“พรหมลิขิต”ได้ชมแน่สิ้นปีนี้ ผู้กำกับ เผย สนุกไม่แพ้บุพเพสันนิวาส
"พรหมลิขิต" ภาคสองของละครบุพเพสันนิวาสที่หลายคนรอคอย กำลังอยู่ระหว่างการถ่ายทำ เรื่องนี้ทุกตัวละครอยู่ครบ สนุกแค่ไหน ปลายปีนี้รู้กัน...
บุพเพสันนิวาส เป็นละครย้อนยุค ฉายครั้งแรกทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ผลิตโดย บริษัท บรอดคาซท์ ไทย เทเลวิชั่น จำกัด เขียนบทโทรทัศน์โดย ศัลยา
ดัดแปลงจากนวนิยาย รอมแพง กำกับการแสดงโดย ภวัต พนังคศิริ แสดงโดย ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ, ราณี แคมเปน, หลุยส์ สก็อต, สุษิรา แอนจิลีน่า แน่นหนา, ปรมะ อิ่มอโนทัย, กัญญ์ณรัณ วงศ์ขจรไกล
เป็นละครที่สร้างปรากฎการณ์ให้กับประเทศไทยในปี พ.ศ. 2561 ผู้คนต่างหันมาสนใจความเป็นไทย แต่งชุดไทย ไปถ่ายรูปตามสถานที่โบราณสถาน มีคำเรียกผู้หญิงว่า “ออเจ้า” อย่างในละคร และละครก็ทำเรตติ้งได้สูงถึง 20 กว่า
ผู้คนต่างเรียกร้องให้มีภาคสอง แม้ “พรหมลิขิต” จะเปลี่ยนตัวผู้กำกับเป็น นาย-สรัสวดี วงศ์สมเพ็ชร เคยมีผลงานทั้งภาพยนตร์และละคร อาทิ ภาพยนตร์เรื่อง Yes or No 1 และ 2 และละครช่อง 3 เรื่อง แรงตะวัน, เสื้อสีฝุ่น, รักพลิกล็อก, ตราบาปสีชมพู, ซ่อนเงารัก, พราวมุก ฯลฯ
นาย-สรัสวดี วงศ์สมเพ็ชร ผู้กำกับละคร พรหมลิขิต
- จากละครภาคแรก มาถึงละครภาคสอง มีตัวละครตัวไหนหายไปบ้าง
ตัวละครหลักที่ต่อจากบุพเพฯที่ยังมีชีวิตอยู่ อยู่ครบหมดเลยค่ะ เป็นภาคต่อที่สมบูรณ์ เพราะคุณ รอมแพง (จันทร์ยวีร์ สมปรีดา)ได้เขียนและเก็บเอาไว้หมดแล้ว
พอบทมาอยู่ในมือของ อาจารย์แดง (ศัลยา สุขะนิวัตติ์) รอยต่อระหว่างบุพเพฯมาพรหมลิขิตแบบเนียนกริ๊บ เหมือนเป็นเรื่องเดียวกันเลยค่ะ
แล้วก็มีตัวละครใหม่ที่มีสีสันเข้ามา เนื่องจากในบุพเพฯ เป็นยุคของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พระเพทราชา พระเจ้าเสือ แต่ในพรหมลิขิต เป็นยุคพระเจ้าท้ายสระ และกรมพระราชวังบวร
- สภาพสังคมมีการเปลี่ยนไปไหม
เปลี่ยน เพราะว่าสมัย สมเด็จพระนารายณ์ มีการต้อนรับชาวต่างชาติเยอะมาก และมีการจดบันทึกเยอะ แต่พอสมเด็จพระนารายณ์สิ้น เป็นยุคของพระเพทราชา กับพระเจ้าเสือ มีการขับไล่ทหารต่างชาติออกไปจำนวนมาก ทำให้ไม่มีการจดบันทึกอะไรไว้
เหตุที่ต้องไล่ออกไป เพราะยุคของสมเด็จพระนารายณ์ มีเรื่อง ศาสนา มีมิชชันนารีเข้ามา เหมือนจะกลืนกินศาสนา แล้วช่วงนั้นประเทศของเรายังไม่มีความมั่นคง พระเพทราชา รู้สึกว่าไม่เป็นไท เราต้องปกครองได้ด้วยตัวเราเอง ไม่จำเป็นต้องพึ่งใคร ก็เลยมีการขับไล่กลุ่มนี้ออกไป
พอมาถึงยุค พระเจ้าท้ายสระ พระองค์เริ่มเจริญสัมพันธไมตรีต่อ เนื่องจากยุคของพ่อท่าน อาท่าน ทั้งคู่ไม่รับ พอมายุคของลูก ก็เริ่มจะเจริญสัมพันธไมตรีกับจีนและญี่ปุ่น มีเรือออกไปค้าขาย
- ถ้าพูดถึงบุพเพฯ นึกถึงการะเกด ถ้าพูดถึงพรหมลิขิตต้องนึกถึงใคร
นึกถึง "พุดตาน" เลยค่ะ พุดตานเป็นตัวละครหลักที่ย้อนอดีตจากกรุงเทพฯกลับมายุคอยุธยา พูดตรง ๆ พุดตานก็คือการะเกดกลับชาติมาเกิดนั่นเอง
- มีความเหมือนหรือความต่างอย่างไร
ในเมื่อกลับชาติมาเกิด ไม่มีอะไรที่เหมือนกับชาติที่แล้วแน่ ๆ เพราะว่าในชาติใหม่ก็จะมีการปลูกฝัง เลี้ยงดูและะเติบโตมา แต่จิตสำนึกและพื้นฐานข้างในเหมือนเดิม
ก็คือการะเกด ที่เหมือนได้ไปอยู่ในนรกมาแล้ว ถูกขัดเกลาจิตให้ดีขึ้น มีเรื่องของจริยธรรม เรื่องของศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งน้องเบลล่า เล่นเป็นพุดตานออกมาได้ดีมาก
- ในภาคสองนี้เบลล่าต้องเล่นหลายตัวด้วย
ใช่ค่ะ เพราะว่าการย้อนกลับมาในอดีตภาคนี้ เหมือนกลับมาแก้ปมทั้งหมดของทั้งคู่ ทั้ง เกศสุรางค์ ที่เป็นการะเกดกับพุดตาน จริง ๆ เขาเป็นพี่น้องฝาแฝดกัน
- ส่วนพระเอกก็ต้องเล่นเป็นหลายตัวละคร ทั้งพ่อริด-พ่อเรือง โป๊บมีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง
พ่อริดคือพระเอกของเรื่อง พ่อเรืองคือแฝดพี่ เป็นเรื่องที่สนุกมาก เพราะสองคนนี้หน้าตาเหมือนพ่อมาก พี่โป๊บเขาจะถ่อมตัว เวลาเดินเข้าฉาก เวลาเขาเล่น เวลาเขาพูด แยกสามคาแรคเตอร์ได้ค่อนข้างขาดเลย
พ่อคือพ่อ พ่อริดคือพ่อริด พ่อเรืองคือพ่อเรือง แล้วอินเนอร์ทั้งหมดมาเต็ม เรารู้สึก โอ้ ต่างจริง ๆ ปกติเวลานักแสดงเล่น มันจะมีแววตา แล้วพี่โป๊บสื่อออกมาที่แววตาได้ดีมากค่ะ
- การแยกแยะทั้งสามตัวละคร มีความยากลำบากแค่ไหน
เราดูจากคาแรคเตอร์เป็นหลักค่ะ อย่างเช่น พ่อเรือง เป็นผู้ชายเงียบขรึมไม่ค่อยพูด พูดน้อย ยิ้มน้อย เราก็จะรู้สึกว่า คาแรคเตอร์แบบนี้จะแต่งกายยังไง
ส่วนคนที่เป็นพ่อ จะมีหนวด เพราะมีลูกสาวสวย ลูกสาวสองคน แล้วก็เป็นเจ้าพระยาแล้วด้วย
- ในส่วนของสถานที่ถ่ายทำ มีการสร้างฉากใหม่ไหม
นายได้คุยกับพี่หน่อง(อรุโณชา ภาณุพันธุ์-ผู้จัดละคร)ตอนที่รับโปรเจ็กท์นี้ว่า สิ่งใดที่ยังดีงามและสวยงามของบุพเพฯ นายยังคงรักษาไว้ทั้งหมด
ไม่ว่าวัฒนธรรม บ้านเรือน ผู้คน แล้วนายจะต่อยอดและเพิ่มเติม เมื่อเข้าสู่ยุคของพรหมลิขิต ลักษณะของเรื่องนี้มันจะเดินไปคู่กันเลยค่ะ
ถ้าดูจริง ๆ เราจะรู้เลยว่า บุพเพฯกับพรหมลิขิตไม่ได้ต่างกัน ทุกอย่างคล้ายกัน เพียงแค่ต่างกันตามยุคสมัยของพระเจ้าอยู่หัว
- แล้วต้องสร้างอะไรเพิ่มไหม
เยอะเลยค่ะ ตั้งแต่บ้านของพุดตาน การผสมผสานยุคอยุธยากับยุคกรุงเทพฯ อันนี้เราสร้างดีไซน์ใหม่เลยค่ะ
รวมถึงเราจะได้เห็นพระที่นั่ง บรรยงก์รัตนาสน์ พระที่นั่งของพระเจ้าท้ายสระที่พระองค์ทรงโปรดมาก
เราจะสร้างขึ้น เป็นพระที่นั่งที่งดงาม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ มีเขามอ มีน้ำล้อมรอบ นี่คือไฮไลต์ สถานที่จริงอยู่ในพระราชวัง
เราได้ไปสถานที่จริงอยู่หลายรอบ พี่หน่องพานายไปกราบ เรามีนักประวัติศาสตร์ พี่ วิโรจน์ (วิโรจน์ ศรีสิทธิ์เสรีอมร) อาจารย์กบ (ประเสริฐ โพธิ์ศรีรัตน์) ที่ศึกษาเรื่องนี้มาอย่างดี เป็นที่ปรึกษา เราพยายามทำให้ใกล้เคียงของเดิมที่ประวัติศาสตร์ได้ระบุเอาไว้
- ในภาคแรกมีมะม่วงน้ำปลาหวานเป็น soft Power ในภาคสองมีอะไรนำเสนอบ้าง
มีเรื่องอาหารไทยค่ะ มีอยู่อันหนึ่ง ชูไว้เลยค่ะ แต่ขออนุญาตไม่บอกตอนนี้ว่าคืออะไร คนทำเป็นคนร่วมสมัย เป็นคนกรุงเทพฯที่ย้อนไปในสมัยอยุธยา
ลักษณะอาหารการกินที่จะถวายเข้าวัง จะมีกิมมิค มีความเท่ เพราะเป็นการผสมผสานระหว่างอดีตกับปัจจุบัน
จริง ๆ แล้ว อาหารไทย ก็เป็นยาได้ ถ้าเรากินอาหารไทยครบ 5 หมู่เราจะแข็งแรง ไม่ป่วยเพราะมี สมุนไพร หลายชนิด
- ต้องหาทีมมาเพิ่มหรือทำอะไรเป็นพิเศษไหม
นายค่อนข้างโชคดี ทีมงานหลักเป็นทีมที่มาจากบุพเพฯทั้งหมดเลย เราอยากรักษาความดีงาม สิ่งที่ทำให้คนดูจดจำในภาคแรกมาเล่าต่อภาคนี้ มันไม่ทำให้ลำบากเลย เพราะทีมงานสามารถสร้างเนรมิตได้
นายเป็นแฟนคลับละคร บุพเพสันนิวาส มาก่อน ดูมาไม่ต่ำกว่าสิบรอบ รู้ว่าข้อดีของเรื่องนี้เยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นมุกในเรื่อง วัฒนธรรม และการเมือง เรื่องของยุคสมัยกษัตริย์แต่ละพระองค์ จะดูกลมกลืนไปหมด
เพราะถ้าเราดูหนังประวัติศาสตร์ บางทีเราอาจจะรู้สึกเบื่อ แต่ในบุพเพฯเล่าได้ไม่น่าเบื่อเลย เวลาที่พระเพทราชากับสมเด็จพระนารายณ์ปะทะกัน เรายังแอบเชียร์ด้วยซ้ำ เสน่ห์ในละครบุพเพฯ นายก็ยังคงเอามาอยู่ในพรหมลิขิต
- ในส่วนของผู้ประพันธ์มีคอมเมนท์อะไรบ้างไหม
ตอนนายรับโปรเจ็กท์ ไปแนะนำตัวกับคุณ รอมแพง กับ อาจารย์แดง คุณรอมแพงก็บอกว่าเรื่องนี้เป็นยังไง และมีอะไรที่แอบซ่อนไว้ ละครเรื่องนี้แบ็คกราวน์เป็นอย่างไร ทำให้นายรู้สึกถึงตัวละครที่ผู้ประพันธ์ตั้งใจใส่ไว้ให้ นายจะได้เอาสิ่งเหล่านั้นเข้ามาอยู่ในคาแรคเตอร์ตัวละคร
คุณรอมแพงเป็นผู้ประพันธ์ที่น่ารักมาก มีผลงานนวนิยายขึ้นหิ้ง แกเล่าเรื่องแรงบันดาลใจของเรื่องนี้แล้ว อะไรทำให้มันกลมกล่อมกลืนเป็นเนื้อเดียวกันขนาดนี้
ปกติภาคสองเราจะไม่ค่อยเจอความกลมกลืน แต่ภาคนี้มีความกลมกลืนกันหมด มันเหมือนมีการเตรียมไว้หมดแล้ว
คุณรอมแพงให้อิสระมาก นายถือว่าทำงานได้อย่างสบายใจมาก ทั้งคุณรอมแพงและบทอาจารย์แดง ขอบอกไว้เลยว่าบทอาจารย์แดง สนุกมาก
- ความยากของการถ่ายทำเรื่องนี้
ไม่มีฉากไหนง่ายเลย เท่าที่ทำงานละครมา เรื่องนี้ยากทุกซีน ไม่เคยเจอซีนง่ายเลย แต่สนุกนะคะ
การมีอุปสรรคในการทำงานเป็นเรื่องปกติ นายค่อนข้างโชคดีได้ทีมงานดี ได้นักแสดงดี ทุกคนจะรู้สึกสนุก ยิ่งยาก ยิ่งสนุก
- ถ่ายทำไปถึงไหนแล้ว
เราเริ่มถ่ายทำตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว แต่มีสถานการณ์ โควิด รัฐบาลประกาศให้หยุด เพราะกองถ่ายเรามีคนเยอะมาก 60-70 คน บางที 100 คน ทำให้เราต้องหยุดเป็นพัก ๆ เป็นช่วง ๆ ในปีนี้พอรัฐบาลเริ่มเปิด เราก็ถ่ายทำต่อ ถ่ายไปได้ 40-50 คิวแล้ว คาดว่าจะได้ชมสิ้นปีนี้
ละครเรื่องพรหมลิขิต ทั้งทีมงานและนักแสดงตั้งใจมาก เพื่อจะทำละครออกมาให้สมบูรณ์ถูกใจที่สุด เราพยายามมาก เปิดใจให้เรานิดหนึ่ง แล้วคุณจะได้อรรถรสทุกอย่างจากบุพเพฯถ่ายทอดมาที่พรหมลิขิตค่ะ