เช็กสัญญาณ “Toxic Relationship” ความรักความสัมพันธ์ของคุณ ยังดีหรือไม่?

เช็กสัญญาณ “Toxic Relationship” ความรักความสัมพันธ์ของคุณ ยังดีหรือไม่?

เปิด 7 สัญญาณเตือน “ความสัมพันธ์เป็นพิษ” หรือ Toxic Relationship พร้อมวิธีรับมือและแก้ไขจากผู้เชี่ยวชาญ เมื่อต้องเผชิญกับความสัมพันธ์ลักษณะนี้

ความรัก ความสัมพันธ์เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน และสามารถเปลี่ยนแปลงไปได้อยู่ทุกวัน เมื่อวานรัก วันนี้รัก แต่พรุ่งนี้อาจจะเปลี่ยนไปแล้วก็ได้ จนทำให้หลายครั้งความสัมพันธ์ที่ดี กลับกลายเป็น "ความสัมพันธ์เป็นพิษ" (Toxic Relationship) ในแบบที่เราเองก็ไม่ได้ตั้งตัว และไม่รู้เลยว่าความสัมพันธ์ของเรามันได้เปลี่ยนไปแล้ว

 

7 สัญญาณเตือน “ความสัมพันธ์เป็นพิษ”

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ ชวนผู้อ่านเช็กคุณภาพความรักและความสัมพันธ์ ผ่าน 7 สัญญาณเตือน “ความสัมพันธ์เป็นพิษ” พร้อมแนวทางการแก้ไข ซึ่งได้รับการตรวจสอบทางการแพทย์โดย โรซารา ทอร์ริซี นักบำบัดโรคทางเพศจากสถาบัน Long Island Institute of Sex Therapy

1. ขาดความไว้เนื้อเชื่อใจ

โดยปรกติ คนรักกันควรเป็นคนที่คุณสามารถไว้วางใจพึ่งพาได้ เป็นที่พักพิงในยามที่อ่อนแอ สามารถให้เห็นมุมที่เปราะบางที่สุด ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลย หากคุณไม่ไว้ใจคนรักของคุณ

เจนี วู้ดฟิน นักบำบัดจากสถาบันในคำปรึกษาปัญหาชีวิตคู่ J. Woodfin Counseling กล่าวว่า “เมื่อคู่รักอยู่ด้วยกันโดยไม่มีความไว้วางใจต่อกัน ไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายจะซื่อสัตย์ แต่กลับคิดว่าอีกฝ่ายจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ประโยชน์จากความสัมพันธ์นี้ นี่คือสัญญาณแรก ๆ ของการก้าวเข้าสู่ความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ จนทำให้เกิดความไม่มั่นคง และรู้สึกไม่ปลอดภัย”

2. การสื่อสารที่ไม่เป็นมิตร 

สิ่งหนึ่งที่ไม่ควรปฏิบัติต่ออีกฝ่ายหนึ่งในทุกความสัมพันธ์เป็นอย่างยิ่ง นั่นคือการใช้ความรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นทางวาจา หรือทางกาย ไม่ว่าจะเป็นการตะโกนเรียกด้วยคำที่ทำร้ายจิตใจ ดุด่าด้วยถ้อยคำรุนแรง กล่าวโทษซ้ำไปซ้ำมา ขุดเรื่องในอดีตมาทับถม ขว้างปาสิ่งของ (ทั้งที่ทำให้สิ่งของเสียหาย หรือโยนใส่อีกฝ่าย) ทำร้ายร่างกาย 

รวมถึงการเงียบใส่ เพิกเฉย ไม่สนใจว่าคุณจะทำอะไร ขัดจังหวะ ไม่สนใจในสิ่งที่คุณพูด หรือแม้ฟังเพื่อที่จะหาทางตอบโต้แทนที่จะเป็นการฟังเพื่อความเข้าใจ

สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นรูปแบบของความสัมพันธ์ที่เป็นพิษทั้งสิ้น เพราะเมื่อขึ้นชื่อว่าความรักไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใด ย่อมจะต้องไม่สร้างบาดแผลทั้งร่างกายและจิตใจ

 

3. พยายามบงการชีวิต

มนุษย์ทุกคนล้วนมีสิทธิ์ที่จะทำอะไรก็ได้ตามที่ต้องการ ไม่มีใครสามารถบงการ หรือตัดสินใจให้คุณทำอะไรตามที่เขาต้องการได้ แม้จะอ้างว่าทำไปด้วยความหวังดีก็ตาม การบังคับให้ทำสิ่งต่าง ๆ นอกจากจะสร้างความอึดอัดใจแล้ว ยังก่อให้เกิดความกลัวในระยะยาว ซึ่งส่งผลให้ความสัมพันธ์ที่ไม่มั่นคง ไม่มีความสุข ได้แต่ภาวนาให้ความสัมพันธ์นี้จบลงเสียที 

การพยายามบงการชีวิตนั้นมีหลายระดับ ตั้งแต่ต้องการรู้ว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่ อยู่ที่ไหนกับใคร พยายามแยกคุณออกจากเพื่อนและครอบครัว ตีมึนเมื่อคุณพยายามจะบอกความต้องการของคุณ ข่มขู่คุณให้ทำในสิ่งที่ต้องการ ตลอดจนขอรหัสเพื่อเช็กโทรศัพท์และสื่อโซเชียลมีเดียของคุณ อีกทั้งการบริหารจัดการด้านการเงินของคุณ

4. โกหกตลอดเวลา

หลายครั้งคนเรามักใช้การโกหกเพื่อทำให้อีกฝ่ายสบายใจ จนมีคำที่เรียกว่า​ “โกหกสีขาว” (White Lie) ขึ้นมา แต่ไม่ว่าจะโกหกแบบไหน สุดท้ายแล้วการโกหกก็คือการโกหก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็ก หรือเรื่องใหญ่ เมื่อมารู้ความจริงภายหลังย่อมเสียใจหรือโกรธอยู่ดี

นอกจากนี้ การโกหกยังทำลายความน่าเชื่อถือ และลดความเชื่อใจในระยะยาวของอีกฝ่ายอีกด้วย วู้ดฟินกล่าวว่า “ที่จริงแล้วการโกหกไม่ได้เป็นการรักษาความรู้สึกของอีกฝ่าย แต่เป็นการแสดงว่าผู้โกหกรักตัวเองมากขนาดไหน”

 

5. เป็นผู้รับอย่างเดียว ไม่เคยเป็นผู้ให้

หากคุณกำลังรู้สึกว่ากำลังอยู่ในความสัมพันธ์ที่คุณต้องเป็นคนเริ่มบทสนทนาก่อนทุกครั้ง แถมแชตยังหนักขวา ถามคำตอบคำ อยากจะมาก็มา อยากจะไปก็ไป หรือหนักไปจนถึงขั้นที่ต้องพยายามเปลี่ยนตนเองหลายครั้งตามความต้องการของอีกฝ่าย ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด ทำทุกอย่างเพื่อให้เขามีความสุข แต่กลับรู้สึกว่าตัวเล็กลงทุกครั้งเมื่ออยู่กับเขา กลายเป็นของตายที่มีลมหายใจ

ทั้งหมดนี้คือสัญญาณอันตรายที่กำลังเตือนว่าให้หนีออกไปจากความสัมพันธ์ที่แสนเป็นพิษนี้ อันที่จริง สิ่งเหล่านี้อาจจะไม่เรียกว่าเป็นความสัมพันธ์ของคนรัก แต่อาจจะเป็นความสัมพันธ์แบบเจ้านายกับคนใช้ เพราะความสัมพันธ์แบบคนรัก หรือแม้กระทั่งเพื่อนทั้งสองฝ่ายควรได้รับและแบ่งปันให้กันอย่างเหมาะสม ไม่ใช่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องทุ่มเทอยู่อย่างเดียว

6. เหนื่อยในความสัมพันธ์

แน่นอนว่าฝ่ายที่ทุ่มเทกว่า รักมากกว่า ย่อมเหนื่อยกว่าเสมอ หลายครั้งที่เราใส่ใจแต่เขา ให้ความสำคัญกับเขา จนละเลยความรู้สึกและความต้องการของตัวเอง บางทีคุณอาจจะต้องลองหยุดพักสักนิด คิดสักหน่อยว่าที่ทำอยู่มันเหนื่อยเกินไปหรือเปล่า ลองกลับมาทำเพื่อตัวเองบ้าง แล้วสังเกตพฤติกรรมของอีกฝ่ายว่าเขาเป็นอย่างไร ถ้าหากเขาแสดงท่าทีที่เป็นลบ นั่นอาจเป็นอีกหนึ่งสัญญาณของความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ

7. แก้ตัวให้ตลอด

หลายครั้งเมื่อเรามีปัญหากับแฟน เรามักจะเลือกไปปรึกษาเพื่อน แต่พอเวลาที่เพื่อนบอกให้เลิก หรือพยายามจะช่วยปกป้องเรา แต่เราก็พร้อมปกป้องคนที่เรารัก (ซึ่งมันเป็นเรื่องปรกติ ไม่ใช่เรื่องผิดที่จะปกป้องคนที่เรารัก) พร้อมบอกกับเพื่อนว่า “แกจะรู้อะไร แกไม่ได้รู้จักเขาเหมือนฉันนี่” และแน่นอนว่าบรรดาเพื่อนรักก็พร้อมใจกันแปลงร่างจากมนุษย์กลายเป็น “ไอ้โบ้” (หมา) ในทันที 

แต่คุณต้องอย่าลืมว่า เพื่อนหรือคนอื่น ๆ ที่คุณไปปรึกษาด้วย เขาเป็นคนที่อยู่นอกความสัมพันธ์ เขาสามารถมองเห็นอะไรได้กว้างไกลกว่าคนที่อยู่ในความสัมพันธ์ที่พร้อมจะหลับตาข้างหนึ่งอยู่เสมอ ดังนั้นเมื่อเลือกจะปรึกษาคนอื่น อย่างน้อยฉุกคิดสักหน่อย และตั้งคำถามกับตัวเองว่า “นี่เรากำลังพยายามปกป้องเขามากเกินไปหรือเปล่า?”

 

ออกจากความสัมพันธ์เป็นพิษอย่างไร

ทุกปัญหาล้วนมีทางออกเสมอ ในความสัมพันธ์ที่เป็นพิษก็เช่นกัน หากคุณทั้งคู่รับรู้ปัญหาและยังรักกันมากพอ อยากที่จะปรับปรุงแก้ไขให้มันดีขึ้น วิธีที่ง่ายที่สุดคือ

- จับมือพูดคุยกันอย่างเปิดอก

ให้รู้ว่าปัญหามันคืออะไร อยากให้ปรับตรงไหน มีอะไรต้องแก้ไข โดยไม่ใช้อารมณ์นำ พูดคุยกันด้วยเหตุและผล แต่หากคุยกันไม่ได้

- พบนักจิตวิทยาคู่สมรส

การไปพบนักจิตวิทยาคู่สมรสก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่อาจช่วยหาทางออกได้

 

“การพบนักจิตวิทยาคู่สมรสจะช่วยให้มีพื้นที่ปลอดภัยในการพูดคุยเกี่ยวกับปัญหาต่าง ๆ โดยที่ไม่ตัดสินว่าใครถูกใครผิด แต่จะร่วมเป็นสักขีพยาน และช่วยคุณค้นหาวิธีแก้ไขปัญหา” คามิล ลูอิส นักบำบัดด้านความสัมพันธ์และเพศสัมพันธ์ กล่าว

ส่วนทางออกสุดท้าย หากทั้งคู่หมดแพชชันที่จะอยู่ด้วยกันแล้ว การเดินออกมา แยกย้ายกันไปมีชีวิตเป็นของตนเองอาจจะเป็นหนทางที่มีความสุขมากกว่า แต่หากคุณยังไม่สามารถก้าวออกมาได้เพราะยังติดบ่วงกับคำว่ารักอยู่ ก็จงอย่าลืมที่จะรักและแคร์ความรู้สึกของตัวเองให้ได้สักครึ่งหนึ่งของความรักที่มีให้แก่เขา เมื่อคุณเลือกที่จะอยู่กับปัญหาที่คาราคาซังแบบนี้ ต้องรักตัวเองให้ได้มาก ๆ เพื่อจะได้มีแรงอดทนก้าวข้ามผ่านความสัมพันธ์เป็นพิษนี้ไปให้ได้ เพราะในความเป็นจริงแล้ว เขาอาจปล่อยคุณไปตั้งนานแล้ว แต่คุณต่างหากที่เป็นฝ่ายไม่ยอมไป

 

เหมือนกับคำที่พี่อ้อย พี่ฉอด จาก Club Friday พูดอยู่บ่อย ๆ ว่า “ต่อให้มีกี่ร้อยกี่พันพี่อ้อยพี่ฉอด แต่ถ้าน้องไม่เลือกที่จะออกมา ก็ไม่มีใครช่วยอะไรน้องได้”


ที่มา: Insider