See the Unseen นิทรรศการสะท้อนแผลลึก ผู้คนถูกตีตราทางสุขภาพจิต

ป่วยทางใจอยู่ใช่มั้ย? รู้ไว้..คุณไม่ได้อยู่ลำพัง ชวนชมนิทรรศการ See the Unseen สะท้อนแผลลึกจากการถูกตีตราทางจิตเวช ผ่าน 60 เรื่องราวสะเทือนใจภายใน 3 ห้องจัดแสดง
KEY
POINTS
- ปัจจุบันแม้วงการแพทย์จะพัฒนาก้าวหน้าไปมาก แต่ผู้
"ขนาดคนเป็นซึมเศร้ายังไม่เรื่องมากเท่ามึงเลย!" คำพูดที่คนพูดดูเหมือนจะไม่ใส่ใจกับมันเท่าไหร่ แต่กลับฝังลึกในความทรงจำของผู้ป่วย ADHD รายหนึ่ง สะท้อนให้เห็นถึงการตีตรา (Stigma) ทางสุขภาพจิตที่ยังคงเป็นปัญหาใหญ่ในสังคมไทย ที่แม้กระทั่งผู้ป่วยด้วยกันเองก็ยังมีการเปรียบเทียบและตีตราซึ่งกันและกัน
สำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ (สสส.) จึงได้ร่วมมือกับ Mutual, Eyedropper fill, MasterPeace และ Studio Persona จัดนิทรรศการ "See the Unseen, เห็นกาย สัมผัสใจ" นิทรรศการศิลปะรูปแบบ Experiential Design ที่รวบรวมเรื่องราวสะเทือนใจของผู้ที่เคยถูกตีตราทางสุขภาพจิตกว่า 60 ชีวิต เพื่อสะท้อนให้สังคมได้เห็นถึงผลกระทบของการตีตราที่ส่งผลต่อจิตใจของผู้ป่วยและครอบครัว
การตีตราทางสุขภาพจิต นำมาสู่การโดนเหยียด-ถูกเลือกปฏิบัติทางสังคม
ย้อนกลับไปในช่วงศตวรรษที่ 18-19 ผู้ที่มีอาการผิดปกติทางจิตเกือบ 100% มักถูกมองว่าเป็นสิ่งชั่วร้ายเหนือธรรมชาติ แม้ปัจจุบันวงการแพทย์จะพัฒนาไปมาก แต่การตีตรายังคงฝังรากลึกในสังคม กระทรวงสาธารณสุขได้นิยามการตีตราทางสุขภาพจิต (Mental Health Stigma) ไว้ว่า เป็นเรื่องของทัศนคติ ความคิด ความเชื่อที่มีต่อบุคคลที่มีพฤติกรรมแตกต่างจากบรรทัดฐานทางสังคม
นำไปสู่การรังเกียจ กีดกัน ทั้งทางสายตา คำพูด และการกระทำ ซึ่งส่งผลให้บุคคลเหล่านั้นถูกแบ่งแยก ถูกจำกัดพื้นที่ทางสังคม หรือที่เรียกว่าการเลือกปฏิบัติ (Discrimination)
การตีตราทางสุขภาพจิตนั้นสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายด้าน ทั้งจากสังคมรอบข้าง (Public Stigma) จากคนใกล้ชิด (Personal Stigma) และที่สำคัญคือการตีตราจากตัวเอง (Self Stigma) ซึ่งเป็นภาระทางจิตใจที่ผู้ป่วยทางจิตเวชต้องแบกรับเพิ่มเติม และกลายเป็นอุปสรรคสำคัญในการบำบัดรักษาและพัฒนาคุณภาพชีวิต
อย่างที่บอกไปข้างต้นว่า ปัจจุบันนี้ยังมีผู้คนในสังคมจำนวนไม่น้อยที่ยังไม่เข้าใจสภาวะของผู้ป่วยทางจิตใจ และบางครั้งอาจเผลอแสดงคำพูด สายตา ท่าทาง ที่ตีตราแปะป้ายพวกเขาโดยไม่ตั้งใจ จากนี้ไปหากคนในสังคมตระหนักรู้เรื่องนี้กันมากขึ้นกว่านี้ก็คงจะดี
หนึ่งในวิธีที่จะเข้าใจกลุ่มผู้ป่วยทางใจได้นั้น อาจเริ่มจากการเปิดใจเรียนรู้และทำความเข้าใจพฤติกรรม ความคิด ความรู้สึกของพวกเขาให้มากขึ้น โดยเมื่อเร็วๆ นี้ มีนิทรรศการหนึ่งที่น่าสนใจ จัดขึ้นภายใต้ชื่อ "See the Unseen, เห็นกาย สัมผัสใจ" จัดแสดงผลงานศิลปะบำบัดที่สะท้อนถึงการตีตราทางสุขภาพจิต ซึ่งน่าจะช่วยให้คนทั่วไปเข้าอกเข้าใจผู้ป่วยเหล่านี้ได้ดีกว่าที่เคย
See the Unseen นิทรรศการ 3 ห้อง สะท้อนบาดแผลทางจิตใจผู้คน
สำหรับภายในนิทรรศการ "See the Unseen, เห็นกาย สัมผัสใจ" แบ่งออกเป็น 3 ห้อง เริ่มต้นด้วยห้อง "คำฝังใจ" ที่นำเสนอในรูปแบบ Interactive Art เชิญชวนผู้ชมร่วมแบ่งปันประสบการณ์การถูกตีตราของตนเอง ด้วยการเติมคำลงในช่องว่าง ก่อนที่คำเหล่านั้นจะปรากฏเป็นภาพเงาสะท้อนของผู้ร่วมแชร์เรื่องราว สะท้อนให้เห็นว่าคำพูดและการกระทำที่แสดงถึงการตีตรานั้น ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อจิตใจเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นส่วนหนึ่งของตัวตนผู้ถูกตีตราไปโดยไม่รู้ตัว
ถัดมาห้องที่สอง นำเสนอ "60 ประสบการณ์ฝังจำ" รวบรวมผลงานศิลปะ 60 ชิ้นที่สร้างสรรค์ขึ้นในระหว่าง Expressive Art Workshop สะท้อนเรื่องราวและความรู้สึกผ่านกระบวนการศิลปะบำบัด ซึ่งเป็นการเปิดพื้นที่ปลอดภัย ให้ผู้เข้าร่วมได้ถ่ายทอดความรู้สึกและประสบการณ์ที่อยู่ภายในออกมาเป็นภาพ พร้อมกับโซน "ทำแผลใจ" ที่เปิดโอกาสให้ผู้ชมได้ร่วมสร้างสรรค์ผลงานศิลปะบนกำแพง ภายใต้โจทย์จากนักจิตวิทยา ที่สามารถนำไปปรับใช้เพื่อเยียวยาแผลใจจากประสบการณ์การตีตราในชีวิตจริง
ส่วนห้องสุดท้าย "เห็นกายสัมผัส 3 ใจ" นำเสนอสารคดีที่ถ่ายทอดชีวิตของ 3 บุคคลที่มีประสบการณ์ถูกตีตราจนเกิดปัญหาทางสุขภาพจิต ผ่านกระบวนการถ่ายทำที่ผสมผสานศาสตร์ศิลปะบำบัดเทคนิค Body Tracing ซึ่งช่วยให้เกิดความเชื่อมโยงกับร่างกาย สะท้อนให้เห็นว่าการตีตราไม่เพียงส่งผลกระทบต่อจิตใจเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อร่างกายและการดำเนินชีวิตในทุกมิติ
เปิดเคสสะท้อนบาดแผลทางใจ จากประสบการณ์ผู้ป่วย ADHD
หนึ่งในเรื่องราวที่น่าสนใจคือประสบการณ์ของผู้ป่วย ADHD รายหนึ่ง ที่เล่าว่าเธอไม่เคยคิดว่าตัวเองมีปัญหา เพียงแค่ใช้ชีวิตตามสไตล์เด็กเนิร์ดทั่วไป จนกระทั่งครอบครัวพาไปพบจิตแพทย์และได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคสมาธิสั้น เธอเล่าว่าตอนเรียนมหาวิทยาลัย เธอมีปัญหาในการปรับตัว "เรารู้สึกดีดๆ อยากออกข้างนอก แล้วก็เรียนไม่ค่อยรู้เรื่อง อย่างเราเรียนสายวิทย์-คณิต ซึ่งเราเก่งแค่ชีวะ แต่วิชาอื่นไม่รู้ว่าอยู่ไหน จนเรารู้สึกแปลกจากคนอื่น"
"เราไม่ได้ปิดว่าเป็นโรคนี้ แต่มันจะดีกว่านี้ถ้าสังคมรับรู้และไม่มองว่าโรคจิตเวชนี้มันแปลก บางคนอาจจะมองว่าคนเป็นโรคพวกนี้ทำงานไม่ค่อยได้ ต้องลา มีพริวิเลจในการลา หรือมีความห่วงประหลาดๆ เรื่องความเป็นห่วงเราเข้าใจ แต่โดยรวมมันทำให้เราเหมือนไม่เป็นคนปกติ" เธอเล่า
อย่างไรก็ตาม เธอโชคดีที่ได้รับความเข้าใจจากครอบครัว เวลาอยู่ที่บ้านก็ไม่ได้รู้สึกว่าตนเองแปลกประหลาด โดยคุณแม่จะคอยทำให้สบายใจเสมอ ด้วยการไม่กดดันเพราะเข้าใจภาวะโรคของเธอ ทำให้เธอตระหนักได้ว่าเราไม่ต้องเอาตัวเองไปเทียบมาตรฐานกับคนอื่นอยู่ตลอดเวลา สิ่งนี้จึงสะท้อนให้เห็นว่าการมีพื้นที่ปลอดภัยและได้รับการยอมรับจากคนใกล้ชิดเป็นสิ่งสำคัญ ที่จะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากขึ้น
สำหรับใครที่อยากไปชมนิทรรศการนี้ สามารถไปชมกันได้ตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2025 จัดแสดงที่โซน MMAD Mun Mun Art Destination ชั้น 3 ซีคอน สแควร์ ศรีนครินทร์ โดยเปิดห้องให้เข้าชมได้ในเวลา 11.00-19.00 น. นิทรรศการนี้ไม่เพียงแต่จะสะท้อนปัญหาการตีตราทางสุขภาพจิตในสังคมไทย แต่ยังหวังจะเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างความเข้าใจ และลดอคติที่มีต่อผู้ป่วยทางจิตเวช เพื่อสร้างสังคมที่เปิดกว้างและให้พื้นที่กับความแตกต่างหลากหลายมากขึ้น