เปิดตำนาน ‘ชีสเบอร์เกอร์’ เมนูเก่าแก่ร่วมร้อยปี กับแคลอรีชวนอึ้ง

เปิดตำนาน ‘ชีสเบอร์เกอร์’ เมนูเก่าแก่ร่วมร้อยปี กับแคลอรีชวนอึ้ง

เปิดที่มา "ชีสเบอร์เกอร์" หลัง "Burger King" ขายเมนูพิเศษ "ชีสล้วน" พร้อมส่องคุณค่าทางโภชนาการของ "ชีส" และโรคร้ายที่อาจตามมาหากบริโภคชีสมากเกินไป

วงการ “ชีสเบอร์เกอร์” ต้องสะเทือน เมื่อ “Burger King” ออกเมนูพิเศษขายเบอร์เกอร์ที่มีแต่ “ชีสล้วน” 20 แผ่น ไม่มีเนื้อให้กวนใจ เอาใจ “สายชีส” กันแบบจุก ๆ ซึ่งทันทีที่วางขายก็มีผู้กล้าหลายคนต่างพากันไปลิ้มรส “อเมริกันชีส” ที่อัดแน่นอยู่ในเบอร์เกอร์ เปิดประสบการณ์ชีสเต็มรสเต็มอารมณ์ 

ขณะเดียวกัน ชาวเน็ตแห่คอมเมนต์แซว ซื้อเมนูนี้ควรแถมแพ็คเก็จตรวจสุขภาพ เพราะเป็นที่รู้กันดีว่าชีสมีไขมันสูงและมีรสเค็ม อาจส่งผลกระทบต่อร่างกายหากรับประทานมากจนเกินไป กรุงเทพธุรกิจ ชวนย้อนประวัติที่มาของชีสเบอร์เกอร์ พร้อมเปิดปริมาณแคลอรีของชีสส่วนประกอบสำคัญของเมนูที่คนทั้งโลกหลงรัก และโรคที่อาจเกิดขึ้นได้หากรับประทานชีสมากเกินไป

 

  • ต้นกำเนิดชีสเบอร์เกอร์

ในช่วงทศวรรษที่ 1920 ลีโอเนล สเติร์นเบอร์เกอร์ เกิดไอเดียบรรเจิดลองนำอเมริกันชีสมาใส่ในแฮมเบอร์เกอร์ ซึ่งขายเป็นอาหารเช้าในร้าน The Rite Spot ร้านแซนด์วิชในรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐ โดยเรียกเมนูนี้ว่า “Aristocratic Burger” หรือ “ชีส แฮมเบอร์เกอร์” โดยขายในราคา 15 เซนต์

ถัดมาในยุค 1930 เบอร์เกอร์ที่มีแผ่นชีสแปะอยู่บนชิ้นเนื้อสุดชุ่มฉ่ำ หรือ ชีสเบอร์เกอร์ที่เราคุ้นเคยได้ถือกำเนิดขึ้นที่ร้านอาหารในรัฐเคนทักกี โดยชาร์ลส์ แคลิน ผู้ที่คิดค้นเมนูนี้ระบุว่า เขาต้องการเพิ่มรสชาติแปลกใหม่ให้แก่เบอร์เกอร์

จากนั้น ลูอิส บอลลาสต์ เจ้าของร้าน Humpty Dumpty Drive-In ในเดนเวอร์ จดเครื่องหมายการค้าชื่อ "cheeseburger" ในปี 1935 และทำให้ชีสเบอร์เกอร์กลายเป็นที่นิยมในหมู่ร้านอาหารแบบไดร์ฟทรู 

  • ชีสเบอร์เกอร์ เมนูโปรดคนทั่วโลก

เมื่อเข้าสู่ยุค 1960 ร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดชื่อดังหลายแบรนด์ทั้ง McDonald’s และ Burger King ขยายตัวออกนอกสหรัฐ ชีสเบอร์เกอร์ก็กลายเป็นหนึ่งเมนูยอดฮิตของร้านและครองใจผู้บริโภคทั่วโลก

องค์ประกอบหลักของชีสเบอร์เกอร์ ประกอบไปด้วย แผ่นขนมปัง ชิ้นเนื้อย่างจนหอม และแผ่นชีส โดยแต่ละเมนูนั้นจะมีซอสและผักชนิดต่าง ๆ ใส่เข้าไปเพื่อเพิ่มความอร่อย แล้วแต่สูตรของทางร้าน 

อย่างไรก็ตามบางร้านนั้นมีเมนูพิเศษสามารถให้ลูกค้าสามารถเลือกสรรความอร่อยได้ด้วยตนเอง ตั้งแต่ระดับความสุขของเนื้อในเบอร์เกอร์ ชนิดของชีส เช่น เชดดาชีส, บลูชีส, อเมริกันชีส หรือ สวิสชีส ชนิดของซอส และผักต่าง ๆ ตลอดจนเนื้อสัตว์อื่น ๆ เพิ่มรสชาติได้ตามต้องการ

นอกจากนี้ เพื่อความอร่อยที่ครบสูตร ชีสเบอร์เกอร์จะต้องเสิร์ฟคู่กับเครื่องเคียงหลากสไตล์ที่ลูกค้าสามารถเลือกได้ตามชอบ ไม่ว่าจะเป็น เฟรนช์ฟรายส์ หัวหอมทอด สลัดมันฝรั่ง โคลสลอว์ และต้องดื่มพร้อมกับ มิลค์เชค หรือ นมปั่น ตามสไตล์อเมริกันแบบดั้งเดิมที่ไม่ควรพลาด

  • ชีสหนึ่งแผ่น มีกี่แคล?

สำหรับ “ชีสแผ่น” ที่นิยมใส่ใน “ชีสเบอร์เกอร์” มักจะเป็น “อเมริกันชีส” มีสีเหลืองค่อนไปส้ม ซึ่งจะมีลักษณะคล้าย “เชดดาชีส” แต่มีรสชาติที่อ่อนกว่า โดยจะเป็นชีสที่ผลิตและขายในสหรัฐนั่นเอง

ตามมาตรฐานการระบุตัวตนสำหรับผลิตภัณฑ์นม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของประมวลกฎหมายรัฐบาลกลางของสหรัฐ หรือ CFR ระบุว่า อเมริกันชีส จะต้องผลิตจากเชดดาร์ชีส โคลบี้ชีส กรานูลาร์ชีส ชีสเคิร์ด หรือต้องมีส่วนผสมของชีส 2 ชนิดข้างต้นขึ้นไป

ตามข้อมูลทางโภชนาการของ Burger King สหรัฐระบุว่า ชีสเบอร์เกอร์ให้พลังงาน 280 กิโลแคลอรี ขณะที่ ดับเบิลชีสเบอร์เกอร์ให้พลังงาน 390 กิโลแคลอรี ส่วน เบคอน ชีสเบอร์เกอร์ให้พลังงาน 320 กิโลแคลอรี และเบคอน ดับเบิลชีสเบอร์เกอร์ให้พลังงาน 420 กรัม

หากแยกดูตามส่วนประกอบ พบว่า อเมริกันชีส 1 แผ่น มีน้ำหนัก 11 กรัม ให้พลังงาน 40 กิโลแคลอรี โดยเป็นพลังงานจากไขมันถึง 30 กิโลแคลอรี มีไขมันทั้งหมด 3 กรัม เป็นไขมันอิ่มตัว 2 กรัม โซเดียม 180 มิลลิกรัม

ดังนั้นหากรับประทานเบอร์เกอร์ชีส 20 แผ่น เมนูใหม่ที่พึ่งออกมานี้ จะได้รับพลังงาน พลังงานจากชีสอย่างน้อย 800 กิโลแคลอรี โดยยังไม่รวมขนมปัง ได้รับไขมันอิ่มตัว 40 กรัม ซึ่งมากกว่าเกณฑ์ที่ให้บริโภค 13 กรัม ต่อวัน และมีปริมาณโซเดียม 3,600 มิลลิกรัม มากกว่าเกณฑ์บริโภค 2,300 มิลลิกรัมต่อวัน

เนื่องจากชีสมีพลังงานจากไขมันเป็นจำนวนมาก หากบริโภคมากเกินไปจะส่งผลให้เกิดโรคอ้วนได้ อีกทั้งปริมาณโซเดียมที่มาจากเกลือในการผลิตชีส อาจจะทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ได้ 

ข้อมูลจาก โรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุว่า โดยปกติโซเดียมจะทำหน้าที่ควบคุมสมดุลของเหลวในร่างกาย หากร่างกายได้รับโซเดียมมากเกินไป ร่างกายจะดูดซึมน้ำเก็บไว้ที่ใต้ผิวหนังมากขึ้น ทำให้เกิดอาการบวมน้ำได้ และหากบริโภคเกินความต้องการของร่างกาย เป็นระยะเวลานาน ๆ อาจเป็นสาเหตุให้เป็นโรคไต โรคความดันโลหิต โรคหัวใจและหลอดเลือด ได้เช่นกัน

อย่างไรก็ตาม เว็บไซต์พบแพทย์ระบุว่า หากรับประทานชีสในปริมาณที่เหมาะสม ก็อาจช่วยให้ร่างกายได้รับประโยชน์มากมาย เพราะชีสแต่ละชนิดต่างมีสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น โฟเลต วิตามินเอ วิตามินดี โดยเฉพาะแคลเซียม ซึ่งชีสมีมากกว่านมถึงสองเท่า ดังนั้นควรบริโภคชีสแต่พอดีในปริมาณที่เหมาะสม และหมั่นออกกำลังกายเพื่อจะได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์และห่างไกลจากโรคร้าย


ที่มา: Food And WineThe Spruce Eats