ไขรหัสบริหาร ซีอีโอ “จระเข้” ดันแบรนด์ ติดท็อปวงการก่อสร้าง

ไขรหัสบริหาร ซีอีโอ “จระเข้” ดันแบรนด์ ติดท็อปวงการก่อสร้าง

เปิดแนวคิด “ศุภพงษ์ เพชรสุทธิ์” ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท จระเข้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด หนึ่งในผู้ก่อตั้ง เดินหน้าธุรกิจจระเข้ฯ คือ ผลิตสินค้าที่เป็นนวัตกรรมเท่านั้น และต้องตอบเรื่องความยั่งยืน

จากปี 2535 ที่คนหนุ่ม 5 คนจากค่ายยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมก่อสร้าง ออกมาก่อตั้งบริษัทของตัวเอง ด้วยการคว้าโอกาสด้านนวัตกรรมวัสดุก่อสร้าง จนปัจจุบัน สามารถสร้างรายได้กว่า 3,700 ล้านบาท

“ศุภพงษ์ เพชรสุทธิ์” ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท จระเข้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด หนึ่งในผู้ก่อตั้ง กล่าวถึงแนวทางการดำเนินธุรกิจภายใต้ปรัชญา “นวัตกรรมก่อสร้างความสุขเพื่อคุณและครอบครัว” ซึ่งเน้นการพัฒนาสินค้านวัตกรรมควบคู่กับความยั่งยืนตั้งแต่เริ่มก่อตั้งบริษัท

วางธุรกิจตอบโจทย์ความยั่งยืน

ศุภพงษ์ กล่าวว่า สินค้าที่บริษัทฯ ผลิต เป็นสินค้านวัตกรรมตั้งแต่เริ่มต้น และยังเดินหน้าผลิตสินค้านวัตกรรมในตลาดวัสดุก่อสร้างควบคู่กับการตอบโจทย์โลกเรื่องความยั่งยืน โดยใช้กลยุทธ์ 5 SD ได้แก่ 1. ​​ลดการปล่อยคาร์บอน 2. ลดปริมาณขยะและของเสีย 3. ลดการใช้สารพิษ 4. เพิ่มสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และ 5. สนับสนุนกิจกรรมส่งเสริมคุณภาพชีวิต​ มีเป้าหมายมุ่งสู่องค์กรที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ซึ่งคาดว่าปีนี้ จะมีความชัดเจนเรื่องของ Carbon Neutrality ชัดเจนมากยิ่งขึ้น จากการจ้างบริษัทที่ปรึกษาเข้ามาวัดปริมาณคาร์บอนของบริษัทฯ เสร็จเรียบร้อย

แนวคิดการเดินหน้าธุรกิจของจระเข้ฯ คือ การผลิตสินค้าที่เป็นนวัตกรรมเท่านั้น และต้องตอบเรื่องความยั่งยืนด้วย โดยปีที่ผ่านมา บริษัทฯ สามารถสร้างรายได้รวมราว 3,700 ล้านบาท ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการตั้งสำนักงานที่โฮจิมินห์ ภาคใต้ของเวียดนาม ภายใต้ชื่อ บริษัท จระเข้ เวียดนาม จำกัด เพื่อขยายตลาดอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งสอดรับแผนธุรกิจที่พยายามเดินหน้าบุกตลาด CLMV อย่างเต็มที่ เนื่องจากตลาดกาวซีเมนต์และยาแนวในประเทศค่อนข้างเต็ม ทำให้ขยายตลาดยาก ในขณะที่ตลาดเวียดนามซึ่งกำลังขยายตัว มีการใช้สินค้าดังกล่าวมากกว่าในไทยถึง 3 เท่าตัว

โดยขณะนี้ ยังใช้ไทยเป็นฐานส่งผลิตภัณฑ์ เนื่องจากต้องรอให้สามารถทำยอดขายในเวียดนามได้ปริมาณที่เหมาะสมก่อน จึงจะไปเปิดโรงงานผลิตที่นั่น นอกจากนี้ ยังมีแผนขยายตลาดไปประเทศมาเลเซียต่อเนื่อง

ศุภพงษ์ ย้ำว่า เป้าการเติบโตของจระเข้ จะเน้นกลุ่มสินค้าครบวงจร โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าเคมีก่อสร้างและกลุ่มผลิตภัณฑ์สีจระเข้ (SEE JORAKAY) ที่เป็นสีปลอดภัย สีจากธรรมชาติ รายแรกในไทย เป็นการเน้นย้ำว่า จระเข้มีทิศทางดำเนินธุรกิจที่ชัดเจน และมีนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมที่ชัดเจนด้วยเช่นกัน ซึ่งทุกอย่างผนวกเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินธุรกิจ ทั้งการดำเนินการตามแนว ESG (Environment, Social, และ Governance) และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs)

“การเริ่มต้น เราเริ่มทำกับที่โรงงานและพนักงานของเราก่อน เขาอยู่แล้วมีความสุข บริษัทจริงใจกับเขา อันนี้มันจะตอบโจทย์ ถ้าเขามีความสุข รักองค์กร ทุกอย่างจะไหลลื่นไปได้ เราทำให้ชัดเจนตั้งแต่นโยบาย กิจกรรม ทั้งหมดต้องเสริมกัน”

ซีอีโอ จระเข้ฯ กล่าวว่า ได้นำหลายๆ โครงการ และหลายกิจกรรมเข้ามาปรับใช้กับองค์กร เนื่องจากตนเคยทำงานในองค์กรใหญ่มาก่อน เมื่อเห็นว่าเขาทำดี ก็นำสิ่งที่เคยเห็นมาปรับใช้ มาทำให้พนักงานดู พูดคุยกัน และสิ่งที่ตั้งเป็นนโยบายที่ชัดเจนแล้วต้องจริงจังกับสิ่งที่พูด อย่างเรื่องการกำจัดฝุ่นในโรงงาน ถ้าเดินเข้าไปเห็น ก็จะเรียกเจ้าหน้าที่มาดู ว่าทำไมเป็นเช่นนี้ หรือเดินมาในอาคารอากาศร้อนมาก ขนาดว่า ตัวเองอยู่แพร่บเดียวยังร้อนแล้วพนักงานที่ทำงานในโรงงาน 5-6 ชั่วโมงจะทำอย่างไร เมื่อเป็นเช่นนั้นก็ต้องเร่งดำเนินการแก้ไขปรับปรุง นี่คือสิ่งที่ทำให้พนักงานเห็นถึงความจริงจังของผู้บริหาร เพราะฉะนั้น เวลาผู้บริหารคุยอะไรไปเขาจะเกิดการยอมรับ และทำตาม

แน่นอนในการทำงานต้องเจอปัญหาและอุปสรรค อย่างเรื่อง 5 ส. ที่ให้พนักงานดำเนินการ ก็มีคนบ่นและเกิดการแอนตี้ เพราะงานเขาเยอะอยู่แล้ว แต่เมื่อมีการพูดคุยว่า สิ่งที่ทำนออกจากได้กับบริษัทฯ แล้ว ยังได้ประโยชน์กับตัวเขาเองด้วย หรือการที่ต้องมีประชุมนอกเวลางาน ก็สนับสนุนโอทีให้ พนักงานก็จะพอใจ ทุกอย่างที่เป็นปัญหา ผู้บริหารต้องสามารถแก้ไขได้อย่างเหมาะสม

จากความชัดเจนและจริงจังทั้งด้านนโยบายและการปฏิบัติ ในกิจกรรมล่าสุด Jorakay Green Earth ที่จัดขึ้นที่จังหวัดตรัง บริษัทฯ จึงได้รับความร่วมมือจากพนักงานอย่างล้นหลาม โดยกิจกรรมครั้งนี้ เป็นความร่วมมือกับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ลงนามบันทึกความร่วมมือ เพื่อฟื้นฟูธรรมชาติและสร้างคาร์บอนเครดิตผ่านโครงการปลูกป่าชายเลนในหลากหลายพื้นที่ทั่วประเทศ นำร่องปลูกป่าชายเลนบนพื้นที่กว่า 63.5 ไร่ ด้วยต้นโกงกางใบเล็ก ต้นโกงกางใบใหญ่ และต้นฝาดดอกแดง รวมกว่า 45,000 ต้น

พร้อมสนับสนุนงบประมาณให้แก่ชุมชนในการร่วมดูแลรักษาป่าชายเลนผืนนี้ต่อเนื่องเป็นเวลา 10 ปี สามารถดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้ประมาณ 600 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

ส่วนในแง่ธุรกิจ จากแนวทางการขยายตลาดไปสู่ CLMV และการออกสินค้าใหม่ๆ ด้านนวัตกรรมเคมีก่อสร้าง ผู้บริหารจระเข้คาดว่า จะทำให้บริษัทฯ มีรายได้ไม่ต่ำกว่า 4,100 ล้านบาทในปี 2567