ถอดรหัส “บัวขาว” เพราะอะไรถึงเป็น “นักมวย” ที่ได้ใจคนทั้งโลก
หากเอ่ยถึง “นักมวยไทย” ชื่อของยอดนักชกลำดับต้นๆ ที่หลายคนนึกถึงคนหนีไม่พ้น “บัวขาว” สุดยอดนักมวยคนดังของไทย ที่ได้ไปโลดแล่นโชว์ฝีไม้ลายมือถึงต่างแดน แต่กว่าจะมีวันนี้ได้บัวขาวเองก็ต้องผ่านด่านการฝึกซ้อมที่สุดหินเช่นกัน
"บัวขาว บัญชาเมฆ" หรือ ร้อยโท สมบัติ บัญชาเมฆ คือหนึ่งในนักมวยไทยที่เรียกได้ว่าโด่งดังและฝากผลงานไว้มากมายทั้งในระดับประเทศและในระดับโลก ซึ่งส่วนสำคัญที่ทำให้ “บัวขาว” ได้รับความนิยมจากชาวต่างชาติก็คือ แม่ไม้มวยไทยที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร
นอกจากฝีมือ บัวขาวยังมีคาแรกเตอร์ที่ดุดันเข้ากับการต่อสู้แบบมวยไทย จนสามารถข่มขวัญคู่ต่อสู้ได้ไม่ยาก ทำให้บัวขาวเป็นนักมวยคนไทยที่โด่งดังไกลไปทั่วโลก และได้เป็นนักมวยชาวไทยคนแรกที่ขึ้นได้บิลบอร์ดยักษ์กลางแยกไทม์สแควร์ใจกลางกรุงนิวยอร์ก ซึ่งน้อยคนนักจะทำได้หากไม่ได้มีชื่อเสียงมากพอ
ภาพ บัวขาว บนบิลบอร์ดที่ไทม์สแควร์ จาก Rajadamnern World Series
ภาพจำของสายตาชาวโลก ที่เห็นบัวขาวในวงการมวยไทยก็คือ ชายชาวเอเชีย ผิวคล้ำ รูปร่างกำยำ ท่าทางดุดันจริงจัง ออกลวดลายในการใช้แม่ไม้มวยไทยในการต่อสู้ จนได้เป็นแชมป์มวยไทยหลายรายการทั้งในและต่างประเทศ
อีกทั้งในโซเชียลมีเดียของเขา ยังมีเรื่องราวขำขันในชีวิตประจำวัน และการโชว์ทักษะมวยไทยต่างๆ เช่น คลิปบัวขาวเตะต้นกล้วยจนหัก ที่มีคนเข้าไปดูจนกลายเป็นไวรัลโด่งดังไปทั่วโลก ยิ่งเป็นการการันตีว่า “บัวขาว” คนนี้ไม่ธรรมดา
- ก่อนบัวขาวจะผงาด
เส้นทางชีวิตของบัวขาวอาจจะไม่ได้แตกต่างกับนักมวยคนอื่นๆ มากนัก นั่นคือ เมื่อถึงเวลาก็ต้องเดินทางเข้าเพื่อหาสังกัดค่ายมวยอยู่ตั้งแต่อายุยังน้อย ฝึกฝนอย่างหนักเพื่อจะได้มีโอกาสลงแข่งเหมือนกับรุ่นพี่
สำหรับบัวขาวนั้น ฝึกฝนมวยไทยด้วยตนเองเพราะความชอบส่วนตัว ตั้งแต่อายุ 8 ขวบ ที่ อ.สำโรงทาบ จ.สุรินทร์ หลังจากจากนั้น เขาได้เดินทางเข้ากรุงเทพฯ และได้มาอยู่ที่สังกัด ค่ายมวย ป.ประมุข เมื่ออายุ 15 ปี และฝึกฝนอย่างหนัก เรียกได้ว่าแทบจะไม่ได้ใช้ชีวิตในวัยเด็กและวัยรุ่นเหมือนกับเพื่อนวัยเดียวกัน
แต่ในที่สุดเขาก็ได้สามารถคว้าเข็มขัดแชมป์มาครองเป็นจำนวนมากภายหลังเริ่มอาชีพมวยไทยที่กรุงเทพฯ ได้แชมป์เวทีมวยสยามอ้อมน้อย รุ่นเฟเธอร์เวท แชมป์ประเทศไทยรุ่นเฟเธอร์เวท และแชมป์ที่เวทีมวยสยามอ้อมน้อยอีกครั้ง ในรุ่นไลท์เวท ในปี 2545 บัวขาวชนะเลิศมวยไทยมาราธอนโตโยต้า รุ่น 140 ปอนด์ ที่สนามมวยเวทีลุมพินี ชนะโคบายาชินักชกชาวญี่ปุ่น ถือว่าเป็นนักมวยอายุน้อยแต่มีรางวัลในมือมากมายในขณะนั้น
- เมื่อบัวขาวพามวยไทยไปสู่ระดับโลก
แน่นอนว่าหลังจากกวาดแชมป์ในหลากหลายรุ่นมาจนหมดประเทศแล้ว บัวขาวไม่ได้หยุดแค่นั้น แต่เขายังพาแม่ไม้มวยไทย หนึ่งในของดีของประเทศไปโชว์ให้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาชาวโลกด้วย ซึ่งความแตกต่างก็คือ การร่ายรำไหว้ครูและการสวมมงคลมวยไทยก่อนขึ้นชก รวมถึงการใช้อวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกายในการต่อสู้ เช่น หมัด ศอก เข่า และ เท้า ซึ่งต่างจากมวยสากลที่ใช้แค่หมัดอย่างเดียว
จึงทำให้การต่อสู้ของบัวขาวแตกต่างและสร้างความสนใจต่อชาวโลกไม่น้อย จึงทำให้บัวขาวมีแฟนคลับเป็นคนไทยและต่างชาติ โดยเฉพาะในทวีปยุโรปและประเทศญี่ปุ่น อีกทั้งยังสามารถเอาชนะการแข่งขันในรายการต่างประเทศได้อีกด้วย เช่น ชนะเลิศรายการ เค-วัน เวิลด์แมกซ์ 2004 ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น โดยชนะ จอห์น เวย์น พาร์ นักมวยไทยชาวออสเตรเลีย โคะฮิรุมาคิ ทากะยูกิ และมาซาโตะแชมป์เก่าชาวญี่ปุ่น ได้อีกด้วย
โดยสถิติแชมป์ทั้งหมดของบัวขาวนั้น ชกทั้งหมด 330 ไฟท์ ชนะ 240 ครั้ง แพ้ 24 ครั้ง เสมอ 12 ครั้ง ในส่วนของรายการการแข่งขัน
1. แชมป์ประเทศไทยรุ่นเฟเธอร์เวท
2. แชมป์รุ่นเฟเธอร์เวท เวทีอ้อมน้อย
3. แชมป์รุ่นไลท์เวท เวทีอ้อมน้อย
4. แชมป์ทัวร์นาเมนต์ โตโยต้า มาราธอน รุ่น 140 ปอนด์ ปี 2002
5. แชมป์ K-1 World MAX ปี 2004
6. แชมป์ K- World MAX ปี 2006
7. แชมป์ทัวร์นาเมนต์ Thai Fight รุ่น 70 กก. ปี 2011
8. แชมป์ทัวร์นาเมนต์ Thai Fight รุ่น 70 กก. ปี 2012
9. แชมป์โลกมวยไทยซุปเปอร์เวลเตอร์เวทของ WMC
นอกจากนี้ยังมีเหล่าบรรดานักมวยชื่อดังระดับโลกที่บัวขาวได้เอาชนะมาแล้ว ได้แก่
- John Wayne
- Masato
- Kozo Takeda
- Jadamebe Narantungalag
- Jean-Charles Skarbowsky
- Mike Zambidis
- จอมโหด เกียรติอดิศักดิ์
- Andy Souwer
- Nieky Holzkken
- Albert Kraus
- Youssef Boughanem
- Yi Long
- Andrei Kulebin
ภาพ บัวขาวและคู่ต่อสู้จาก ค่ายมวยบัญชาเมฆ
- เวทีราชดำเนิน มวยไทย และ บัวขาว
สำหรับนักมวยที่อยู่ในวงการมวยไทยนั้น “เวทีราชดำเนิน” น่าจะเรียกได้ว่าเป็นเวทีแรกๆ นอกจากเวทีสยามอ้อมน้อย และ เวทีลุมพินี ที่เหล่านักชกหน้าใหม่อยากจะไปชิมลาง ส่วนบรรดาเจ้าของตำแหน่งทั้งหลายต่างก็พยายามปกป้องตำแหน่งกันอย่างสุดชีวิต
เพราะถือว่าเป็นหนึ่งในเวทีมวยไทยที่ได้รับความนิยมจากผู้ชมสูงและมีโปรแกรมชกให้ได้เข้าไปชมกันอยู่เนืองๆ และมีนักมวยหลายคนแจ้งเกิดจากเวทีนี้ก่อนจะโบยบินไปประสบความสำเร็จในขั้นที่สูงกว่า
ในส่วนของบัวขาวเองนั้น แม้ว่าจะเริ่มเป็นที่รู้จักมาจากการชกที่เวทีมวยสยามอ้อมน้อย แต่ก็ยังไม่เคยได้ขึ้นสังเวียนราชดำเนินเลย จนกระทั่ง วันที่ 20 พ.ค. 2547 โปรโมเตอร์ทรงชัยจึงได้จังหวะ ส่งบัวขาวไปชกรายการใหญ่ที่เวทีราชดำเนิน นั่นคือ ศึกเกียรติสิงห์น้อย โดยเป็นมวยคู่รอง และแน่นอนว่าบัวขาวเป็นฝ่ายชนะไปอย่างฉิวเฉียด
แต่หลังจากนั้นบัวขาวได้ห่างหายจากเวทีราชดำเนินไปนานถึง 18 ปี เพราะต้องไปฝึกทหารเนื่องจากบัวขาวมีอาชีพหลักเป็นทหาร และอีกส่วนหนึ่งก็เพราะบัวขาวต้องเดินสายชกไปในหลายประเทศ ดังนั้นการได้กลับมาชกที่เวทีราชดำเนินอีกครั้งเมื่อวันที่ 19 ส.ค. ที่ผ่านมาหลายคนจึงเรียกกันว่า “บัวขาวกลับบ้าน”
ภาพ การโปรโมทเวทีราชดำเนินโฉมใหม่พร้อมการขึ้นชกของ บัวขาว ในรอบ 18 ปี
ซึ่งความหมายของบัวขาวกลับบ้านนั้นมาจาก การที่เวทีมวยราชดำเนินมีการรีโนเวทใหม่ เพื่อให้สอดรับกับความทันสมัยภายใต้สโลแกน “ยินดีต้อนรับสู่ยุคสมัยใหม่ของเวทีมวยราชดำเนิน! พร้อมที่จะขับเคลื่อนวงการมวยไทยให้ก้าวไกลสู่ระดับสากล!”
ประจวบกับเป็นช่วงที่บัวขาวเดินทางกลับมาเมืองไทยทำให้เวทีราชดำเนินเชิญให้ "บัวขาว" มาชกโชว์ในรายการชกรูปแบบใหม่ Rajadamnern World Series โดยมีการโปรโมทว่า “BUAKAW IS COMING HOME” ล่วงหน้าเป็นเดือนทำให้แฟนมวยชาวไทยที่เฝ้ารอการกลับมาขึ้นสังเวียนของบัวขาวในรอบ 18 ปี ตั้งตารอกันเป็นอย่างมาก เพราะฉะนั้นบัวขาวกลับบ้านนั่นหมายถึง การที่ได้กลับมาชกที่สังเวียนประวัติศาสตร์อีกครั้งนั่นเอง
อ้างอิง : Rajadamnern World Series, เวทีราชดำเนิน, MUAYTHAI SHUTTER และ MAIN STAND