เบื้องลึก! บอกลาลิเวอร์พูล ของ เจอร์เกน คล็อปป์ สะเทือนไปไกลกว่าแค่แอนฟิลด์
เบื้องลึก! การบอกลา "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล ของ "เจอร์เกน คล็อปป์" การตัดสินใจที่สะเทือนไปไกลกว่าแค่ "แอนฟิลด์"
Key Points
• คล็อปป์ย้ำเป็นอย่างแรกว่าเขามีความสุขดีทุกอย่างกับสโมสร รักลิเวอร์พูลเหมือนเดิม และไม่ได้รักแค่ทีมแต่รักนักเตะทุกคน รักสตาฟฟ์โค้ช รักเมืองแห่งนี้ และที่สำคัญที่สุดคือความรักที่มีให้ต่อแฟนบอลนั้นยังเหมือนเดิม ปัญหาเกิดจากตัวของเขาเองที่อายุมากขึ้นและไม่มั่นใจแล้วว่ายังเหลือเรี่ยวแรงที่จะกลับมาทำงานหนักในแบบนี้ต่อไปไหวไหมในอนาคต
• ในเบื้องหลังแล้วคล็อปป์เปิดเผยว่าได้แจ้งกับทางสโมสรมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน หรือเมื่อ 2 เดือนที่แล้วถึงการตัดสินใจที่จะไปจากทีมหลังสิ้นสุดฤดูกาลนี้ แม้ว่าจะมีสัญญาเหลือจนถึงปี 2026 เพราะเพิ่งจะขยายสัญญาออกไปเมื่อเดือนเมษายน 2022
• สำหรับคล็อปป์เขาเชื่อว่าเขาได้วางโครงสร้างที่ดี สร้างนักเตะที่เก่งกาจและพร้อมใช้งานในอีกหลายปีข้างหน้าเอาไว้ให้แล้ว นี่คือมรดกหรือของขวัญชิ้นสุดท้ายที่ดีที่สุดเท่าที่จะมอบให้แก่แฟนลิเวอร์พูลในวันที่จะต้องอำลากัน • นักวิเคราะห์มองว่ามีโอกาสที่คล็อปป์จะกลับมาทำงานในวงการฟุตบอลอีก แต่อาจจะเป็นการรับงานคุมทีมชาติเยอรมนีซึ่งเป็นสิ่งที่เขาฝันถึง และมองตามสถานการณ์แล้วมีโอกาสที่จะได้รับงานไม่ยากหากพร้อมที่จะกลับมาทำงาน
โลกฟุตบอลสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาเมื่อ "เจอร์เกน คล็อปป์" สุดยอดผู้จัดการทีม “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ประกาศข่าวที่ไม่มีใครเคยคาดคิดมาก่อนว่าจะขออำลาจากถิ่น แอนฟิลด์ หลังจบภารกิจในฤดูกาลนี้
ข่าวนี้ทำให้แฟนฟุตบอลเดอะ ค็อปช็อกและหัวใจสลายกันถ้วนหน้า เพราะไม่เคยมีสัญญาณใดๆจากนายใหญ่ชาวเยอรมัน ว่าต้องการที่จะไปจากทีมมาก่อนเลย
อีกทั้งผลงานของลิเวอร์พูลในฤดูกาลนี้ก็สุดร้อนแรง สามารถยึดจ่าฝูงพรีเมียร์ลีกได้ เข้าชิงรายการคาราบาวคัพ และยังอยู่ในเส้นทางของรายการเอฟเอ คัพ กับยูเอฟา ยูโรปา ลีก หรือพูดง่ายๆคือยังมีลุ้นอยู่ครบทั้ง 4 รายการ
การแจ้งข่าวเตรียมอำลาล่วงหน้าของคล็อปป์จึงนำไปสู่คำถามมากมาย ที่แฟนๆพยายามตั้งข้อสังเกตว่าอะไรที่ทำให้ผู้จัดการทีมที่ดูรักสโมสรและมีแพชชันในการทำงานอย่างแรงกล้าเลือกที่จะไปแบบนี้
หรือจะมีปัญหาภายในสโมสรที่รุนแรง เพราะไม่ใช่แค่คล็อปป์ที่จะไปแต่ทีมสตาฟฟ์ทุกคนรวมถึงเป๊ป ไลน์เดอร์ส มือขวาที่เคยถูกมองว่าจะเป็นคนรับช่วงต่อก็พร้อมจะไปด้วยเช่นกัน
แต่ในการเปิดใจของบอสชาวเยอรมัน ได้ไขข้อสงสัยมากพอสมควร
“ผมคือรถซิ่งที่วิ่งไม่ไหว”
เพื่อลดความสับสน คล็อปป์ได้เปิดใจถึงการตัดสินใจที่จะไปจากลิเวอร์พูลในครั้งนี้อย่างละเอียด
โดยกุนซือชาวเยอรมันในวัย 56 ปีได้บันทึกคลิปวีดีโอเพื่อบอกเล่าความรู้สึกจากหัวใจอย่างชัดเจน “เรื่องนี้คงจะทำให้หลายคนช็อก แต่เป็นเรื่องที่ผมคิดว่าผมอธิบายได้หรืออย่างน้อยขอให้ผมได้พยายามอธิบาย”
คล็อปป์ย้ำเป็นอย่างแรกว่าเขามีความสุขดีทุกอย่างกับสโมสร รักลิเวอร์พูลเหมือนเดิม และไม่ได้รักแค่ทีมแต่รักนักเตะทุกคน รักสตาฟฟ์โค้ช รักเมืองแห่งนี้ และที่สำคัญที่สุดคือความรักที่มีให้ต่อแฟนบอลนั้นยังเหมือนเดิม
เพียงแต่บางครั้งความรักอย่างเดียวไม่เพียงพอ
ปัญหาเกิดจากตัวของเขาเองที่อายุมากขึ้นและไม่มั่นใจแล้วว่ายังเหลือเรี่ยวแรงที่จะกลับมาทำงานหนักในแบบนี้ต่อไปไหวไหมในอนาคต
เพื่อเปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดเจนที่สุด คล็อปป์ยกตัวอย่างว่า “ผมเป็นเหมือนรถสปอร์ตแรงๆคันหนึ่ง ที่สามารถทำความเร็วได้ 170-180 ไมล์ต่อชั่วโมง คนมองจากข้างนอกก็จะเห็นว่าเป็นรถที่เร็วและแรงมาก แต่ไม่มีใครมองเห็นภายในได้ว่ารถคันนี้เหลือน้ำมันแค่ไหน”
ปัญหาคือคล็อปป์รู้แล้วว่าน้ำมันในถังของเขาใกล้หมดแล้ว และตัวเขาเองก็ไม่ใช่คนที่จะถอนคันเร่งง่ายๆด้วย ดังนั้นจึงจะเหยียบให้สุดจนน้ำมันหมดถัง จนรถวิ่งต่อไปไม่ไหว
เมื่อถึงวันนั้นก็จะต้องหยุดพัก และวันนี้ก็คือวันนั้นพอดี
เบื้องหลังการบอกลา
การบอกลาของคล็อปป์ครั้งนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นการบอกลาที่ไม่เปิดโอกาสให้ใครตั้งตัว
อย่าว่าแต่แฟนฟุตบอลทั่วโลก แม้กระทั่งนักเตะของลิเวอร์พูลเองก็เพิ่งได้รู้ข่าวในช่วงเช้าวันศุกร์ก่อนการลงฝึกซ้อมเช่นกัน แต่บอสใหญ่แห่งแอนฟิลด์ยืนยันว่าการออกมาบอกทุกคนในตอนนี้คือช่วงเวลาที่ดีที่สุดแล้ว
โดยในเบื้องหลังแล้วคล็อปป์เปิดเผยว่าได้แจ้งกับทางสโมสรมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน หรือเมื่อ 2 เดือนที่แล้วถึงการตัดสินใจที่จะไปจากทีมหลังสิ้นสุดฤดูกาลนี้ แม้ว่าจะมีสัญญาเหลือจนถึงปี 2026 เพราะเพิ่งจะขยายสัญญาออกไปเมื่อเดือนเมษายน 2022
สิ่งที่ตอกย้ำทำให้กุนซือเจ้าของสมญา “The Normal One” มั่นใจความรู้สึกของตัวเองเกิดขึ้นในการประชุมร่วมกับทีมถึงการเตรียมแผนงานสำหรับฤดูกาลต่อไป ซึ่งเป็นปกติสำหรับสโมสรใหญ่ที่จะมีการวางแผนงานกันล่วงหน้าเป็นระยะเวลายาวนาน
ในขณะที่เดือนพฤศจิกายน ซึ่งเป็นเดือนที่ 3-4 ของฤดูกาล แต่ต้องคิดถึงการทำงานต่อไปในปีหน้า คล็อปป์รู้สึกว่าตัวเองเขาไม่เหลือพลังที่จะสามารถทำงานได้อย่างเต็มที่เหมือนเดิมอีกแล้ว
และความจริงคือคล็อปป์รู้สึกว่าตัวเอง “หมด” ตั้งแต่ฤดูกาลที่แล้ว (2022-23) ซึ่งเป็นช่วงที่ลิเวอร์พูลจู่ๆก็ประสบปัญหาฟอร์มการเล่นตกต่ำอย่างหนักที่สุด นักเตะที่สู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันมาฟอร์มตกพร้อมๆกัน โดยที่แม้จะพยายามหาทางอย่างไรก็ไม่เจอทางออก
ช่วงเวลานั้นคล็อปป์รู้สึกว่าถ้าเป็นสโมสรอื่นที่เผชิญสถานการณ์ในแบบเดียวกันผู้จัดการทีมน่าจะโดนไล่ออกไปแล้ว ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นก็จะรู้สึกโล่งใจ
แต่ "ลิเวอร์พูล" ไม่ได้ไล่เขาออก ทำให้เขายังต้องทำงานต่อไป
ของขวัญชิ้นสุดท้าย
อย่างไรก็ดีถึงจะรู้สึกหมดพลัง แต่ในใจของคล็อปป์ก็รู้สึกถึงความรับผิดชอบในฐานะผู้จัดการทีมลิเวอร์พูล
เขาไม่สามารถจะทิ้งทีมไปในสถานการณ์แบบนี้ได้ เพราะลิเวอร์พูลกำลังแตกสลาย ทุกอย่างที่สร้างร่วมกันมาหลายปีกำลังเป็นเศษซากปรักหักพังที่อาจจะไม่เหลือแม้แต่ความทรงจำ
สุดท้ายคล็อปป์ตัดสินใจว่าอย่างน้อยที่สุดเขาขอนำลิเวอร์พูลให้กลับมาเข้ารูปเข้ารอยอีกครั้ง กลับเข้าฝั่งให้เจอก่อนแล้วจากนั้นจึงค่อยไป
นับจากจุดนั้นเองที่ลิเวอร์พูลได้เริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงภายในทีมขนานใหญ่ เกิดการคิดค้นระบบฟุตบอลใหม่โดยมีเทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์เป็นศูนย์กลาง มีการปรับเปลี่ยนขุมกำลังในทีมมีนักเตะใหม่ๆอย่างโดมินิก โซโบสไล, อเล็กซิส แม็คคัลลิสเตอร์, ไรอัน คราเฟนแบร์ก, วาตารุ เอ็นโด
รวมถึงนักเตะจากอคาเดมีอย่างจาเรลล์ ควานซาห์ และคอเนอร์ แบรดลีย์เข้ามาเติมความสดชื่นให้ทีม
การเปลี่ยนแปลงนั้นได้ผลดีเกินคาด “Liverpool Reloaded” หรือ “Liverpool 2.0” ของคล็อปป์ผงาดกลับมาเป็นทีมที่แข็งแกร่งอีกครั้ง ผ่านบทพิสูจน์ต่างๆมากมายในระหว่างฤดูกาลจนได้กลับมาเป็นทีมจ่าฝูงของพรีเมียร์ลีก มีโอกาสลุ้นแชมป์อีกครั้งได้สำเร็จ
สำหรับคล็อปป์เขาเชื่อว่าเขาได้วางโครงสร้างที่ดี สร้างนักเตะที่เก่งกาจและพร้อมใช้งานในอีกหลายปีข้างหน้าเอาไว้ให้แล้ว
นี่คือมรดกหรือของขวัญชิ้นสุดท้ายที่ดีที่สุดเท่าที่จะมอบให้แก่แฟน "ลิเวอร์พูล" ในวันที่จะต้องอำลากัน เพื่อปิดฉาก “ยุคสมัยของคล็อปป์” อย่างสมบูรณ์
กุนซืออินทรีเหล็กในอนาคต?
สำหรับเส้นทางในอนาคต คล็อปป์ยืนยันหนักแน่นว่าเขาจะพักการทำงาน และหากใครมาถามว่ามีโอกาสจะกลับมาคุมทีมอีกครั้งในอนาคตหรือไม่
คำตอบก็คือ “ไม่” หรืออย่างน้อยที่สุดเขาจะไม่มีวันกลับมารับงานคุมทีมใดในอังกฤษอีก
ในการเปิดใจกุนซือชาวเยอรมันบอกว่า “ผมบอกทุกคนตั้งแต่วันแรกแล้วว่าผมก็เป็นแค่ผู้ชายธรรมดา (The Normal Guy) ที่วันนี้ก็ยังเป็นแค่ผู้ชายธรรมดา เพียงแต่ผมไม่มีโอกาสได้ใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดา และผมก็ไม่อยากจะใช้ชีวิตแบบนั้นในวันที่สายเกินไป”
ในความหมายคือคล็อปป์แทบไม่ได้พักจากการทำงานเลยตลอด 24 ปีที่ผ่านมา ทุกครั้งที่ได้พักจะเป็นเพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ซึ่งรวมถึงในวันที่อำลาโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ก็กลับมารับงานคุมทีมลิเวอร์พูลภายในระยะเวลาแค่ไม่กี่เดือน
"คล็อปป์"บอกกับแฟนๆทุกคนว่าไม่ต้องเป็นห่วง เมื่ออำลาทีมแล้วเขาจะพยายามหาอะไรทำ แม้ว่าในความรู้สึกลึกๆแล้วก็ไม่มั่นใจว่าสุดท้ายเมื่ออำลาไปแล้วเขาจะคิดถึงการทำงาน คิดถึงทุกคนหรือเปล่า
ขณะที่นักวิเคราะห์มองว่ามีโอกาสที่คล็อปป์จะกลับมาทำงานในวงการฟุตบอลอีก แต่อาจจะเป็นการรับงานคุมทีมชาติเยอรมนีซึ่งเป็นสิ่งที่เขาฝันถึง และมองตามสถานการณ์แล้วมีโอกาสที่จะได้รับงานไม่ยากหากพร้อมที่จะกลับมาทำงาน
ใครจะมาทดแทนคนที่ไม่มีใครทดแทนได้
ส่วนลิเวอร์พูลนั้นเป็นเรื่องที่ยากกว่ามาก นั่นเพราะการอำลาของคล็อปป์ไม่ใช่การอำลาแค่คนเดียว แต่ทีมงานทุกชีวิตของเขาตัดสินใจที่จะอำลาไปด้วยกันหมด
ไม่ว่าจะเป็นไลน์เดอร์ส มือขวาคนเก่ง, ปีเตอร์ คราเวียตซ์ มือซ้ายคู่บุญที่ร่วมงานกันมายาวนานเกินกว่า 2 ทศวรรษจะไปจากลิเวอร์พูลพร้อมคล็อปป์เลย หรือแม้แต่ยอร์ก ชมัดเคอ ผู้อำนวยการสโมสรที่เข้ามารับงานชั่วคราวก็จะอำลาทีมตั้งแต่สิ้นสุดเดือนนี้ด้วย
ไม่นับการที่ลิเวอร์พูลสูญเสียมือดีที่ทำงานหลังบ้านไปมากมายไม่ว่าจะเป็น ไมเคิล เอ็ดเวิร์ดส, จูเลียน วอร์ด ที่นั่งแท่นผู้อำนวยการสโมสรไปจนถึงเอียน เกรแฮม ฝ่ายวิเคราะห์ผู้อยู่เบื้องหลังการเสนอให้ดึงตัวคล็อปป์มาสู่แอนฟิลด์
เรียกได้ว่าขุนพลยุคสมัยที่เรืองรองไม่มีใครเหลือ
นั่นเป็นงานของ Fenway Sports Group ในฐานะเจ้าของสโมสรที่จะต้องพยายามหาทางสร้างลิเวอร์พูลขึ้นมาใหม่อีกครั้งให้ได้ ซึ่งไม่ง่ายอย่างแน่นอนเพราะที่ผ่านมามีการมองว่าลิเวอร์พูลประสบความสำเร็จเกินกว่าการลงทุนเพราะฝีมือการทำงานของคล็อปป์ และวิสัยทัศน์ของผู้อำนวยการอย่างเอ็ดเวิร์ดสที่วางแนวทางเอาไว้ดี
เริ่มจากห้องทำงานและเก้าอี้ผู้จัดการทีมที่ว่างลงจะตกเป็นของใครต่อ?
มีการพูดถึงชื่อของผู้จัดการทีมฝีมือดีในเวลานี้หลายคน ไม่ว่าจะเป็น ชาบี อลอนโซ อดีตกองกลางมาดคุณชายที่กำลังไปได้สวยกับไบเออร์ เลเวอร์คูเซน, โรแบร์โต เดอ แซร์บี ที่ยกระดับไบรท์ตันจนเป็นทีมชั้นนำของอังกฤษ ไปจนถึงซีเนอดีน ซีดาน อดีตนายใหญ่เรอัล มาดริด
แต่เวลานี้ยังเร็วเกินไปที่จะคิดอ่าน
ระหว่างนี้ไปจนจบฤดูกาล สิ่งที่คล็อปป์อยากให้ทีมและแฟนบอลทุกคนทำคือการทำช่วงเวลาที่เหลืออยู่ให้มีความหมายมากที่สุด และเขาจะลุยเต็มที่จนถึงวินาทีสุดท้ายอย่างแน่นอน