สิ้นมนต์ขลังลูกหนังแซมบ้า? เกิดอะไรขึ้น หลัง 'บราซิล' แพ้ 3 นัดรวด

สิ้นมนต์ขลังลูกหนังแซมบ้า? เกิดอะไรขึ้น หลัง 'บราซิล' แพ้ 3 นัดรวด

ท่ามกลางประวัติศาสตร์ความยิ่งใหญ่ของทีม “แซมบ้า” บราซิล มีหนึ่งเรื่องราวของความภาคภูมิใจที่ยืนยงและยืนยาวมาหลายทศวรรษ สิ่งนั้นคือการที่ทีมชาติบราซิลไม่เคยแพ้เกมฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกในสนามมาราคาของตัวเองมาก่อน ซึ่งเป็นสถิติที่ยืนยงมาตั้งแต่ปี 1954 เลยทีเดียว

Keypoints:

  • ความพ่ายแพ้ต่ออาร์เจนตินา ชาติคู่ปรับตลอดกาลยิ่งตอกย้ำทำให้วงการฟุตบอลบราซิลต้องวิตกหนักมากขึ้นไปอีก เหตุผลเพราะนี่เป็นการพ่ายแพ้ในเกมฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก 3 นัดติดต่อกันเข้าไปแล้ว
  • ในความตกต่ำของทีมชาติบราซิลนั้น ความจริงแล้วไม่ใช่เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น แต่ในความเป็นจริงแล้วมันเกิดขึ้นอย่างช้าๆ ต่อเนื่องมายาวนานกว่า 2 ทศวรรษแล้ว หลังคว้าแชมป์โลกในปี 2002 จากนั้นฟุตบอลโลก 2006, 2010, 2014, 2018 และ 2022 พวกเขาไม่เคยผ่านเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศได้อีกเลย
  • ด้วยสิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ความกดดันทั้งหมดตกอยู่กับสหพันธ์ฟุตบอลบราซิลที่จะต้องหาทางนำทีมเซเลเซากลับมาทวงความยิ่งใหญ่ให้ได้อีกครั้ง แต่คำถามคือแล้วต้องทำอย่างไร?

เมื่อวันพุธ (22 พ.ย.) ที่ผ่านมา สถิติดังกล่าวได้ถูกทำลายลงไปแล้ว และยิ่งน่าเจ็บปวดมากขึ้นไปอีกเมื่อทีมแรกที่สามารถบุกมายัดเยียดความปราชัยให้แก่ชาวบราซิลได้คืออาร์เจนตินา ชาติคู่ปรับตลอดกาลแห่งแดนอเมริกาใต้ ที่บุกมาเอาชนะได้ 1-0 จากประตูโทนของนิโกลัส โอตาเมนดี

สิ้นมนต์ขลังลูกหนังแซมบ้า? เกิดอะไรขึ้น หลัง \'บราซิล\' แพ้ 3 นัดรวด

สิ้นมนต์ขลังลูกหนังแซมบ้า? เกิดอะไรขึ้น หลัง \'บราซิล\' แพ้ 3 นัดรวด
- เครดิตภาพ: Reuters -

ความพ่ายแพ้ครั้งนี้ทำให้สถานการณ์ของบราซิลยิ่งวิกฤติหนักขึ้นกว่าเดิม เพราะนี่คือการแพ้นัดที่ 3 ติดต่อกันในศึกฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก และนับเฉพาะในปีนี้ถือเป็นความพ่ายแพ้เกมที่ 4 เข้าไปแล้ว

เกิดอะไรขึ้นกับชนชาติที่เคยได้รับการยกย่องว่าเก่งกาจเกมลูกหนังที่สุดในโลก

ฤา มนต์ขลังลูกหนังแซมบ้าจะเสื่อมถอยแล้ว?

สิ้นสุดสถิติไร้เทียมทานที่มาราคานา

ในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก 1950 ทีมชาติบราซิล คาดหวังจะคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกสมัยแรกให้ได้บนแผ่นดินเกิดของพวกเขา แต่กลับถูกทีเด็ดของ อัลซิเดส จิกเกีย ทำประตูโทนให้อุรุกวัยบุกมาเอาชนะได้ที่สนามมาราคานา 1-0

เหตุการณ์ดังกล่าวได้รับการจดจำในนาม “มาราคานาโซ” หรือหากจะพูดให้เป็นแบบไทยๆ คือมาราคานาโศกที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในเวลาต่อมาของทีมชาติบราซิล

สิ้นมนต์ขลังลูกหนังแซมบ้า? เกิดอะไรขึ้น หลัง \'บราซิล\' แพ้ 3 นัดรวด
- เครดิตภาพ: Reuters -

นับจากนั้นเป็นต้นมาบราซิล ซึ่งเริ่มลงแข่งฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกเป็นครั้งแรกในปี 1954 (ก่อนหน้านั้นไม่เคยต้องเล่นรอบคัดเลือกมาก่อน เพราะในปี 1934 และ 1938 ชนะบายทั้งสองครั้ง) ก็ไม่เคยพ่ายแพ้ต่อทีมใดมาก่อนเลยในบ้านของตัวเอง

ความไร้เทียมทานของบราซิล เป็นสถิติที่ได้รับการบันทึกเอาไว้ดังนี้

  • ลงแข่ง 64
  • ชนะ 51
  • เสมอ 13
  • แพ้ 0

เรียกว่า เป็นความภาคภูมิใจที่ถูกส่งต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น ตั้งแต่เลโอนิดาส, การ์รินชา, เปเล, ทอสเทา, ซิโก, โรนัลโด, โรนัลดินโญ, กากา, โรบินโญ มาถึงเนย์มาร์

แต่สถิติดังกล่าวได้กลายเป็นอดีตไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อพวกเขาโดนอาร์เจนตินา บุกมากำราบได้ 1-0 ที่มาราคานาในเกมสุดดราม่า

ความร้อนแรงนั้นเริ่มตั้งแต่ก่อนที่เสียงนกหวีดแรกจะเริ่มต้นขึ้นเมื่อมีเหตุการณ์ความวุ่นวายเจ้าหน้าที่ตำรวจรักษาปลอดภัยได้พยายามเข้าควบคุมสถานการณ์และเกิดการปะทะกับแฟนบอลอาร์เจนตินาบนอัฒจันทร์ 

เหตุการณ์นั้นทำให้ลิโอเนล เมสซี ในฐานะกัปตันทีมฟ้าขาวตัดสินใจเดินนำทีมกลับเข้าห้องแต่งตัวทันที เพราะไม่พอใจที่ตำรวจบราซิลไล่ตีแฟนบอลเพื่อนร่วมชาติแบบนั้น

สิ้นมนต์ขลังลูกหนังแซมบ้า? เกิดอะไรขึ้น หลัง \'บราซิล\' แพ้ 3 นัดรวด
- เครดิตภาพ: Reuters -

ก่อนที่เกมจะกลับมาลงสนามได้อีกครั้ง และเมสซีก็มีการปะทะคารมกับโรดริโก ไอ้หนูมหัศจรรย์รุ่นใหม่ของบราซิลตั้งแต่ช่วงต้นเกม โดยที่เกมเต็มไปด้วยการปะทะตัดเกมกัน แทบจะหาโอกาสหรือจังหวะทำประตูกันไม่ได้

อาร์เจนตินามาได้ประตูขึ้นนำ 1-0 จากนิโกลัส โอตาเมนดี ปราการหลังจอมเก๋า และสามารถรักษาสกอร์เอาไว้ได้จนหมดเวลา

โดยที่บราซิลซึ่งไม่มีซูเปอร์สตาร์อย่างเนย์มาร์และวินิซิอุส จูเนียร์ที่มีอาการบาดเจ็บ ยังเสียเปรียบตัวผู้เล่นอีกในช่วงท้ายเกมเมื่อโชลินตัน กองกลางที่ถูกส่งลงมาเป็นตัวสำรองโดนไล่ออกในนาทีที่ 81

บราซิลจึงแพ้คามาราคานาในเกมฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกเป็นครั้งแรก และเป็นอีกครั้งที่พ่ายแพ้ต่ออาร์เจนตินา หลังจากที่แพ้ในเกมนัดชิงโคปา อเมริกาที่สนามแห่งนี้เมื่อ 2 ปีก่อน

สิ้นแล้วมนต์ขลังลูกหนังแซมบ้า?

ความพ่ายแพ้ต่ออาร์เจนตินา ชาติคู่ปรับตลอดกาลยิ่งตอกย้ำทำให้วงการฟุตบอลบราซิลต้องวิตกหนักมากขึ้นไปอีก เหตุผลเพราะนี่เป็นการพ่ายแพ้ในเกมฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก 3 นัดติดต่อกันเข้าไปแล้ว

  • อุรุกวัย 2-0 บราซิล (18 ต.ค. 2023)
  • โคลอมเบีย 2-1 บราซิล (17 พ.ย. 2023) 
  • บราซิล 0-1 อาร์เจนตินา (22 พ.ย.2023)

นั่นทำให้ผ่านเกมรอบคัดเลือกมา 6 นัด บราซิลมีเพียงแค่ 7 คะแนนเท่านั้น อยู่ในอันดับที่ 6 ของโซนอเมริกาใต้

ทั้งนี้ แม้สถานการณ์การลุ้นเข้ารอบสุดท้ายฟุตบอลโลก 2026 ที่จะจัดขึ้น 3 ประเทศในโซนอเมริกาเหนือ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา, แคนาดา และเม็กซิโก จะไม่ถึงขั้นวิกฤติเพราะด้วยการเพิ่มจำนวนทีมที่จะเข้ารอบสุดท้ายเป็น 48 ทีมทำให้แค่ติด 6 อันดับแรกของกลุ่มก็เพียงพอต่อการเข้ารอบแล้ว

แต่ปฏิเสธไม่ลงจริงๆ ว่าผลงานในช่วงนี้ของบราซิลทำให้เกิดวิกฤติศรัทธาอย่างรุนแรง

สิ้นมนต์ขลังลูกหนังแซมบ้า? เกิดอะไรขึ้น หลัง \'บราซิล\' แพ้ 3 นัดรวด
- เครดิตภาพ: Reuters -

นั่นเป็นเพราะนับตั้งแต่ตกรอบฟุตบอลโลก 2022 ด้วยการพ่ายแพ้ต่อทีมชาติโครเอเชียด้วยการดวลจุดโทษในรอบ 8 ทีมสุดท้าย บราซิลเริ่มออกทะเลตั้งแต่การแพ้โมร็อคโก 2-1 ในเกมอุ่นเครื่องเมื่อเดือนมีนาคม และแพ้เซเนกัลคาบ้านอีกเช่นกันในเดือนมิถุนายน

พูดง่ายๆ คือถ้ารวมกับเกมฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกด้วยแล้ว บราซิลแพ้ถึง 5 นัดจากการลงสนามทั้งหมด 9 นัด! แม้ในรายละเอียดพวกเขาจะแพ้แชมป์โลกอาร์เจนตินา, แชมป์แอฟริกา เซเนกัล, ทีมที่เข้ารอบรองชนะเลิศฟุตบอลโลก โมร็อกโก และสองทีมระดับหัวแถวของละตินอเมริกาอย่างโคลอมเบียและอุรุกวัย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ยอมรับได้สำหรับทีมอย่างบราซิล

ส่วน 4 นัดที่ไม่แพ้ เป็นการชนะทีมชาติกินี 4-1 (อุ่นเครื่อง), ชนะโบลิเวีย 5-1, ชนะเปรู 1-0 และเสมอกับเวเนซูเอลา 1-1 

ผลงานนี้หากจะมีใครตั้งคำถามว่ามนต์ขลังลูกหนังแซมบ้าที่เคยยิ่งใหญ่กำลังเสื่อมคลายหรือไม่ ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

นี่คือยุคที่ทีมชาติบราซิลตกต่ำที่สุดอย่างชัดเจน

ไม่มีโค้ช ไม่มีซูเปอร์สตาร์ ไม่มีสไตล์ ไม่มีอะไรเลย

ในความตกต่ำของทีมชาติบราซิลนั้น ความจริงแล้วไม่ใช่เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น แต่ในความเป็นจริงแล้วมันเกิดขึ้นอย่างช้าๆ ต่อเนื่องมายาวนานกว่า 2 ทศวรรษแล้ว 

หากยังจำกันได้ครั้งสุดท้ายที่บราซิลคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกได้คือปี 2002 ซึ่งจัดขึ้นในเอเชียโดยมีเกาหลีใต้และญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพร่วมกันครั้งแรก ในยุคนั้นทีม “เซเลเซา” เต็มไปด้วยซูเปอร์สตาร์ระดับนามอุโฆษอยู่เต็มทีมไปหมด

เริ่มจาก “RRR” โรนัลโด-โรนัลดินโญ-ริวัลโด นอกจากนี้ยังมี โรแบร์โต คาร์ลอส และคาฟู สองสุดยอดวิงแบ็กระดับตำนาน รวมถึงเทพบุตรลูกหนังที่กำลังแจ้งเกิดในยุคนั้นอย่างริคาร์โด กากา

นั่นเป็นแชมป์ฟุตบอลโลกสมัยที่ 5 ของพวกเขา ซึ่งไม่มีชาติใดเทียบได้ และเป็นการคว้าแชมป์โลกสมัยที่ 2 จาก 3 สมัยหลังสุดที่ผ่านเข้าชิงชนะเลิศ (1994,1998,2002) เรียกได้ว่าเป็นยุคทองของวงการลูกหนังเมืองแซมบ้าต่อจากยุคของเปเล (ได้แชมป์โลก 1958,1962,1970)

แต่หลังจากนั้นเป็นต้นมาทีมชาติบราซิลก็ตกต่ำลงและไม่เคยกลับไปยืนในจุดเดิมได้อีกเลย

ฟุตบอลโลก 2006, 2010, 2014, 2018 และ 2022 พวกเขาไม่เคยผ่านเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศได้ โดยเฉพาะในปี 2014 ที่ได้เป็นเจ้าภาพอีกครั้งสนรอบ 74 ปี และมีซูเปอร์สตาร์อย่าง เนย์มาร์ นำทัพ แต่สุดท้ายพ่ายแพ้ต่อเยอรมนีชนิดที่เศร้ากันทั้งประเทศถึง 7-1 (เกมนั้นไม่มีเนย์มาร์ที่บาดเจ็บรุนแรงที่หลัง)

สิ่งที่น่าจับตามองต่อมาคือในยุคหลังเราแทบไม่เห็นโคตรนักบอลจากบราซิลเหมือนในอดีตแล้ว 

คนล่าสุดที่พอจะเรียกได้ว่าเป็น “ระดับโลก” ของจริงคือเนย์มาร์ ซึ่งก็น่าเสียดายที่ไปได้ไม่สุดเส้นทาง ขณะที่รุ่นปัจจุบันนั้นไม่มีนักเตะที่อยู่ในระดับใกล้เคียงเลย แม้ว่าจะมีดาวดังอย่าง กาเบรียล มาร์ติเนลลี, วินิซิอุส จูเนียร์, ราฟินญา หรือแม้แต่โรดริโก

แต่นักเตะเหล่านี้ดูแล้วไม่สามารถเทียบกับรุ่นพี่ในอดีตได้เลย

ขณะเดียวกัน บราซิลยังประสบปัญหาไม่มีแม้กระทั่งโค้ชตัวจริง ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากจะเชื่อว่าประเทศที่คลั่งไคล้ในเกมลูกหนังและมีศาสตร์เฉพาะของตัวเองไม่สามารถที่จะหาคนดีมีฝีมือเข้ามากอบกู้ได้

โดยหลังจากจบฟุตบอลโลก 2022 ด้วยความผิดหวัง ติเต ได้อำลาตำแหน่งไปโดยที่สหพันธ์ฟุตบอลบราซิล (CBF) ยังไม่สามารถหาใครเข้ามารับช่วงต่อได้ และยังมีกระแสข่าวว่าจะรับช่วงต่อคือ คาร์โล อันเชล็อตติ ยอดกุนซือที่ไม่ได้เป็นคนบราซิลแต่เป็นชาวอิตาลี ที่ต้องรอให้หมดสัญญากับเรอัล มาดริดในปีหน้า (2024) ก่อน

ระหว่างนี้จึงเป็นคนกันเองอย่างรามอน เมเนเซส โค้ชทีมทีมชาติรุ่นเล็กอายุไม่เกิน 20 ปี ก่อนที่จะเป็นเฟร์นานโด ดินิซ ที่เข้ามารับงานควบคู่ไปกับการคุมทีมสโมสรฟลูมิเนนเซ

ถึงดินิซจะทำผลงานได้ยอดเยี่ยมกับฟลูมิเนนเซ ด้วยการพาทีมคว้าแชมป์โคปา ลิเบอร์ตาดอเรส คัพ มาครองได้สำเร็จเมื่อไม่นานมานี้ ด้วยสไตล์การเล่นฟุตบอลที่ยอดเยี่ยม แต่เขายังไม่สามารถทำให้บราซิลเล่นได้ดีในแบบเดียวกัน

สิ้นมนต์ขลังลูกหนังแซมบ้า? เกิดอะไรขึ้น หลัง \'บราซิล\' แพ้ 3 นัดรวด
- เครดิตภาพ: Reuters -

บราซิลตอนนี้ไม่เหลือเค้าลางของทีมที่เคยร่ายมนต์ที่ปลายเท้าสะกดคนทั้งโลกอีกแล้ว นี่คือเรื่องที่น่าเศร้าที่สุด

ปลุกจิตวิญญาณ Ginga และ Joga Bonito

ด้วยสิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ความกดดันทั้งหมดตกอยู่กับสหพันธ์ฟุตบอลบราซิลที่จะต้องหาทางนำทีมเซเลเซากลับมาทวงความยิ่งใหญ่ให้ได้อีกครั้ง

ปลุกจิตวิญญาณของชาติอย่าง “Ginga” อันเป็นทั้งปรัชญาในการดำเนินชีวิตและจังหวะการเล่นฟุตบอล

ปลุกสไตล์การเล่นฟุตบอลที่งดงามในแบบ “Joga Bonito” (Play beautifully) ที่เคยทำให้คนทั้งโลกหลงรักฟุตบอลบราซิลมาแล้ว 

แต่คำถามคือแล้วต้องทำอย่างไร?

ในระหว่างที่ยังไม่สามารถพึ่งพาสหพันธ์ฟุตบอลบราซิลที่เป็นสาเหตุสำคัญในการขาดการวางแผนการพัฒนาวงการฟุตบอลภายในประเทศที่เวลานี้ดูจะเดินตามหลังชาติอื่นไปไกลแล้ว สิ่งที่โค้ชชั่วคราวอย่างดินิซพยายามทำคือการช่วยให้ทีมค้นหาสิ่งที่หายไปให้เจอ

แนวทางของดินิซคล้ายกับที่ทีมชาติอาร์เจนตินาพยายามที่จะหาหนทางกลับมาหลังความล้มเหลวในฟุตบอลโลก 2018

ครั้งนั้นสหพันธ์ฟุตบอลอาร์เจนตินาเลือกเซซาร์ หลุยส์ เมน็อตติ อดีตโค้ชผู้เคยพาทีมฟ้าขาวคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกหนแรกในปี 1978 กลับมาช่วยชาติอีกครั้งในปี 2019 หรือกว่า 41 ปีให้หลัง ในบทบาทของผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิค

โจทย์แรกของเมน็อตติคือการ “ค้นหาแก่นแท้และพันธุกรรม” ของฟุตบอลอาร์เจนตินาที่หายไป

สิ่งที่ทำคือการเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายได้มีการพูดคุยแลกเปลี่ยนกันอย่างอิสระว่าตกลงแล้วฟุตบอลอาร์เจนตินาควรจะเล่นกันแบบไหน เพราะถึงโลกฟุตบอลสมัยใหม่จะล้ำหน้าไปมากโดยเฉพาะในยุคหลังที่ได้รับอิทธิพลจากฟุตบอลของเป๊ป กวาร์ดิโอลา 

“นักฟุตบอลของเราก็เป็นในแบบของเรา เราไม่สามารถจะเล่นแบบบาร์เซโลนาของกวาร์ดิโอลาได้” เมน็อตติกล่าวในช่วงเวลานั้น

นั่นทำให้อาร์เจนตินาค่อยๆ พาตัวเองกลับมาสู่รากเหง้าของตัวเอง ฟุตบอลเท้าสู่เท้าที่แม่นยำ การให้แล้วไป (Pass-and-move) เล่นกันอย่างมีอิสระ โดยที่หัวใจสำคัญความสัมพันธ์ระหว่างนักเตะที่เกิดจากการเล่นร่วมกัน ซึ่งนักเตะอาร์เจนไตน์จะผ่านการเล่นรู้จากการเล่นใน “Potrero” หรือพื้นที่ออกกำลังกายในชุมชนที่ทุกคนจะได้มาเตะฟุตบอลเล่นด้วยกันอย่างสนุกสนาน

ดินิซ พยายามจะหาทางทำให้บราซิลกลับมาในแบบเดียวกัน โดยยืนยันว่าสำหรับเขาแล้วผลการแข่งขันไม่ใช่เรื่องสำคัญที่สุด แต่เป็นเรื่องของการพยายามจุดประกายให้ทีมได้ค้นพบสิ่งสำคัญที่ขาดหายไปในสไตล์ของฟุตบอลบราซิล

ฟุตบอลที่สวยงาม เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ เล่นกันอย่างอิสระ เปรียบไปก็จะคล้ายกับการบรรเลงเพลงแจ๊สในสนามฟุตบอล ซึ่งเขาทำสำเร็จในระดับสโมสรกับฟลูมิเนนเซ

แต่สำหรับทีมชาติบราซิลนั้นเป็นเรื่องที่ยากกว่ามาก ไม่เพียงแต่ความคาดหวังสูง น้ำหนักของความกดดันหนักหนา

นักเตะบราซิลในยุคปัจจุบันเองก็ดูเหมือนจะไม่มีในสิ่งที่ดินิซมองหานัก นอกจากเนย์มาร์ (ที่ต้องพักการเล่นยาวและสภาพร่างกายในปัจจุบันก็เริ่มเสื่อมถอยลงไปทุกที) แล้วแทบมองไม่เห็นนักเตะคนไหนที่จะเล่นได้สวยงามในแบบที่เคยคุ้น 

นักเตะที่พอมีแววอย่างวินิซิอุส, โรดริโก หรือมาร์ติเนลลี และเอ็นดริก น้องใหม่ในวัย 17 ปี ทั้งหมดก็ยังเป็นเพชรที่ยังไม่ได้รับการเจียระไนจนเปล่งประกายอย่างสมบูรณ์ และไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาจะไปถึงจุดเดียวกับที่รุ่นพี่เคยไปถึงหรือไม่

ดังนั้น การจะปลุกมนต์ขลังลูกหนังบราซิลกลับมาอีกครั้งจึงไม่ใช่เรื่องง่าย และบางทีมันอาจต้องย้อนกลับไปถึงต้นทางอย่างสหพันธ์ฟุตบอลบราซิลที่จะต้องเป็นคนวางยุทธศาสตร์ในการพาพวกเขากลับมายืนที่เก่าให้ได้

ออกแบบระบบฟุตบอลเยาวชน ออกแบบอัตลักษณ์ตัวตนของฟุตบอลบราซิล วางแนวทางที่ชัดเจนที่จะทำให้บราซิลกลับมายิ่งใหญ่ให้ได้อีกครั้ง มันอาจจะต้องเสียเวลาบ้าง 5 ปี 10 ปี หรือ 20 ปี แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าการปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปแบบนี้

จะมาหวังว่าเดี๋ยวจะมีนักเตะฟ้าประทานเหมือนในอดีตอย่างเดียวมันไม่ได้แล้วเน้อแซมบ้า!

-------------------------------------