ซีอีโอ JPMorgan Chase ยืนยัน ทักษะสำคัญกว่าใบปริญญา จบ ม.ดัง ก็ใช่ว่าจะเก่ง
ทักษะสำคัญกว่าใบปริญญา ยืนยันจากซีอีโอ JPMorgan Chase เขามองว่าคนที่จบจากมหาวิทยาลัยชื่อดังก็อาจไม่เก่งเท่าคนที่มีทักษะเชี่ยวชาญเฉพาะทาง
ระยะหลังๆ มานี้ หลายองค์กรต่างพูดตรงกันว่า หาพนักงานที่ตรงกับความต้องการของบริษัทยากมาก โดยเฉพาะคนที่จบปริญญาตรี-โท ที่ตรงกับสายงานในองค์กร ทำให้บางครั้งบริษัทต่างๆ เริ่มหันไปหาแรงงานที่ไม่ได้จบปริญญาแต่กลับมีทักษะบางอย่างที่เหมาะสมกับงานมากกว่า
หนึ่งในผู้นำที่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ก็คือ “เจมี ไดมอน” ซีอีโอแห่งบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก JPMorgan Chase ซึ่งเขาได้พูดถึงประเด็นนี้ผ่านรายการ “This is Working” ของ LinkedIn เมื่อช่วงต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาว่า “คุณไม่จำเป็นต้องมีปริญญาตรีสาขาการเงินหรือการบัญชี เพื่อจะได้ทำงานที่มีรายได้ดีในธนาคาร เพราะทักษะที่เชี่ยวชาญมีค่ามากกว่าใบปริญญา เมื่อองค์กรต้องค้นหาพนักงานที่เหมาะสมกับงานให้ได้”
คนเก่งในตลาดแรงงานมีเพียบ! แค่พวกเขาไม่มีวุฒิปริญญาตรี นายจ้างมองหาดีๆ ก็จะเจอ
เขาเสริมอีกว่า สำหรับงานหลายๆ ตำแหน่งในโลกนี้ ทักษะที่เชี่ยวชาญมีความสำคัญมากกว่าการมีวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรี หากนายจ้างลองค้นหาหรือทดสอบทักษะของแรงงานที่ไม่ได้จบปริญญา อาจจะทึ่งไปเลยก็ได้ เพราะบางคนมีทักษะในบางสิ่งบางอย่างที่เหมาะสมกับงานอย่างมาก แต่พวกเขาแค่ไม่มีวุฒิปริญญาของสายงานนั้นๆ ปรากฏอยู่บนเรซูเมสมัครงาน
“ผมไม่คิดว่าการที่บางคนเรียนจบจากโรงเรียนชื่อดังใน Ivy League หรือเรียนจบมาด้วยเกรดที่ยอดเยี่ยม จะการันตีได้ว่าเขาหรือเธอเป็นคนทำงานที่ยอดเยี่ยมหรือเป็นคนดี” ซีอีโอไดมอนในวัย 68 ปี กล่าว
แม้แต่การรับสมัครพนักงานใหม่ของ JPMorgan Chase เอง โฆษกของบริษัทก็ให้ข้อมูลผ่าน Fortune ว่า บริษัทได้ยกเลิกข้อกำหนดด้านวุฒิการศึกษาสำหรับงานส่วนใหญ่ในธนาคาร และเปลี่ยนแนวทางการจ้างงานโดยเน้นมองหาคนที่ทักษะเหมาะสมมากขึ้น
นอกจากนี้ ประมาณ 80% ของตำแหน่งปัจจุบันของ JPMorgan Chase เป็นการว่าจ้างผู้ที่มีประสบการณ์ในงานเฉพาะทาง หรือผู้ที่มีประสบการณ์การทำงานเต็มเวลาในสายงานนั้นๆ โดยไม่จำเป็นต้องมีวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรี
เทรนด์ใหม่มาแรง บริษัทยกเลิกเกณฑ์วุฒิการศึกษาในการสมัครงาน เพิ่มโอกาสให้คนเก่งแต่ไม่มีใบปริญญาได้งานดี
ลองมาดูข้อมูลภาพรวมจากตลาดแรงงานในสหรัฐกันบ้าง ตามรายงานข้อมูลสำมะโนประชากรในสหรัฐฉบับล่าสุด พบว่า ชาวอเมริกัน 62% ไม่มีวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรี นั่นหมายความว่าหากบริษัทส่วนใหญ่ยังเปิดรับสมัครงานโดยมีข้อกำหนดเรื่องวุฒิการศึกษาเป็นสำคัญ อาจทำให้ผู้หางานหลายล้านคนที่มีทักษะสูงแต่ไม่มีใบปริญญา ไม่สามารถหางานที่มีค่าตอบแทนสูงได้
อย่างไรก็ตาม ประเด็นดังกล่าวกลายเป็นเรื่องตกเทรนด์ไปแล้ว เพราะมีกระแสใหม่มาแรงจากหลายๆ บริษัทที่ออกนโยบาย “ยกเลิกข้อกำหนดเกี่ยวกับวุฒิการศึกษา” ในการประกาศรับสมัครงาน ว่ากันว่าเทรนด์นี้ได้รับแรงหนุนจากปรากฏการณ์ “The Great Resignation” ที่ทำให้ตำแหน่งงานว่างเพิ่มสูงเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากบริษัทต่างๆ พยายามอย่างเต็มที่ที่จะเติมเต็มตำแหน่งงานว่าง จึงได้ปรับปรุงกระบวนการรับสมัครพนักงาน เปิดโอกาสสู่กลุ่มบุคลากรที่มีความสามารถแม้จะไม่มีใบปริญญาก็ตาม
การสำรวจล่าสุดโดย ZipRecruiter ซึ่งสำรวจนายจ้างในสหรัฐฯ กว่า 2,000 ราย พบว่า บริษัทเกือบ 50% ได้ยกเลิกข้อกำหนดเกี่ยวกับวุฒิการศึกษาสำหรับงานบางตำแหน่งในปี 2566 ผ่านมา นายจ้างเกือบ 3 ใน 4 ราย ระบุว่า พวกเขาให้ความสำคัญกับทักษะส่วนบุคคลของผู้สมัคร มากกว่าภูมิหลังทางการศึกษา
ขณะเดียวกันข้อมูลจากผลการวิจัยล่าสุดของ McKinsey & Co. ก็รายงานไปในทิศทางเดียวกันว่า งานบางตำแหน่งเปิดรับบุคลากรที่มีความสามารถแม้จะไม่มีวุฒิการศึกษา แรงงานกลุ่มนี้เริ่มหลั่งไหลเข้ามาสู่ตลาดงานในระบบมากขึ้น ได้แก่ ผู้จัดการก่อสร้าง, หัวหน้าฝ่ายขาย, นักพัฒนาเว็บ และตำแหน่งอื่นๆ ในด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์และเทคโนโลยี โดยทั่วไปแล้วงานเหล่านี้ต้องการทักษะทางเทคนิค ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้วุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรีมายื่นสมัครงาน
เด็กรุ่นใหม่ถ้าฝึกทักษะเฉพาะทางให้เก่งตั้งแต่ ม.ปลาย ก็อาจได้งานดีเงินเดือนสูง โดยไม่ต้องจบป.ตรี
แล้วเทรนด์นี้จะเติบโตและขยายวงกว้างออกไปหรือไม่? คงต้องติดตามและเฝ้าสังเกตกันต่อไป แต่สำหรับ ซีอีโอ PMorgan Chase เขาย้ำชัดเจนว่า การจะพัฒนาแรงงานให้มีทักษะสูง ไม่จำเป็นต้องให้พวกเขาเรียนจบปริญญาเสมอไป แต่สามารถเริ่มฝึกฝนได้ตั้งแต่ระดับมัธยมศึกษา
โรงเรียนต่างๆ สามารถสนับสนุนแนวทางตรงนี้ให้มากขึ้นได้ เช่น แนะนำคนรุ่นเยาว์ให้รู้จักเส้นทางสายอาชีพ เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการจ้างงานตามทักษะเฉพาะบุคคลของหลายๆ องค์กร
“โรงเรียนระดับมัธยมในปัจจุบันต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการศึกษาบ้าง ควรเพิ่มเติมการสอนทักษะการจัดการโครงการ การเงินพื้นฐาน การวิเคราะห์ข้อมูล และความปลอดภัยทางไซเบอร์ในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย เป็นต้น แนวทางนี้อาจช่วยให้เยาวชนจำนวนมาก ได้ทำงานที่ดีมีรายได้สูงกว่า 65,000 ดอลลาร์ต่อปี โดยไม่จำเป็นต้องเรียนมหาวิทยาลัย” ไดมอน แนะนำในท้ายที่สุด