คุยกับ "โสภณ หนูนุรัตน์" VFX Artist ชาวไทย ที่ได้ร่วมงานกับ "MARVEL"
เป็นอีกหนึ่งในภาพยนตร์จักรวาล MARVEL ที่แฟนคลับรอคอยสำหรับ "Thor : Love and Thunder" และที่น่าสนใจคือมีคนไทยเป็นหนึ่งในทีม VFX Artist ด้วย เขาคือ "โสภณ หนูนุรัตน์"
หลังเข้าฉายในโรงภาพยนตร์บ้านเราได้ไม่นาน "Thor : Love and Thunder" ก็สามารถโกยรายได้ทั้งจากคอหนัง "MARVEL" และแฟนๆ ทั่วไปได้อย่างมหาศาล สมกับการกลับมาปรากฏตัวอีกครั้งของเทพเจ้าสายฟ้าสุดฮอต ซึ่งทำรายได้เปิดตัวอยู่ที่ 5,100 ล้านบาท ทำลายสถิติของ Thor ในทุกภาค
ขึ้นชื่อว่าเป็นภาพยนตร์ MARVEL ที่จะขาดไม่ได้เลยคือ “สเปเชียลเอฟเฟ็กต์” ที่ใครหลายคนต่างรอชมว่าครั้งนี้จะออกมาปังแค่ไหน เพราะระดับ "MARVEL" แล้ว ย่อมสร้างความประทับให้แฟนคลับด้วยเอฟเฟ็กต์ แสง สี สุดล้ำมาตลอด โดยเฉพาะในจักรวาล "The Avengers"
ซึ่งทีมงาน สเปเชียลเอฟเฟ็กต์ มีสมาชิกรวมกันทั้งหมดแล้วเกือบร้อยชีวิต และหนึ่งในนั้นคือ "โสภณ หนูนุรัตน์" ชาวไทยที่เป็นหนึ่งใน "VFX Artist" ของภาพยนตร์เรื่องนี้
ซึ่งเขาเคยบอกไว้ว่า เมื่อ 5 ปี ก่อน ฝันว่าอยากมีชื่อใน End Credit หนังสักเรื่อง จนสุดท้ายเขาทำสำเสร็จ กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ได้มีโอกาสพูดคุยทางไกลไปถึงประเทศอังกฤษ กับโสภณถึงการทำงานกับอุตหกรรมภาพยนตร์ในต่างแดน จุดเริ่มต้น อุปสรรค กว่าจะมาถึงวันนี้
ก่อนจะไปรู้จักกับการทำงานของคนไทยในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ระดับโลก รวมถึงที่มาที่ไปที่ทำให้คนไทยได้เข้าไปทำงานในฝันนั้น โสภณ ได้ฝากประโยคหนึ่งที่เกี่ยวกับการตามหาความฝันและทำมันให้สำเร็จว่า
“ผมคิดว่าการเรียนรู้และการทำอะไรผิดพลาดมันเป็นอีกบันไดทำให้เราเข้าใกล้สู่ความสำเร็จ เหมือนยอมรับกับตัวเองว่าถ้าวันหนึ่งเราเฟล ให้คิดไว้เลยว่าการมาทำงานต่างประเทศทำงานที่ตัวเองรักมันเป็นสายวิชาชีพ ให้จำไว้เลยความผิดพลาดคือบันไดก้าวหนึ่งที่จะไปสู่ฝันได้ ตอนนั้นผมก็จำข้อนี้ไว้แล้วก็พยายามเร่งให้ตัวเองเฟล อารมณ์เหมือนวิ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วแล้วอยากให้ตัวเองเฟลเร็วๆ ทดลองทำทุกอย่างถ้าเรารู้สึกว่าผิดถอยกลับมา วิ่งใหม่ จนวันหนึ่งเราจะหาทางที่มันใช่แล้วเราก็วิ่งต่อแต่ถ้าเฟลกลับมาก็วิ่งใหม่”
- โสภณ หนูนุรัตน์ กับก้าวแรกที่ได้ร่วมงานกับ MARVEL
โสภณในปัจจุบันทำงานเป็น FX TD (Effects Technical Director) บริษัท Framestore สาขา London ซึ่งตอนแรกทำงานอยู่บริษัทอื่น ก่อนจะย้ายมาที่บริษัทปัจจุบัน และโปรเจคแรกที่ได้รับมอบหมายก็คือ "Thor : Love and Thunder" ซึ่งเขาบอกว่าดีใจเพราะเป็นความฝันที่เคยฝันว่าวันหนึ่งจะมาทำจุดนี้ให้ได้ และรู้สึกตื่นเต้นมากเพราะความฝันอีกแค่ก้าวเดียวถ้าทำให้เสร็จก็น่าจะเสร็จแล้ว
และเมื่อได้เห็น End Credit ที่มีชื่อตัวเอง เขาเล่าว่ารู้สึกเหมือนเดินมาถึงสิ่งที่ตั้งเป้าไว้เมื่อ 5 ปี ที่แล้ว ซึ่งตอนนั้นยังมองไม่เห็นด้วยซ้ำว่าจะเป็นจริงได้หรือไม่ พอวันที่ไปดูแล้วภาพยนตร์ และได้จับธงความฝันนั้นจริงๆ มันให้ความรู้สึกว่ามาถึงตรงนี้แล้วจริงๆ รู้สึกดีใจ และเป็นไปตามที่คิดไว้ว่าถ้าวันหนึ่งเราได้เห็นชื่อตัวเองบนหนังเราจะรู้สึกยังไง เคยลองจินตนาการเอาไว้ว่าความรู้สึกจะเป็นอย่างไร
โดยโสภณเล่าถึงแรงบันดาลใจว่า เริ่มมาจาก พี่บัว “ธิฆัมพร ทีปะปาล” แอนิเมเตอร์ ชาวไทยในวงการฮอลลีวูด ที่มองเป็นบุคคลต้นแบบมาตลอด สิ่งที่โสภณตั้งเป้าไว้ก่อนออกเดินทางคือการมองหาต้นแบบและแรงบันดาลใจ เช่น มีใครทำงานต่างประเทศไหม มันเป็นไปได้ไหม ก็พบว่ามีพี่บัวเป็นแรงบันดาลใจ
- จุดเริ่มต้นการเดินทางจากไทยไปฮอลลีวูด
เมื่อรู้แล้วว่าฝันของตนคืออะไร ก็เริ่มจากการฝึกภาษาอังกฤษให้สามารถสื่อสารในต่างประเทศได้ และต้องเตรียมจัดการเรื่องเงิน ซึ่งตนก็ยอมรับว่าจำเป็นต้องกู้ยืมเงินจากหลายช่องทางเพื่อเป็น ค่าวีซ่า ค่าเดินทาง ค่าเรียน และอื่นๆ เพื่อไม่ให้ติดขัดระหว่างไปใช้ชีวิตที่ต่างแดน เพราะจำเป็นต้องไปเรียนเพิ่มเกี่ยวกับ สเปเชียลเอฟเฟ็กต์ และต้องหาคนรู้จัก ซึ่งตนหวังไว้ว่าถ้าเรียนจบแล้วก็คงหางานทำได้เลย
แต่ระหว่างทางก็ย่อมมีปัญหาเช่น เงินไม่พอระหว่างเรียน ปัญหาเรื่องการโอนเงินผิดพลาด ทำให้ต้องรับงานฟรีแลนซ์ที่ไทยไปด้วยเพื่อให้มีเงินพอใช้ ซึ่งค่าเงินไทยกับค่าเงินแคนาดาก็แตกต่างกัน ทำให้เหนื่อยมากที่ต้องจัดการเงินในช่วงนั้น เพื่อที่จะต้องเรียนเพิ่มเกี่ยวกับสายวิชาชีพของตัวเองด้วยนั่นก็คือ FX TD (Effects Technical Director)
ก่อนอื่นก็ต้องเรียนรู้ด้วยตัวเองก่อนว่าต้องใช้โปรแกรมอะไรบ้าง มีภาษาคอมพ์อะไรที่ต้องรู้ จนรู้สึกว่าตัวเองพร้อมและไปสมัครเรียนกับโรงเรียนที่สอนเรื่องนี้โดยตรง พอได้เข้าเรียนจริงก็รู้ว่าสอนยากมากและมีบ้างที่รู้สึกท้อ แต่ก็มองว่าในเมื่อมาถึงจุดนี้แล้วก็ไม่อยากยอมแพ้ต้องเต็มที่กับมัน เมื่อเรียนไปสักพักก็เริ่มเข้าใจและก็เริ่มเข้าที่ ทำให้คิดว่าตนมีความเป็นไปได้ที่จะไปถึงความฝัน
- เมื่อต้องจากครอบครัวไปไกลข้ามทวีป
ก่อนที่จะเดินทางไปในตอนแรกก็กังวลกับเรื่องเงินด้วย ซึ่งอาจจะต้องให้ทางบ้านช่วยหาเงิน ซึ่งทำให้หดหู่มาก ในวันที่ต้องออกเดินทางเมื่อเดินหันหลังให้กับครอบครัวที่มีคุณพ่อ คุณแม่ คุณย่า ที่มาส่งที่สนามบิน ซึ่งในตอนนั้นคุณย่าถึงกับร้องไห้ออกมาเพราะไม่อยากให้ตนไปลำบาก แม้ความจริงแล้วคุณย่าเป็นหนึ่งในคนที่สนับสนุนตนมากที่สุด แต่ครอบครัวก็ยังคอยช่วยเหลือเพื่อไม่ให้ต้องใช้ชีวิตที่แคนาดาลำบากเกินไป
- เมื่อได้เข้าไปสัมผัสกับเทพเจ้าสายฟ้าของจริง
ตอนเข้าไปร่วมงานช่วงแรก เนื่องจากการสร้างภาพยนตร์ขณะนั้นใกล้จะเสร็จแล้ว ซึ่งทีมงานที่ทำอยู่ประจำเหนื่อยมากจนทำไม่ไหวแล้ว และตนก็ได้รับการติดต่อให้เข้าไปทำในช่วงที่แต่ละทีมกำลังทำงานในช่วงพีก โดยรับงานต่อจากคนที่ทำงานค้างอยู่ และขออาสาเข้าไปช่วยบ้าง
และมีความยากตรงที่ต้องมีการแก้งานหลายอย่าง รวมถึงตนมาจากต่างบริษัททำให้ต้องเรียนรู้ระบบการทำงานใหม่เยอะมาก เพราะการทำงานสายนี้ไม่ใช่แค่ตัวโปรแกรมที่จะต้องทำเป็น แต่ระบบการทำงานร่วมกับผู้อื่นก็เป็นอีกเรื่องที่สำคัญมาก ทำให้เป็นเรื่องยากเพราะต้องเรียนรู้ระบบการทำงานใหม่ และทำงานไปได้ไม่นานก็โชคไม่ดีติดโควิดทำให้ต้องทำงานจากที่บ้าน
- คนไทยอยู่ตรงไหนของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ระดับโลก
ความจริงแล้วคนไทยในอุตสหกรรมภาพยนตร์ในต่างประเทศมีอยู่เยอะและมีทุกระดับชั้นไปจนถึงระดับหัวหน้างานหรือหัวหน้าแผนก และมองว่ามีคนไทยที่มีฝีมืออยู่ในวงการนี้เยอะพอสมควรและอยู่มานานแล้ว
ส่วนของรูปแบบการทำงานนั้นในต่างประเทศการทำงานมีความเป็นมืออาชีพสูงมากเพราะการสร้างภาพยนตร์เรื่องหนึ่งต้องประกอบด้วยหลายศาสตร์ และแต่ละคนจะทำงานเฉพาะเจาะจงตรงสายวิชาชีพของตัวเองเท่านั้น หัวหน้างานจะเน้นให้ทำงานเป็นระบบ เช่น เมื่อถึงเวลาเลิกงานก็ควรเลิกงาน และจะสั่งงานเฉพาะในส่วนของสายงานแต่ละคนเท่านั้นไม่จำเป็นต้องเข้าไปช่วยเหลือสายงานอื่นเพื่อให้การทำงานเป็นระบบและให้งานเสร็จตามกำหนด ซึ่งหัวหน้างานจะให้ความเห็นในงานที่ทำโดยละเอียดตรงไปตรงมาเพื่อให้แก้ไขได้ตรงจุดในครั้งเดียว
ภาพที่โสภณ โพสต์ไว้ในเฟซบุ๊กของตนเอง
- สิ่งที่อยากฝากถึงผู้คนที่มีความฝัน
การที่คนๆ หนึ่งตัดสินใจจะออกมาล่าฝันของตัวเอง อยากจะออกไปสู่โลกกว้างเพื่อทำในสิ่งที่ตัวเองรัก หนึ่งเลยขอให้หาความชอบของตัวเองให้เจอก่อน เพราะแพสชั่นจะเป็นสิ่งที่นำทางเรา เป็นแรงผลักดันให้เดินไปข้างหน้าโดยไม่รู้สึกเหนื่อยเพราะเราชอบที่จำทำมัน ตนเคยได้ยินคำหนึ่งมาจากแม่ของเพื่อน เขาบอกว่าถ้าเราได้ทำงานในสิ่งที่เรารัก เราจะไม่ต้องทำงานอีกตลอดทั้งชีวิต ซึ่งมันก็จริงเพราะทุกวันนี้เหมือนแค่ตื่นมาเล่นเกม ตื่นมาเซทคอมตัวเองก็หาเงินได้เพราะมันคือสิ่งที่เราชอบมากๆ
สองก็คือการวางแผนพอหาสิ่งที่ตัวเองชอบเจอก็ต้องวางแผนที่จะเรียนรู้ว่า หนึ่ง สอง สาม เราควรเรียนอะไร ทำยังไงให้ไปถึงฝัน แม้ฝันมันจะดูห่างไกลมากเลย เราไม่ต้องมองขึ้นร้อยขั้นข้างหน้าเรามองแค่ขั้นต่อไปก็พอ พอเรารู้ว่าควรไปทางไหนเราก็เดินไปทางนั้น แต่ถ้าเราเดินไปสิบก้าวแล้วรู้สึกว่ามันผิดเราก็ไม่เป็นไรแค่ถอยหลังกลับมาแล้วหาทางใหม่ต่อไปเรื่อยๆ
ตนคิดว่าการเรียนรู้และการทำอะไรผิดพลาดมันเป็นอีกบันไดทำให้เราเข้าใกล้สู่ความสำเร็จ เหมือนยอมรับกับตัวเองว่าถ้าวันหนึ่งเราเฟล ให้คิดไว้เลยว่าการมาทำงานต่างประเทศทำงานที่ตัวเองรักมันเป็นสายวิชาชีพ ให้จำไว้เลยความผิดพลาดคือบันไดก้าวหนึ่งที่จะไปสู่ฝันได้ ตอนนั้นตนก็จำข้อนี้ไว้แล้วก็พยายามเร่งให้ตัวเองเฟล อารมณ์เหมือนวิ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วแล้วอยากให้ตัวเองเฟลเร็วๆ ทดลองทำทุกอย่างถ้าเรารู้สึกว่าผิดถอยกลับมา วิ่งใหม่
จนวันหนึ่งเราจะหาทางที่มันใช่แล้วเราก็วิ่งต่อแต่ถ้าเฟลกลับมาก็วิ่งใหม่ เพราะตนเฟลมาเยอะมาก หลายอย่าง เรียนภาษาอังกฤษ เรื่องเงิน เรื่องการเดินทาง เรื่องคอร์สเรียน เฟลเยอะมาก แต่ถ้าไม่เฟลเราก็จะไม่ได้ก้าวไปข้างหน้าให้ไกลขึ้นได้
ข้อที่สามคือเรื่องเงินเพราะฐานะทางบ้านแต่ละคนไม่เหมือนกัน ถ้าคนไหนรู้ความฝันของตัวเองแล้วก็ควรรีบจัดการเรื่องเงินไว้ก่อน ถ้าตัวเองมีฝันที่ใหญ่ก็อยากให้อดออม แม้เงินก่อนหนึ่งอาจจะไม่พอแต่เราก็สามารถไปแก้ปัญหาเอาข้างหน้าได้ ตนก็ไม่ได้มาจากครอบครัวที่รวยระหว่างทำงานก็ต้องเก็บเงินไปด้วยเพื่อจะทำความฝันตัวเองให้สำเร็จให้ได้
สุดท้ายนี้เมื่อเวลาล่วงเลยมากว่า 5 ปี เด็กหนุ่มที่จบจากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ที่มีชื่อว่า "โสภณ หนูนุรัตน์" ก็ได้มีชื่ออยู่ใน End Credit ของภาพยนตร์ฮอลลีวูดจากค่ายดังอย่าง “MARVEL” จากภาพยนตร์เรื่อง "Thor : Love and Thunder" ได้สำเร็จเหมือนกับที่เขาวาดฝันได้ โดยความสำเร็จครั้งนี้ย่อมต้องแลกกับความอดทน ความลำบาก ความรับผิดชอบ และความพยายาม