ปี 2023 เทรนด์ทำงาน "ไฮบริด" จะมาแรง 50% ของชาวออฟฟิศต้องการความยืดหยุ่น
เปิดโลกทำงานยุคหลังโควิด เทรนด์ "ไฮบริด" จะมาแรงในปี 2023 โดย 50% ของ "พนักงานออฟฟิศ" ต้องการพื้นที่ทำงานที่ยืดหยุ่นมากขึ้น ไม่จำกัดแค่ในออฟฟิศอีกต่อไป
ชวนส่องเทรนด์การทำงานในยุคหลังโควิดที่จะเปลี่ยนแปลงไปจากช่วงก่อนโควิดระบาดโดยสิ้นเชิง จากเดิมเราเคยเข้าออฟฟิศเต็มรูปแบบ แต่เมื่อเกิดสถานการณ์โควิดในช่วง 3 ปีมานี้ ทำให้องค์กรและบริษัทต่างๆ ต้องปรับตัว และปรับรูปแบบการทำงานของพนักงานใหม่ให้สอดคล้องกับวิกฤตินี้
เมื่อถึงยุคหลังโควิดในวันนี้และต่อไปในอนาคต เราจะได้เห็นทิศทางรูปแบบการทำงานที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจนมากขึ้น โดยในปี 2023 "พนักงานออฟฟิศ" จะมีความต้องการพื้นที่ทำงานที่ยืดหยุ่นมากกว่าเดิม
โดยผลสำรวจจาก WeWork บริษัทผู้ให้บริการ "ออฟฟิศเช่า" รายใหญ่ที่มีพื้นที่ให้บริการทั้งในสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย และหลายประเทศใน South East Asia รวมถึงในประเทศไทย ได้เปิดเผย "เทรนด์การทำงาน" ในปี 2023 ระบุว่า ในโลกยุคหลังโควิดตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป องค์กรและธุรกิจต่างๆ จะให้พนักงานกลับเข้าเข้ามาทำงานในออฟฟิศแทนการ Work From Home โดยมีทิศทางไปใน 2 รูปแบบ คือ
1. Fully Office : เข้ามาทำงานใสนออฟฟิศเต็มเวลา
2. Hybrid : ทำงานทั้งใน Office และ WFH (และ/หรือ Work From Anywhere)
- ปี 2021 VS ปี 2022 การทำงาน “ไฮบริด” พุ่งสูงขึ้น
ขณะที่รายงานของ CBRE (บริษัทการลงทุนอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์) ที่สำรวจพบลักษณะการทำงานของ “พนักงานออฟฟิศ” จากบริษัทในภาคพื้น “เอเชียแปซิฟิก” จำนวนกว่า 150 แห่ง โดยเปรียบเทียบระหว่างปี 2021 กับ ปี 2022 พบว่า การทำงานแบบ “ไฮบริด” หรือ Equal Mix พุ่งสูงมากขึ้นจากเดิม 17% เป็น 28% รวมถึงการทำงานแบบ “เข้าออฟฟิศเต็มเวลา” ก็สูงเช่นกัน อีกทั้งมีรายละเอียดอื่นๆ ดังนี้
ปี 2021
- การทำงานรูปแบบ Fully Office อยู่ที่ 26%
- การทำงานรูปแบบ Mostly Office อยู่ที่ 37%
- การทำงานรูปแบบ Equal Mix/Hybrid อยู่ที่ 17%
- การทำงานรูปแบบ Fully/Mostly Remote อยู่ที่ 21%
ปี 2022
- การทำงานรูปแบบ Fully Office อยู่ที่ 38%
- การทำงานรูปแบบ Mostly Office อยู่ที่ 24%
- การทำงานรูปแบบ Equal Mix/Hybrid อยู่ที่ 28%
- การทำงานรูปแบบ Fully/Mostly Remote อยู่ที่ 5%
- 50% ของพนักงานออฟฟิศ อยากทำงานที่ยืดหยุ่นมากขึ้น
นายบัลเดอร์ ทอล ผู้จัดการทั่วไปประจำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และออสเตรเลีย WeWork เปิดเผยว่า จากข้อมูลข้างต้นแสดงให้เห็นว่าเทรนด์นี้จะต่อเนื่องไปในปี 2023 ซึ่งในภาพรวมของรูปแบบการทำงานดังกล่าว เป็นไปในทิศทางเดียวกันทั้งในภาคพื้นยุโรป เอเชียแปซิฟิก และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
อีกหนึ่งประเด็นของโลกทำงานยุคหลังโควิดที่องค์กรต่างๆ จะต้องตระหนักถึงก็คือ มากว่า 50% ของพนักงานออฟฟิศ จะเริ่มมองหาพื้นที่การทำงานที่ยืดหยุ่นมากขึ้น ไม่จำกัดแค่การทำงานในออฟฟิศเสมอไป
เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจและสังคมโลกในด้านต่างๆ มีความไม่แน่นอนและผันผวนสูง หลายองค์กรไม่อาจคาดเดาได้ว่าโลกในอนาคตจะเปลี่ยนไปยังไงอีก การมอบความยืดหยุ่นด้านพื้นที่ทำงานให้แก่พนักงานออฟฟิศจึงเป็นสิ่งสำคัญ
“เทรนด์การทำงานที่จะเปลี่ยนไปหลังยุคโควิด คือ นายจ้างส่วนใหญ่จะให้ความยืดหยุ่นกับลูกจ้างมากขึ้น ทั้งการทำงานแบบ work from home หรือการทำงานแบบไฮบริด (ทำงานที่บ้านและที่ออฟฟิศ) หรือการทำงานจากสถานที่ใดๆ ก็ได้นอกออฟฟิศ เพื่อเพิ่มความสะดวกในการทำงานของลูกจ้าง
ทำให้ลูกจ้างทำงานได้เต็มประสิทธิภาพได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องเข้าออฟฟิศ ซึ่งธุรกิจให้เช่าพื้นที่ทำงาน หรือ Co-working space ก็เข้ามาเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกให้องค์กรที่ให้ความสำคัญกับพนักงาน โดยให้บริการพื้นที่ทำงานที่เหมาะสมและมีโลเคชันที่สะดวกสบาย เดินทางง่าย และมีฟังก์ชันที่ตอบโจทย์” บัลเดอร์ ทอล กล่าว
- ธุรกิจ Co-working space ทั่วโลก เติบโตขึ้น 15-30%
อีกทั้ง มีข้อมูลอินไซต์เกี่ยวกับภาพรวมของธุรกิจ “ออฟฟิศเช่า” และ “Co-working space” ทั่วโลก โดย บัลเดอร์ ทอล อธิบายว่า ช่วงก่อนโควิดระบาด การให้บริการพื้นที่ Co-working space ในตลาดมีแค่ 3-5% เท่านั้น แต่หลังจากสถานการณ์โรคระบาดโควิดผ่านไป ก็พบว่าตลาด Co-working space เพิ่มขึ้นสูงถึง 15-30%
โดยเฉพาะช่วง 1-2 ปีมานี้ มีผู้เล่นลงมาแย่งชิง Market Share ในตลาดนี้จำนวนมาก แต่ บัลเดอร์ ทอล มั่นใจว่า Wework จะกินส่วนแบ่งส่วนใหญ่ของตลาดนี้ ด้วยศักยภาพที่มีความพร้อมด้านพื้นที่ทำงานให้เลือกหลากหลายโลเคชันทั้งในไทยและต่างประเทศ รวมถึงให้บริการยืดหยุ่นสูงที่ตอบโจทย์ลูกค้า อีกทั้งยุคหลังโควิดเชื่อว่าอัตราความต้องการพื้นที่ทำงานนอกบ้านของคนออฟฟิศจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
สำหรับในประเทศไทย Wework สำรวจพบว่า โดยเฉลี่ยแล้วพนักงานออฟฟิศ 1 คน จะเข้าออฟฟิศมาทำงานเฉลี่ยอยู่ที่ 3.2 วันต่อสัปดาห์ โดยวันที่พนักงงานเข้าออฟฟิศบ่อยที่สุด คือ “อังคาร พุธ พฤหัสบดี” ส่วนวันจันทร์กับวันศุกร์พนักงานจะเข้าออฟฟิศมาทำงานน้อยกว่า 3 วันข้างต้นอยู่ที่ 14% ตัวเลขนี้สะท้อนว่า ทิศทางรูปแบบการทำงานในปีหน้าของลูกจ้างคนไทย นิยมทำงานแบบ Hybrid มากกว่า
อีกทั้ง ก่อนหน้านี้พบผลสำรวจที่เกี่ยวเนื่องกับวิกฤติ “Great Resignation” พบ ว่า 72% ของพนักงานออฟฟิศทั่วโลก “ลาออก” จากบริษัท ด้วยเหตุผลที่ว่า เงื่อนไขการทำงานของออฟฟิศไม่ยืดหยุ่นต่อการใช้ชีวิตประจำวันของพวกเขา
บัลเดอร์ ทอล ได้พูดถึงประเด็นนี้ด้วยว่า ในฐานะที่มีประสบการณ์ด้านการให้บริการพื้นที่ทำงาน มองว่าการแก้ไขปัญหานี้ อาจเริ่มต้นด้วยการที่นายจ้างนำเสนอรูปแบบการทำงานที่หลากหลายให้แก่พนักงานในองค์กรของตน ไม่ว่าจะเป็น การยืดหยุ่นเวลาเข้าออฟฟิศ, ยืดหยุ่นจำนวนวันเข้าออฟฟิศต่อสัปดาห์, การมีพื้นที่ทำงานใกล้บ้านให้แก่พนักงานที่บ้านอยู่ไกล ฯลฯ เพื่อให้ลูกจ้างเลือกรูปแบบทำงานที่เหมาะสมและสะดวกกับชีวิตประจำวันของพวกเขาให้มากที่สุด ทำให้ลูกจ้างเกิดความพึงพอใจในขณะที่ทำงานอยู่ในองค์กร ก็จะช่วยลดอัตราการลาออกของพนักงานได้
- การเติบโตของธุรกิจ "เช่าพื้นที่ทำงาน" สะท้อนผ่านรายได้ของ WeWork
ข้อมูลรายได้ของ WeWork ประเทศไทย ระบุว่า ในไตรมาส 2/2565 มีรายได้เพิ่ม 21% และอัตราครอบครองพื้นที่สำนักงานเพิ่มขึ้น (occupancy) 14% เมื่อเปรียบเทียบช่วงเวลาเดียวกันกับปีที่ผ่านมา โดยเป็นผลมาจากสถานการณ์โควิด-19 ที่คลี่คลายลง ทั้งนี้ รูปแบบการทำงานของพนักงานออฟฟิศในไทย จะเป็นไปในโหมดการทำงานแบบไฮบริด (ทำงานที่ออฟฟิศสลับกับที่บ้าน)
เพื่อตอบโจทย์นั้น ทางบริษัทจึงได้พัฒนารูปแบบการให้บริการพื้นที่ทำงานผ่าน 3 คอนเซ็ปต์ใหม่ ให้ตรงใจองค์กรธุรกิจและชาวออฟฟิศในไทยมากขึ้น คือ
- ออกแบบพื้นที่ทำงานตามความต้องการเฉพาะของแต่ละองค์กร
- All Access รายเดือนใช้บริการได้ทุกที่ทั่วโลก
- On Demand จ่ายจริงตามใช้งานเป็นรายวันหรือรายชั่วโมง (เตรียมให้บริการต้นปี 2023)
สำหรับประเทศไทย Wework มีพื้นที่ให้บริการใน กรุงเทพฯ 4 สาขา คือ ทีวัน บิวดิ้ง, เอเชีย เซ็นเตอร์, สปริง ทาวเวอร์ และ เดอะพาร์ค สัดส่วนลูกค้าของ WeWork นั้น 1 ใน 4 เป็นบริษัทต่างชาติ ส่วน 3 ใน 4 เป็นบริษัทไทย
-------------------------------------
อ้างอิง : รายงานสรุปจาก บัลเดอร์ ทอล WeWork