแบบนี้นำไปสอนเด็กในสลัมได้เลย มีแค่ปากกาอันเดียวกับกระดาษ เพราะปัญหาสังคมทุกวันนี้ ไม่สามารถควบคุมจิตใจตัวเอง นี่คือการควบคุมจิต"
จินตนาการก้อนหินยึกยือ
การวาดลายเส้นก้อนหินยึกยือ โดยเขียนวงกลมติดๆ กันหลายวง พลเดช บอกว่า จะจินตนาเป็นอะไรก็ได้
"การวาดก้อนหินเล็กๆ ต่อกันเป็นได้ทั้งก้อนเมฆ ทะเล คน เพราะเป็นก้อนหินแห่งจินตนาการ การวาดรูปกลมๆ แบบก้อนหินให้เป็นภาพไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องมีการวางแผน มาจากจินตนาการล้วน"
ทุกสิ่งทุกอย่างต้องมีการวางแผน ก้อนหินทุกก้อนต้องเริ่มจากก้อนที่หนึ่งไม่ต่างจากชีวิตคนเรา ถ้าเราจะทำอะไรให้สำเร็จ ไม่มีอะไรที่ไม่สำคัญเลย
พลเดช เล่าต่อว่า เวลาสอนศิลปะยึกยือจะสอดแทรกธรรมะด้วย ทันทีที่เอามือจับปากกาสีดำ ตาเห็น ลากเส้นบนกระดาษ สมาธิเกิดแล้ว เป็นกระบวนการเห็นด้วยตัวเอง
"ผมเคยถามเด็กๆ ว่าพลเมืองในโลกมีจำนวนเท่าไร เด็กๆ ก็ตอบหลายตัวเลข และรู้ไหมประชากรโลก 7 พันล้านคน ทุกๆ 1 วินาทีมีคนเสียชีวิต 2 คน ไม่จะมาจากความขัดแย้งหรือการกระทำใดก็ตาม ล้วนเป็นเรื่องที่เชื่อมโยงกัน
เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่ฆ่าใคร ไม่ผิดศีล ไม่ทะเลาะกับใคร อยู่กับปัจจุบันวาดลายเส้นนี้ เราช่วยให้เกิดสันติภาพแล้ว
สรรพสิ่งทั้งหลายเชื่อมโยงกันและเป็นความว่าง เราอยู่ในโลกของความมี ไม่มีทางเข้าใจความไม่มี เซน จึงมีทั้งคำพูดและสัญลักษณ์ เพื่อนำไปสู่ความว่าง"
.....................
ดูรายละเอียดศิลปะยึกยือได้ที่เฟซบุ๊ค Poldej Worachat