ความสุขของชีวิตคือการเต้น “กัมปนาท เรืองกิตติวิลาส”
ชีวิตของศิลปินหนุ่มที่รู้ตัวตั้งแต่วัยเด็กว่า ชื่นชอบศิลปะการแสดง การร่ายรำ แต่กว่าจะใช้เป็นอาชีพเลี้ยงชีวิตตัวเองได้ ไม่ง่ายเลย
หากใครได้ชมละคร “จากเจ้าพระยาสู่อิรวดี” จะต้องรู้จักกับ “หม่องเล” ขันทีหลวง ผู้ดูแลองค์หญิงเมืองนาย ตัวละครที่แสดงได้น่าหมั่นไส้
จนคนดูรู้สึกเกลียดและรู้สึกสะใจในฉากที่ หม่องเลโดนตบ จนกลายเป็นที่พูดถึงในโลกโซเชียลว่า โดนตบอย่างไรให้โลกจำ
ไม่เพียงเท่านั้น ฉากที่เป็นไฮไลต์สร้างความประทับใจอีกฉากหนึ่งก็คือ ฉากร่ายรำเชิดหุ่นสายแบบนาฏศิลป์พม่า ที่ หม่องเล รำออกมาได้สวยงามทุกท่วงท่า แต่ทว่าภายในใจคุกรุ่นด้วยความเคียดแค้นอิจฉาริษยา
แซค-กัมปนาท เรืองกิตติวิลาส ศิลปินนักเต้น ครูสอนเต้นสอนรำ พ่อค้าขายไก่กอและ คือคน ๆ นั้น เป็นชาวกรุงเทพฯ มีคุณแม่เป็นคนไทยมอญ คุณพ่อเป็นคนไทยจีน
ล่าสุด จุดประกาย-กรุงเทพธุรกิจ มีโอกาสพูดคุยกับ แซค ศิลปินที่บอกว่า ชีวิตนี้มีความสุขกับการเต้น
Cr. Zack Horsenentez
- ชีวิตวัยเด็กเป็นอย่างไรบ้าง
ตอนเรียนอนุบาล ผมอยากเป็น จิตรกรวาดรูป พอโตมาหน่อย เรียนชั้นประถมก็อยากเป็น สัตวแพทย์ ชอบสัตว์ ดูสารคดีซิงเกอร์เวิร์ล
ตอนใกล้จบประถม 6 คุณตาคุณยายเล่านิทานรามเกียรติ์ ได้เห็นภาพปฏิทินการแสดงโขนที่โรงละครแห่งชาติ พระไวยเกี้ยวนางวันทอง มี เมขลา รามสูร หนุมาน ก็อยากเรียนเต้น ให้คุณแม่พาไปสอบเข้า โรงเรียนนาฏศิลป์
เรียน นาฏศิลป์ มัธยม 1- 6 ต่อนาฏศิลป์ชั้นสูงปีที่ 1-2 แล้วไปเรียนต่อ สถาบันพัฒนศิลป์ จนจบปริญญาตรี
อยากเป็น ศิลปิน แสดงอย่างเดียว แต่งานมีน้อย เลยไปเป็น ครูฝึกสอน เจอเด็กไม่สนใจเรียน
เราก็ยอมอดข้าวเที่ยงไปรอให้เขามาสอบ 3 วันก็ไม่มา ไปตามตัวจนเจอให้ร้องเพลงรำวงมาตรฐาน 3 เพลง แล้วครูจะให้ผ่าน ก็ไม่ร้อง สุดท้ายครูพี่เลี้ยงบอกว่าต้องปล่อยเขาไป
รู้สึกเจ็บปวดมากในความเป็น ครู แม้ว่าชอบงานสอน แต่เป็นงานที่หนักเหนื่อย นอนน้อย ตื่นเช้า กินข้าวไม่ครบและเครียด เลยขอพักก่อน
Cr. Zack Horsenentez
- จึงต้องเข้าสู่โลกการทำงานอย่างจริงจัง?
เริ่มไปเป็น ครูสอนเต้นลีลาศ ให้กับฟลอร์เอกชน แต่ธุรกิจแย่ นักเรียนน้อย เขาเลยปิดกิจการ เราก็ทำฟรีแลนซ์ มีไพรเวทคลาส
มีงานแสดง นาฏศิลป์ ที่เราชอบบ้าง พอถึงหน้าฝน งานอีเวนต์น้อยลง การเป็นศิลปินอิสระเต็มตัวในประเทศไทยค่อนข้างยาก ที่อยู่ได้ก็อยู่ด้วยใจล้วน ๆ
ตอนนั้นเรียนจบมาได้ 2 ปีแล้ว วันงานรวมญาติ เขาก็ถามว่าเราทำอาชีพอะไร พ่อกับแม่ก็พยายามตอบ “ทำฟรีแลนซ์ สอนนางรำในโฆษณารีเจนซี่”
ผมมีงานเป็นผู้ช่วยผู้กำกับ,ผู้ช่วยสไตลิสต์, ทำคอสตูม, ดูแอคติ้งโค้ช ช่วยแต่งตัว ทำเครื่องแต่งกาย ให้กับนักแสดงในงานโฆษณา รีเจนซี่ แล้วก็มีงานออกแบบท่าเต้นให้กับ มิสไทยแลนด์เวิล์ด
แต่มันก็ยังไม่เพียงพอ ด้วยความกดดันจากญาติทางพ่อ เลยไปติดต่อ กรมแรงงาน สมัครไปทำงานที่ญี่ปุ่น 6 เดือน ตำแหน่ง รับจ้างทั่วไป ปัดกวาดเช็ดถูล้างถ้วย ล้างชาม เสิร์ฟอาหาร ชงเหล้า กดเพลงคาราโอเกะ
ครั้งหนึ่งมีคนเมาอ๊วกใส่อ่างล้างหน้า เราก็ต้องไปล้าง คิดในใจว่า เรียนจบปริญญามาเพื่ออะไร ทำไมมาทำงานแบบนี้ แล้วก็ตอบเองว่านี่คือชีวิตจริง ฉันจะกลับไปตายเมืองไทย เอาเงินก้อนแรกสองแสนบาทที่ได้มาเซอร์ไพรส์แม่
Cr. Zack Horsenentez
- กลับมาเมืองไทยแล้วทำอะไรต่อ
ช่วงนั้นเศรษฐกิจเฟื่องฟู มีงานให้ทำมากมาย เพื่อน ๆ เปิดโรงเรียน เปิดสตูดิโอ ก็เลยไปเป็น ครูสอนเต้น ลาติน รำไทย แอ็คติ้ง สอนอยู่ 4 แห่ง วันละ 8 ชั่วโมง
ทำอยู่หลายปี เริ่มรู้สึกซ้ำ ๆ วน ๆ สอนทุกอย่างเหมือนเดิม นาน ๆ จะมีอีเวนต์โผล่มาที ส่วนงาน รีเจนซี่ ก็ยังทำอยู่
กระทั่ง คณะครุศาสตร์ จุฬาฯ มีโครงการร่วมกับ สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ ที่ผมเรียนจบมา ต้องการ ครูอาสา ผู้ชายรำไทยได้
แต่ปีนั้นนิสิตจบใหม่ไม่มีใครไปเลย จำเป็นต้องหาครูไปอเมริกา กินอยู่สามมื้อพักที่วัด มีเบี้ยเลี้ยงให้ เดือนละ 150 ดอลลาร์ ซึ่งมันน้อยมาก ให้อยู่ปีหนึ่ง เราก็คิดว่าเงินน้อยไม่เป็นไร ไปหาประสบการณ์ ได้ทำอะไรใหม่ ๆ
ไปอยู่ที่โน่นได้เดือนเดียว ไม่สบาย น้ำท่วมปอด เนื่องจากเวลาเดินไปเรียนภาษาอังกฤษจากวัดไทยไปโบสถ์ เดิน 20 นาที ท่ามกลางอากาศหนาว ใส่เสื้อผ้าแค่ 3 ชั้น คิดว่าพอแล้ว ถ้าใส่ 5-6 ชั้น เดินไม่สะดวก อึดอัด
ซึ่งจริง ๆ ไม่ใช่แค่เรื่องอากาศหนาวอย่างเดียว แต่มี เชื้อโรค ในอากาศด้วย นิวยอร์ค ไม่ได้สะอาด ลงซับเวย์ไปก็มีหนูวิ่ง มีน้ำขัง มี โฮมเลส เจอกับ แบคทีเรีย ประกอบกับอากาศหนาว
แล้วเป็นคนผอม ร่างกายไม่อบอุ่น จึงต้องเข้าโรงพยาบาล ภาษายังพูดไม่ได้ เวลาเขาถามอะไรก็ตอบไม่ถูก คนไข้ปอดติดเชื้อมาจากเอเชีย คนที่นั่นก็กลัว ต้องไปทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนัง (Skin Test)
เช็ค วัณโรค ผลออกมาเป็นบวก เพราะคนไทยฉีดวัคซีนป้องกันวัณโรคตั้งแต่เด็ก ซึ่งอเมริกาเขาไม่ฉีด แล้วตามกฎของเขา ถ้าผลเป็นบวกต้องกักตัวรักษา 2 เดือน
Cr. Zack Horsenentez
- จึงต้องอยู่โรงพยาบาลคนเดียวในอเมริกา?
เหมือนติดคุกอยู่ในโรงพยาบาล เป็นห้องกระจกว่าง ๆ ปลอดเชื้อ ที่แยกออกมาจากทางเดินหลัก ตามตัวก็มีสายน้ำเกลือ สายอะไรเต็มไปหมด เราไม่มีญาติพี่น้องคนรู้จักเลย
เขาเริ่มเจาะเอา น้ำในปอด ออก ด้วยเหล็กแหลมขนาดหลอดกาแฟ เสียบเข้าไปกลางหลัง ทะลุมาที่ปอด ขณะที่ยังตื่นอยู่ ไม่ได้วางยาสลบเพราะถ้าคนไข้หมดสติจะอันตราย
ตอนเจาะจากข้างหลัง เสียวแปลบมาก แล้วดูดน้ำออกจากปอดได้หนึ่งเหยือก จากนั้นก็เอาเอกสารมาให้เซ็นยอมรับว่า ถ้าตาย เราจะไม่เอาผิดเขา เราก็ยอมเซ็น ไม่รักษาก็ตายแน่นอน
ต่อด้วยการวาง ยาสลบ ใช้อุปกรณ์ถ่างปาก เอากล้องสอดเข้าไปในคอลงไปถึงปอด ปลายกล้องมีใบมีดเล็ก ๆ ตัดเนื้อเยื่อในปอดไปเพาะเชื้อตรวจหาเชื้อโรค แล้วรอผลอีกหลายวัน ช่วงนั้นผมร้องไห้ทุกวัน
2 เดือนผ่านไป ผลตรวจออกมาว่า ไม่มีเชื้ออะไร เขาก็ให้ออกจากโรงพยาบาล ตอนเขาบอก ผมก็เดินออกจากห้องไปเลย ลากเสาสายน้ำเกลือออกมาด้วย แล้วก็เต้นๆ ด้วยความดีใจ จนพยาบาลทั้งหมดต้องออกมาดู
Cr. Zack Horsenentez
- ออกจากโรงพยาบาลแล้วเป็นอย่างไรบ้าง
เอายากลับมากินที่วัด เราก็ แพ้ยา แต่ไม่รู้ว่าแพ้ยา ยังกินยานั้นไปเรื่อย ๆ จนร่างกายไม่รับ จะตายอยู่แล้ว
โทรศัพท์ไปติดบ้านคนไทย ชื่อ ป้าอารี เป็นพยาบาลอายุ 79 เขาก็ออกมาช่วยทัน พาเข้าโรงพยาบาลอีกครั้ง เพื่อเปลี่ยนยา
กลับมาได้ 3 วัน ขโมยขึ้นห้องอีก เอาทุกอย่างไปหมด ทั้งเงินเก็บ,กล้องถ่ายรูป, แล็ปท็อป, โทรศัพท์,ซีดีสอนรำ ไม่มีอะไรเหลือให้ทำอาชีพได้เลย มีเงินในกระเป๋ากางเกง 450 ดอลลาร์
ก็เลยเอาบทกลอนที่เขียนตอนร้องไห้ในโรงพยาบาลมาทำ หนังสือทำมือ ขายในงานอีเวนท์คนไทย เล่มละ 5 ดอลลาร์ เงินที่ได้หักค่าใช้จ่ายแล้วทำบุญให้วัดหมดเลย
จากนั้นก็ไปเก็บ ขนนก สีฟ้าสีแดงหลังวัด มาร้อยกับลูกปัด ติดตะขอต่างหู ทำตุ้มหูขนนกขาย ใส่เสื้อยืดเก่า ๆ ข้างใน เอาตุ้มหูเกี่ยวกับเสื้อไว้ แล้วใส่แจ็คเก็ตคลุม พอเข้าไปในเมือง เวลารอซับเวย์นาน ๆ ก็เปิดเสื้อออก
คนผิวสีที่แต่งตัวแรง ๆ ในยุคนั้นกำลังฮิตตุ้มหูขนนกกรุยกรายระย้าที่ใส่ข้างเดียวกันอยู่ ข้างในแจ็คเก็ตเขียนว่า Hand Made 10 ดอลลาร์ คนก็เดินมาดูว่าทำอะไร แล้วก็ชี้ เราก็เอากระดาษเปเปอร์ทาวน์ห่อให้ เขาก็โอ๊ย น่ารักจังเลย คิดได้ยังไง
พอครบกำหนดหนึ่งปี กลับมาเมืองไทย มีออแกไนเซอร์ 4 ที่ติดต่อมาให้ไปเต้นในงานเปิดตัวไวน์ เขาต้องการคน เต้นรำสเปน ต่อด้วย ระบำฟลามิงโก ซึ่งในไทยตอนนั้นหาคนเต้น ระบำฟลามิงโก ไม่ได้เลย ตอนอยู่อเมริกาเราได้ไปเรียน ระบำฟลามิงโกมา ก็เลยได้งาน
จากนั้นก็รวมกลุ่มกับเพื่อน ๆ ไปประกวดรายการ ไทยแลนด์แดนซ์นาว ผู้ชายสองคนเต้น ฟลามิงโก ผู้หญิงสองคนเต้น ระบำหน้าท้อง ทำให้เราได้เรียนระบำหน้าท้อง
จนกระทั่งรัฐบาลคืนความสงบเงียบถาวร งานก็ลดลง จากนั้นก็มีโควิดเข้ามา รวม ๆ แล้ว 7 ปี ช่วงที่พีคสุด เราเลยออกมาขาย ไก่กอและ
Cr. Zack Horsenentez
- มาเป็นพ่อค้าไก่กอและได้ยังไง
แม่บอกให้ขาย ไก่กอและ เพราะแม่เป็นคนมีพรสวรรค์เรื่องการทำอาหาร ชิมอาหารที่ไหน รู้เลยว่ามีส่วนผสมอะไร
ผมทำอาหารไม่เป็นเลย ต้องมาเริ่มต้นหัดทำ ค่อนข้างประสบความสำเร็จ เพราะหนึ่ง. พ่อค้าแปลก ขายไปเต้นไป สอง. ไก่เราอร่อยมาก ไม่ผสมแป้ง ต้องชุบน้ำเครื่องเทศหลายรอบ หอมเครื่องเทศ แต่ข้อเสียคือ ลงทุนเยอะ กำไรน้อย
พอช่วงโควิดเฟส 3-4 ไก่ราคาแพงขึ้นเท่าตัว ก็เลยต้องหยุด รู้เลยว่าการทำอาหารมันเหนื่อยมาก งานมันลากยาว พักผ่อนน้อย
ผมเลยไปบวช 2 เดือน แล้วก็ลาสิกขาออกมาก่อนละครเรื่อง จากเจ้าพระยาสู่อิรวดี จบ เพื่อเกาะกระแสละครไปงานอีเวนท์
ตั้งแต่ละครจบ ผมมีเพื่อนที่แอดมาในเฟซบุ๊คครบทุกชาติพันธุ์เลย กระเหรี่ยง คนมอญ คนไทใหญ่ คนพม่า
Cr. Zack Horsenentez
- มาเป็นนักแสดงได้ยังไง
ก่อนหน้าก็มีงานแสดงมาเรื่อย ๆ รับบทเป็น ครูสอนเต้น ในละครบ้าง เป็น นักเต้นบ้าง แล้วก็เคยแสดงภาพยนตร์เรื่อง สารวัตรหมาบ้า ของ คุณชายอดัม (ม.ร.ว.เฉลิมชาตรี ยุคล)
จนมารับบท หม่องเล ซึ่งความท้าทายของบทนี้ ไม่ใช่แค่การแสดงให้เข้าถึงบทบาทยังต้องใส่ใจสำเนียง ภาษาไทใหญ่ เพื่อให้อินไปกับละครด้วย
กว่าจะพูด ภาษาไทใหญ่ ได้เป๊ะขนาดนี้ ต้องซ้อมพูดจากคลิปเสียงเจ้าของภาษาอยู่นาน
ในช่วงนี้ก็เลยไม่มีงาน ทั้งงานสอนเต้นและงานแสดง บางสถานที่ยังเปิดไม่ได้และการจัดงานก็ยังไม่เป็นปกติ เพราะต้องระวังเรื่องโควิด ทำให้ไม่มีงาน
ก่อนหน้านี้ที่สอนอยู่มี ระบำหน้าท้อง (Bellydance) ลาตินแดนซ์ ซัลซ่า ปาชางก้า เมอร์แรงเก้
แล้วก็เป็น นักออกแบบท่าเต้น (Choreographer) วิชาที่จำเป็นมากในการออกแบบโชว์ต่างๆ เป็นเรื่องของทฤษฎี องค์ประกอบศิลป์ ของการทำโชว์ต่างๆ
ผมสอนวิชานี้ให้กับสถาบันระดับปริญญาตรี ที่นักศึกษาจะทำวิทยานิพนธ์(thesis)ที่ต้องทำโชว์เอง จะเชิญมาเป็นวิทยากร
Cr. Zack Horsenentez
- มีความฝันและเป้าหมายในชีวิต ที่ยังไม่ได้ทำอีกไหม
สำหรับตัวเอง ถือว่าโอเค.แล้ว ทำมาหมดแล้ว แต่ที่ต้องทำต่อคือ ความหวังความฝันของพ่อกับแม่ ที่ต้องการเห็นความมั่นคงของผม อยากทำอะไรก็ได้ที่สามารถแบ่งเบาภาระที่บ้าน
จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ทำให้รู้ว่า การใช้ชีวิตในประเทศนี้ ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน ต้องมีเงินทุน เงินเก็บ เพราะว่าวิกฤติอะไรจะเกิดขึ้นก็ไม่ทราบ
ตอนนี้ก็ไม่ค่อยเกี่ยงงาน มีงานอะไรก็ทำได้หมดครับ แต่การที่เราจะมีแรง มีพลัง ทำในสิ่งที่ไม่ใช่ฝันร้อยเปอร์เซนต์ ก็ต้องมี น้ำหวานเติมชีวิต บ้าง
เพราะถ้าเราไม่มีพลังงานหรือไม่มีความสุขในสิ่งที่จะทำ ต่อให้ทำสำเร็จ มันก็ยังไม่ดี งานที่เป็นหยาดทิพย์ชะโลมจิตใจ ก็ยังขอทำต่อ
เวลาอ่านคอมเมนท์ มีคนพอใจชื่นชม นี่ก็เป็นหนึ่งใน น้ำหวาน
นักแสดงทุกคน เสพติดเสียงปรบมือ เสพติดการได้ขึ้นไปยืนบนเวทีแล้วมีคนมองดูอย่างมีความสุขจำนวนมาก ๆ แค่นี้ผมก็มีความสุขแล้ว