เที่ยวเท่ที่ 'เนปาล'

เที่ยวเท่ที่ 'เนปาล'

ตะลุยดินแดนแห่งอารยธรรมโบราณและทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ ข้ามฟ้าสู่ประเทศที่ได้ชื่อว่าเป็นจุดหมายปลายทาง 'ในฝัน' ของหลายต่อหลายคน

'เนปาล' ท่ามกลางกระแสโลกาภิวัตน์ที่วิ่งวุ่นไม่อยู่เฉย วันนี้แปลกตาไปบ้างไหม หรือยังคงน่าหลงใหลดังเคยเป็นมา

มีเพื่อนนักเดินทางคนหนึ่งเคยกล่าวว่า "นักเดินทางต้องไป 'เนปาล' ให้ได้อย่างน้อยสักครั้งหนึ่งในชีวิต" ใจหนึ่งผมสนับสนุนคำกล่าวนั้น แต่อีกใจหนึ่งก็อดคัดค้านไม่ได้ว่าเหตุใดจะต้องไปประเทศที่ขึ้นชื่อว่า 'เที่ยวลำบาก' อย่างนั้นด้วย

ก่อนอื่นต้องยอมรับว่าเนปาลในภาพจำคือ ดินแดนทุรกันดาร มีเทือกเขาสูงรายล้อม อากาศหนาวเย็นจนคนเมืองร้อนยากจะทานทน การคมนาคมไม่ดีนัก หรืออาจถึงขั้น 'แย่' และระบบสาธารณสุขยังล้าหลังอยู่มากโข

อ่อ...ยังมีอีกอย่างสองอย่างที่ผุดขึ้นในหัวเมื่อเอ่ยถึงเนปาล เป็นสถานที่พระพุทธเจ้าประสูติ และมีเทือกเขาหิมาลัยตั้งตระหง่าน ดูน่าเกรงขาม ใครจะว่างดงาม แต่ผมมองว่า "เท่"

แต่นั่นคือภาพจำที่ตกผลึกในหัวจากที่ได้อ่านได้เห็นในสื่อต่างๆ ไม่ใช่ประสบการณ์อันเกิดจากรอยเท้าผมไปประทับ แม้ไม่อาจประกาศตัวว่าเป็นนักเดินทางมืออาชีพ แต่อย่างที่บอกไปแล้วว่า ใจหนึ่ง..ผมเชื่อว่า "นักเดินทางต้องไป 'เนปาล' ให้ได้อย่างน้อยสักครั้งในชีวิต" ทว่า ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่นักเดินทางพันธุ์กลายกระเป๋าแบน (แต่แฟนไม่ทิ้ง) อย่างผมจะมีโอกาสไป

จนกระทั่งมีโอกาสติดตามคณะผู้บริหารของสายการบินแอร์เอเชีย เอ็กซ์ นำโดย อัซราน ออสมันรานิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการบินแอร์เอเชีย เอ็กซ์ ไปมอบคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปให้แก่เด็กนักเรียนโรงเรียนประถมจันธีเทวี (Chandi Devi Primary School) ในโครงการ 'One Laptop Per Child' โดยร่วมมือกับศูนย์แลกเปลี่ยนการเรียนรู้ (Open Learning Exchange: OLE) องค์กรไม่แสวงผลกำไรในประเทศเนปาล

เอาล่ะ คราวนี้เนปาลก็ไม่ไกลเกินเอื้อมแล้ว..

นอนมาเลแล้วไปนมัสเตเนปาล

ก่อนจะไปถึงที่หมายปลายทาง การเดินทางโดยสายการบินแอร์เอเชีย เอ็กซ์ ไปยังประเทศเนปาล จะต้องมาต่อเครื่องบินที่กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซียเสียก่อน แต่ไม่ทันได้ดื่มด่ำความเป็นมาเล ก็จำต้องโบกมือลามาเลเพื่อไป "นมัสเตเนปาล"

ไม่รู้นานเท่าไรแล้วที่ผมไม่ได้อยู่นิ่งๆ เกินหนึ่งชั่วโมง (ไม่นับตอนหลับ) บนเครื่องบินสีแดงลำนี้ผมได้อยู่เฉยไม่น้อยกว่าสี่ชั่วโมง คล้ายเตรียมใจให้นิ่งก่อนเครื่องแลนดิ้ง (Landing) แบบใจระทึก

ไม่ถึงอึดใจที่ล้อเครื่องบินแตะพื้นรันเวย์ (Runway) เครื่องบินหยุดเร็วกว่าทุกครั้งที่ผมเคยเจอ ชะโงกดูภายนอกจึงได้รู้ว่า สนามบินตรีภูวัน (Tribhuvan International Airport) แห่งเมืองกาฐมาณฑุมีรันเวย์สั้นมากๆ หากนักบินไม่ชำนาญ มีหวังพุ่งออกนอกสนามบิน

ลงเครื่องได้ผมจึงรีบแจ้นเข้าอาคารผู้โดยสาร แต่ก็ต้องรู้สึกอยากออกไปสู่ภายนอกทันทีเพราะบรรยากาศน่ากลัวมาก แออัด มืด อับ พูดตรงๆ สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (หมอชิต) ยังใหญ่โต โอ่อ่ากว่าหลายเท่าตัวนัก

ประเทศเนปาล หรือ สหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล เป็นประเทศที่ไม่มีพรมแดนติดทะเลในเอเชียใต้ บริเวณเทือกเขาหิมาลัยมีพรมแดนติดกับทิเบตของจีนและประเทศอินเดีย จึงไม่แปลกเลยที่ภูมิอากาศจะเย็นเยียบและแห้งแล้ง โดยเฉพาะช่วงเดือนกันยายนถึงกุมภาพันธ์ สำหรับช่วงต้นปีแบบนี้ตรงกับปลายฤดูใบไม้ร่วงเข้าสู่ฤดูหนาว แม้จะชื่อ 'ใบไม้ร่วง' ทว่าอาจไม่ได้เห็นใบไม้ร่วงสักเท่าไร แต่จะได้เห็น 'ใบไม้เปลี่ยนสี' อย่างแน่นอน

'ใบไม้เปลี่ยนสี' ที่ผมว่าไม่ใช่ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติอันน่าตื่นตาตื่นใจ แต่มันคือฝุ่นมหาศาลซึ่งปกคลุมทุกที่ในเนปาล เกาะต้นไม้ใบหญ้าเสียจนขาวโพลน มองเผินๆ คล้ายหิมะ แต่สีตุ่นๆ และความรู้สึกว่าปอดทำงานหนักตอบผมว่ามันคือฝุ่น มิหนำซ้ำถนนหนทางแบบอภิมหาออฟโร้ด ทำให้การเดินทางล่าช้ามาก กว่าจะถึงที่พักเก็บข้าวของก็ทำเอาหมดแรง

วันแรก ณ กาฐมาณฑุ ฉันคงทำได้แค่ทักทายเธอ "นมัสเต..."

'ชิตวัน' ความฝันของคนชอบ...แรด!

ตื่นเช้ามืดแสงอาทิตย์ยังไม่ทันทำงาน ผมต้องห่อตัวด้วยเครื่องกันหนาวเท่าที่ยัดใส่กระเป๋ามา ตอนนี้เป้ใบเขื่องแฟ่บฟีบเหมือนเหล่านักบวชโยคีที่ผมเห็นระหว่างทางเมื่อวานนี้

ผมจำต้องสลัดภาพโยคีและเป้ใบนั้นออกไปเสียก่อน เพราะเช้านี้ผมมีนัดกับสัตว์ใหญ่ทั้งหลายที่ อุทยานแห่งชาติชิตวัน หรือจิตวัน (Royal Chitwan National Park) อุทยานแห่งชาติแห่งแรกของเนปาลซึ่งเข้าไปสะดวกที่สุด เพราะอยู่ห่างจากกรุงกาฐมาณฑุไปทางทิศตะวันตกเพียง 165 กิโลเมตรเท่านั้น

นอกจากนี้ชิตวันยังได้รับยกย่องให้เป็นอุทยานแห่งชาติที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของเอเชียด้วย เพราะเป็นพื้นที่ที่มีสัตว์ป่าหนาแน่นที่สุดแห่งหนึ่งของทวีปนี้

คำว่า ชิตวัน หรือ จิตวัน มีความหมายว่า "หัวใจแห่งป่า" แน่นอนว่าที่นี่ยังมีทุ่งหญ้าและป่าไม้อยู่มาก ซึ่งในอดีตเคยมีอาณาเขตแผ่ไพศาลเริ่มต้นจากแม่น้ำสินธุ ประเทศปากีสถาน ทอดตัวไปจรดชายแดนประเทศพม่า

แม้ว่าฤดูนี้จะไม่ใช่ช่วงที่เหมาะแก่การชมสัตว์ป่าในอุทยานมากนัก เพราะช่วงที่ดีที่สุดคือระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน ซึ่งป่าไม้จะกลับมาเขียวขจีอีกครั้ง ทว่า ไหนๆ ก็มาแล้วต้องลองออกล่า เอ้ย! ออกตามหาสัตว์ป่าที่ว่าชุกชุมกันเสียหน่อย แต่เพียงแค่ขึ้นรถไปยังอุทยานก็ถูกกดดันจากคนขับรถว่า

"คุณต้องโชคดีมากๆ ถึงจะได้เห็นสัตว์ป่าโดยเฉพาะแรด"

"ไม่เห็นยาก ที่บ้านผมมีตั้งเยอะแยะ (ฮา)" ผมตอบกลับไปเป็นภาษาไทย

เอาล่ะ เข้าสู่ช่วงเวลาอันน่าตื่นเต้นกันดีกว่า ตอนนี้ผมมาถึงชิตวันแล้ว และกำลังจะขี่ช้าง ไม่ได้จับตั๊กแตน แต่จะไปหาแรด...

การท่องชมสัตว์ขนาดใหญ่ในอุทยานแห่งชาติชิตวันเริ่มขึ้นราวหกโมงเช้า บรรดาสัตว์ขนาดใหญ่มักออกมาหากินช่วงเวลานี้ในพื้นที่ป่าดิบและทุ่งหญ้าสูงในเขตที่น้ำท่วมถึง ซึ่งแน่นอนว่าวิธีชมสัตว์เหล่านี้ที่ดีที่สุดคือการขี่ช้างที่ถูกฝึกอย่างดี รับรองว่าปลอดภัยและสะดวกทั่วถึงทุกสภาพพื้นที่ จากข้อมูลที่ทราบมา สัตว์ที่หลายคนหวังจะได้เห็น คือ แรดนอเดียว กระทิง หมีไม้ หากโชคดีจะได้เห็นเสือโคร่งด้วย...สำหรับผมไม่อยากโชคดีนัก

ผมขึ้นเกยที่ช้างมารอเทียบ แล้วก้าวขึ้นไปนั่งที่มุมกูบ ตามด้วยเพื่อนร่วมเดินทางอีกสามคน นั่งคนละมุม ด้วยสรีระสูงใหญ่ ดูแข็งแกร่งของช้างแต่ละเชือก การรับน้ำหนักคนเพียงห้าคน (รวมควาญช้าง) นับเป็นเรื่องสบายๆ ของพี่ช้าง และนี่ก็สร้างความมั่นใจเรื่องความปลอดภัยได้ด้วย

ช้างพาผมฝ่าสุมทุมพุ่มไม้ และแหวกม่านหมอกขาวเย็นเยียบ ตัวผมโยกเยกไปตามจังหวะการเดินของพี่ช้าง ผมจำไม่ได้ว่าตอนเด็กเคยนั่งช้างที่ประเทศไทยหรือไม่ แต่ผมจำได้ว่าตอนนั่งรถเมื่อวานตลอดเส้นทางอภิมหาออฟโร้ดของประเทศเนปาลนี้ให้ความรู้สึกเดียวกัน

ไม่ถึงสิบนาที คำพูดของคนขับรถที่ว่าผมต้องโชคดีมากๆ ถึงจะได้เห็นแรด บัดนี้ถูกลบล้างด้วยภาพตรงหน้า มันคือแรดนอเดียวที่ขึ้นทำเนียบสัตว์ป่าหายากของโลกไปแล้ว ช้างค่อยๆ เลียบๆ เคียงๆ เข้าใกล้เจ้าแรดน้อย (แต่ตัวใหญ่มาก) ที่กำลังเล็มยอดหญ้าอย่างอเร็ดอร่อย ทีแรกว่าจะไม่ตื่นเต้นเพราะประเทศไทยมีแรดเยอะ (ฮา) แต่ถ้าไม่นับที่เขาเขียว นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้ใกล้ชิดแรดมาก แทบจะได้กลิ่นสาบที่แทรกซึมออกมาจากหนังหนาสีเทาของมัน...เท่มากๆ!

พี่ช้างพาผมแยกจากแรดตัวนั้น ผมแทบใจสลายที่ต้องโบกมือลา ก็นี่มันสัตว์หายากระดับโลกเลยนี่ครับ ไม่ร้องไห้ก็บุญแล้ว...

ผมโยกเยกต่อไปบนหลังช้าง ฟังเสียงควาญช้างคุยกับช้างไปพลางชมแมกไม้นานาพันธุ์ ช้างข้ามลำห้วยที่น้ำใสราวกระจกเงา แล้วหยุดนิ่งกินน้ำ ถึงตอนนี้ผมแทบขาดใจ เพราะอยากกลับไปหาน้องแรดตัวนั้น แต่ขณะที่คิดฟุ้งซ่าน มารู้ตัวอีกทีก็ได้ยินเสียงเพื่อนร่วมทางที่เกาะกูบหลังช้างบอกว่า "นั่นไงแรด แรดอีกแล้ว" ใช่ครับ แรดนอเดียวที่ว่าหายาก คราวนี้ผมเจอถึงสองตัว กำลังนอนงัวเงียคล้ายยังไม่สร่างเมา เพราะเมื่อคืนไปแรดมา (ฮา)

ผ่านมาอีกไม่ถึงสิบห้านาที จากแรดหนึ่งตัว สองตัว คราวนี้ส่งท้ายทริปหลังช้างด้วยแรดสามนอ...ก็แรดนอเดียวสามตัว รวมกันได้สามนอ

ก่อนออกจากป่า ได้ตัดอารมณ์ด้วยกวางดาวอีกสามสี่ตัว ที่แวบมาให้เห็นครู่หนึ่งแล้วกระโจนหายไปในพุ่มไม้ทึบ

ผมไม่แน่ใจว่าโชคดีมากหรืออย่างไรถึงได้เจอแรดรวมถึงหกตัว แต่กลับไม่โชคดีเจอเสือโคร่งเบงกอลที่มีอยู่ในเขตชิตวันราว 120 ตัว

ผมกลับไปที่รถอีกครั้ง พอเจอหน้าคนขับรถ ผมรีบอวดความโชคดีของตนอย่างภาคภูมิ

"ผมคงโชคดีมากเลย เจอแรดนอเดียวตั้งหกตัว"

คนขับรถไม่ตอบ แต่เขายิ้มแปลกๆ เหมือนเคยได้ยินคำโอ้อวดแบบนี้จนเคยชิน

โพคารา - มัจฉาปูชเร

ก่อนจะต้องนั่งรถไปอีกเมืองซึ่งต้องใช้เวลาอีกนาน ลืมบอกไปว่าจุดเด่นอีกอย่างของอุทยานแห่งชาติชิตวันคือมีเส้นทางเดินชมธรรมชาติมากมาย ได้สังเกตรอยเท้าสัตว์ ได้ฟังเสียง ได้สูดกลิ่นอายป่า และได้ดูนก

เอาล่ะ ต่อจากนี้ผมต้องไปโยกเยกบนรถต่ออีกราวสามชั่วโมง เพื่อไปยังเมืองโพคารา เมืองที่ได้ชื่อว่าถูกโอบล้อมด้วยขุนเขา ใกล้ชิดเทือกเขาหิมาลัยมากที่สุด และที่นี่เองก็เป็นจุดเริ่มต้นของนักเดินทาง นักไต่เขา นักผจญภัย ที่จะขึ้นไปพิชิต 'ยอดเขาเอเวอเรสต์'

โพคาราในอดีตเป็นจุดพักของกองคาราวานค้าขายชาวทิเบตและอินเดีย เป็นเพียงหมู่บ้านเล็กๆ แต่ปัจจุบันคือเมืองท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยมจากนักท่องเที่ยวเป็นอันดับสองรองจากกรุงกาฐมาณฑุ

แต่ไม่ทันได้ชื่นชมเมืองโพคาราก็ฟ้ามืดเสียแล้ว อีกเช้าค่อยว่ากันใหม่บนความสูง 6,994 เมตร...

จะเรียกว่าตื่นเช้าก็คงไม่ได้ เพราะนี่เป็นอีกวันที่ดวงตะวันยังไม่ทันทำงาน ผมก็ต้องออกจากที่พักเพื่อฝ่าความมืดไปยังที่ที่จะสว่างไสวที่สุดในเช้านี้ ถึงจุดชมวิวมีผู้คนจำนวนมหาศาลเดินขวักไขว่ แม้ผมจะมาถึงที่นี่ตั้งแต่ตีห้าตามเวลาท้องถิ่น ก็ยังไม่ทันนักเดินทางทั้งหลายที่ปรารถนาบางอย่างไม่ต่างจากผม

กางขาตั้งกล้องเสร็จสรรพ ผมห่อตัวอยู่ในเสื้อกันหนาวตัวหนา อากาศบนจุดชมวิวไม่ถึงขั้นหนาวเหน็บ แต่ด้วยลมที่แรงมากพัดเอาไอเย็นทะลุทะลวงเข้าไปในชั้นผ้าจนผมขนลุกเป็นระลอก

ทนหนาวเกือบครึ่งชั่วโมง แสงแรกแห่งวันเริ่มปรากฏ จากความมืดที่เบื้องหน้ากลายเป็นภาพเทือกเขาหิมาลัยสีขาวโพลน แซมสีส้มของแสงตะวัน นิ้วผมรัวชัตเตอร์ แต่สายตาก็ยังหลบออกมาชื่นชมเทือกเขาที่นักเดินทางหลายคนใฝ่ฝัน

เมื่อดวงตะวันโผล่พ้นขอบฟ้าเทือกเขาหิมาลัยยิ่งงดงาม ตลอดแนวยาวของเทือกเขาหิมาลัย แม้จะไม่ใช่ฝั่งที่เห็นยอดเขาเอเวอเรสต์ แต่จุดแหลมๆ คล้ายหางปลาที่เรียกว่า มัจฉาปูชเร (Machapuchare) ที่ตั้งตระหง่านบนความสูง 6,994 เมตร ก็ทำเอาผมหลงใหลสีขาวของเทือกเขาอันปกคลุมด้วยน้ำแข็ง และไอเย็นทั้งๆ ที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

เมื่ออากาศเริ่มอบอุ่นขึ้น แดดเริ่มจัดจ้า ก็เท่ากับหมดเวลา ณ จุดชมวิวแห่งนี้แล้ว ผมเดินลงมาไปยังรถโดยสาร แต่ก็ไม่ลืมที่จะทักทายพร้อมกับบอกลา

"นมัสเต หิมาลายัน"