ประกาศเลิก 'เกรียน'

ทรงผมนักเรียนกลายเป็นวิวาทะที่ 'เกรียน' ที่สุดในรอบสัปดาห์
แต่ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่ เรื่องที่ควรให้ความสำคัญมากกว่า คือเสรีภาพทางความคิดที่ไม่เว้นแม้ในห้องเรียน
"รู้สึกดีใจ เพราะไม่ต้องการตัดผมสั้นเกรียนทุกเดือนเหมือนที่ตัดมาตั้งแต่สมัยประถมศึกษา เพราะการไว้ผมสั้นเกรียนหรือรองทรง ไม่เกี่ยวกับผลการเรียนหรือความประพฤติครับ"
"เห็นด้วยและดีใจที่จะได้ไว้ผมยาว ตอนนี้แม้ว่าจะอยู่ชั้นม.ปลายแต่กฎระเบียบของโรงเรียนบังคับให้ไว้ผมสั้น การปลดล็อกทรงผมในครั้งนี้จึงทำให้ตนเองรู้สึกอิสระหลังจากนี้จะเริ่มไว้ผมยาวแต่จะรวบผมให้เรียบร้อยแน่นอนค่ะ"
"การกำหนดเรื่องทรงผมเป็นการสอนให้นักเรียนมีระเบียบวินัยตั้งแต่ในโรงเรียน เมื่อโตขึ้นเราอยู่ในสังคมก็ต้องเคารพกฎสังคมเช่นกัน การไว้ผมยาวหรือทำผมทรงอะไรก็ได้ ทำให้นักเรียนต้องมาพะวงเรื่องทรงผมมากกว่าโฟกัสเรื่องการเรียน"
"ถ้าไว้ผมยาวหรือปล่อยให้ทำผมทรงอะไรก็ได้ นักเรียนก็จะสนใจแต่เรื่องความสวยความงาม เรื่องเพศตรงข้าม และแน่นอนว่าส่งผลกระทบต่อการเรียนตามมา"
เหล่านี้เป็นนานาทัศนะของเยาวชนวัยกระโปรงบานขาสั้นที่ต่างก็ออกมาแสดงความคิดเห็นกันอย่างแพร่หลาย ในกรณีที่กระทรวงศึกษาธิการมีหนังสือเวียนแจ้งโรงเรียน-สถานศึกษาในกำกับทั่วประเทศให้ปฏิบัติตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 ปี 2518 เรื่องแบบทรงผมนักเรียน โดยระบุให้นักเรียนชายไว้ผมรองทรงได้โดยไม่ต้องตัดผมสั้นเกรียน ส่วนนักเรียนหญิงสามารถเลือกไว้ผมสั้นหรือยาวได้แต่ต้องรวบผมให้เรียบร้อย ตามที่ปรากฎเป็นข่าวในสื่อกระแสหลักหลายช่องทาง
แน่นอนว่านอกจากเด็กๆ แล้ว ทั้งครูและผู้ปกครองเองก็มีทัศนะออกมาเช่นกันทั้งในแง่ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย บางคนบอกว่าสิ่งนี้ถือเป็นของขวัญวันเด็กชิ้นโบว์แดงที่ทางภาครัฐมอบให้น้องๆ เนื่องใน 'วันเด็ก' แต่บางคนก็เห็นว่าให้เด็กตัดสั้นไถเกรียนอย่างเดิมเป็นสิ่งที่ถูกที่ควรอยู่แล้ว
เรื่องนี้หากมองตามเนื้อผ้าการที่ให้อิสระเสรีในการจะไว้ผมสั้น-ยาวแก่เยาวชนนั้นก็นับเป็นเรื่องที่ควรทำในสังคมประชาธิปไตย แต่คำถามคือเมื่อเปลี่ยนแปลงแล้วเด็กๆ จะได้เรียนรู้เรื่องสิทธิ หน้าที่ และเสรีภาพใต้ร่มเงาของประชาธิปไตยได้มากแค่ไหน หรือเป็นเพียงการยกเลิกของเก่าแล้วบังคับใช้ของใหม่เพียงเท่านั้น
ทรงผมยุคเก่าแต่เก๋า ?
หากย้อนกลับไปในอดีต การตัดผมทรงหัวเกรียนสำหรับเด็กชายและการตัดผมสั้นเสมอหูของเด็กหญิงนั้นมีมายาวนานตั้งแต่สมัยสงครามโลกเลยทีเดียว จากบทความว่าด้วยเรื่องกฎทรงผมของ ศ.ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์ (มติชน 2 พฤศจิกายน 2550) ระบุว่า ประเทศไทยรับทรงผมทรงนักเรียนทั้งเครื่องแบบต่างๆ จากประเทศญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งในช่วงสงครามนั้นเกิดเหาระบาดมาก ประชาชนทั้งเด็กและผู้ใหญ่จึงนิยมตัดผมสั้นเพื่อป้องกันไม่ให้ติดเหา
นอกจากนี้บางแหล่งข้อมูลก็ระบุว่าทรงผมดังกล่าวเดิมเป็นกฎของทหารเพื่อใช้ปลูกฝังการเชื่อฟังคำสั่ง ปลูกฝังอำนาจนิยม และเพื่อความสะดวกในการดูแลรักษา กฎนั้นจึงถูกนำมาบังคับใช้กับเด็กนักเรียนด้วยเพราะเห็นว่านักเรียนควรตัดผมในแบบที่พวกเขาสามารถดูแลทรงผมได้ด้วยตัวเอง ทางด้านกระทรวงศึกษาธิการเองก็แถลงข้อดีของกฎทรงผมนักเรียนสรุปได้ว่า เป็นทรงผมที่สะอาด เรียบร้อย ป้องกันเหาได้ เสียค่าใช้จ่ายน้อยในการตัดผม สุภาพ และเหมาะสมกับวัย
ดังนั้นทางศึกษาธิการในยุคนั้นจึงได้ออกกฎกระทรวงฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2515) ออกตามความในประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 132 ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2515 สรุปกฎระเบียบเรื่องทรงผมโดยสังเขปว่า เด็กผู้ชายให้ตัดผมสั้นเกรียน โดยผมข้างหน้าและกลางศีรษะให้ผมยาวได้ไม่เกิน 5 ซม. และไถผมด้านข้าง ห้ามไว้หนวดหรือเครา ส่วนนักเรียนหญิงตัดผมหรือไว้ผมยาวเลยต้นคอ หากโรงเรียนหรือสถานศึกษาใดอนุญาตให้ไว้ยาวเกินกว่านั้นก็ให้รวบให้เรียบร้อย ต่อมามีการแก้ไขเพิ่มเติมออกเป็นกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2518) ระบุว่า ให้นักเรียนชายตัดผมหรือไว้ผมยาวได้แต่ผมด้านข้างและด้านหลังห้ามยาวเลยตีนผม ส่วนนักเรียนหญิงตัดผมหรือไว้ผมยาวเลยต้นคอ หากโรงเรียนหรือสถานศึกษาใดอนุญาตให้ไว้ยาวเกินกว่านั้นก็ให้รวบให้เรียบร้อย
จากประโยชน์และข้อดีต่างๆ นานาของผมสั้น โรงเรียนและสถานศึกษาในสมัยก่อนจึงมีกฎระเบียบออกมาคล้ายกันเป็นส่วนใหญ่คือ นักเรียนชายมักจะให้ตัดผมสั้นเกรียนและนักเรียนหญิงมักจะให้ตัดผมสั้นในช่วงติ่งหูถึงปกเสื้อนักเรียน หรือบางโรงเรียนอาจมีระเบียบที่แตกต่างไปบ้างในรายละเอียดของทรงผมนักเรียนหญิง อย่างไรก็ตามนักเรียนในยุคก่อนก็สามารถปฏิบัติตามกฎระเบียบได้เป็นอย่างดี แต่เมื่อวันเวลาผ่านไปจนเข้าสู่ยุคปัจจุบัน ข้อกำหนดเรื่องทรงผมดูจะไม่ใช่แค่เรื่องการดูแลความสะอาด แต่เด็กส่วนใหญ่มองว่ามันคือส่วนหนึ่งของสิทธิเสรีภาพบนศีรษะของพวกเขาด้วย
ยุคปลดแอกทรงผม
หลังจากที่กระแสข่าวเรื่องการยกเลิกทรงผมเกรียนและทรงผมสั้นเสมอหูแพร่กระจายออกไป ก็เกิดความเคลื่อนไหวจากกลุ่มคนหลากหลายระดับและอาชีพ ทางฝั่งของครูโดยเฉพาะครูฝ่ายปกครองหลายคนออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยกับการที่จะยกเลิกทรงผมเก่าที่นักเรียนไทยได้เคยปฏิบัติตามกฎระเบียบนั้นสืบต่อกันมาเนิ่นนาน
"ที่อยากให้เด็กเล็กตัดสั้นเกรียน หนึ่งคือเรื่องของการรักษาความสะอาด สองคือการแต่งกายทั้งเครื่องแบบรวมถึงทรงผมต่างๆ เหล่านี้ มันก็จะเป็นตัวแยกนักเรียนออกจากประชาชนทั่วไปชัดเจน ถ้าเขาไปทำอะไรผิดเราก็ว่ากล่าวตักเตือนได้ เพราะเรารู้ว่าเขาเป็นนักเรียน โดยเฉพาะนักเรียนหญิงที่ชอบแต่งตัวไปรเวท ปล่อยผมแต่งหน้าแต่งตา เราไม่สามารถแยกแยะเขาได้เลย ผมเห็นว่าให้นักเรียนตัดผมสั้นแบบเดิมก็ดีอยู่แล้ว" อลงกรณ์ นิยะกิจ รองผอ.ฝ่ายปกครอง ร.ร.มัธยมวัดมกุฏกษัตริย์ หนึ่งในคณะทำงานพิจารณาข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับแบบทรงผมของนักเรียนนักศึกษา อธิบายถึงความจำเป็นที่ต้องออกกฎระเบียบให้เด็กตัดผมสั้น
ขณะเดียวกันในอีกฟากฝั่งหนึ่งของผู้ใหญ่ ก็มีคนเห็นด้วยกับการปลดแอกทรงผมนักเรียนในครั้งนี้ โดยนักวิชาการอย่าง สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ จุฬาฯ เคยแสดงทัศนคติในประเด็นนี้ผ่านสื่อว่า การยกเลิกกฎระเบียบเรื่องทรงผมนั้นเป็นการปลดล็อคทัศนะเดิมๆ และเห็นด้วยกับการที่จะให้อิสระเสรีกับเด็กในเรื่องทรงผมเนื่องจากกฎเกณฑ์ในอดีตขัดกับวิถีชีวิตวัยรุ่นในปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงระเบียบเรื่องทรงผมครั้งนี้จะทำให้เด็กมีอิสระในชีวิตมากขึ้น แต่ทั้งนี้ทางโรงเรียนควรส่งเสริมให้เด็กมีวินัย รู้จักดูแลตนเอง ตลอดจนฝึกให้เด็กใช้วิจารณญาณด้วยตัวเองว่าการไปโรงเรียนควรจะมีทรงผมแบบใดจึงจะเหมาะสม
ไม่ใช่แค่ผู้ใหญ่เท่านั้น แต่เด็กๆ เองก็มีวิธีคิดและวิธีจัดการกับปัญาเรื่องทรงผมในแบบของพวกเขาเองเช่นกัน ภูริช จันทเลิศลักษณ์ นักเรียนชั้นม.3 โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย นนทบุรี พูดถึงประเด็นนี้ว่า ส่วนตัวไม่ได้เดือนร้อนกับเรื่องนี้มากเท่าไหร่ เพราะตัดผมสั้นเป็นปกติอยู่แล้ว หากถามว่าอยากตัดผมสั้นเกรียนไหม ส่วนตัวก็ไม่ได้ชอบผมเกรียน แต่อยากไปตัดผมด้วยเหตุผลสองสามข้อคือ หนึ่งเป็นนักเรียนหลวงซึ่งเด็กสวนกุหลาบชายทุกคนต้องแต่งกายให้ถูกตามระเบียบทั้งเครื่องแบบและทรงผม สองต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับรุ่นน้อง และสามเป็นความปลอดภัยของตัวเอง หากไว้ผมยาวก็จะระแวงว่าอาจารย์จะมาหักคะแนนเมื่อไหร่
"ถ้าถามผมเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ผมจะบอกว่าไม่เห็นด้วยกับการยกเลิกทรงผมเกรียนนะ แต่ตอนนี้มันมีการเปลี่ยนแปลงตรงที่ว่าแม้กระทั่งระเบียบในสังคมโรงเรียนก็ยังบังคับเด็กจำนวนมากให้ปฏิบัติตามกฎของโรงเรียนไม่ได้เลย ตอนนี้ผมก็เลยขอตอบว่าเห็นด้วยที่จะยกเลิกเพราะเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเด็กเหล่านี้ให้อยู่ในระเบียบวินัยเหมือนสมัยก่อนได้ ขนาดมีกฎห้ามซอยผมก็ยังเห็นซอยผมกันมา มันก็เลยไม่มีประโยชน์ เพราะฉะนั้นแล้วก็ทำให้มันถูกต้องไปเลยดีกว่า เพราะบรรทัดฐานหรือว่าสังคมของนักเรียนขาสั้นปัจจุบันนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว"
กฎใหม่ กระบวนทัศน์ใหม่
ไม่ว่าใครจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับเรื่องผมเกรียน-ผมสั้นเสมอหูในมุมใดก็ตาม แต่หลักใหญ่ใจความของเรื่องนี้ไม่น่าจะอยู่ที่เรื่องของทรงผมเท่านั้น หากแต่เป็นการมองช็อตต่อไปว่าสังคมไทยได้อะไรจากปรากฏการณ์นี้ และผู้ใหญ่ควรเล็งเห็น
นพ.สุริยเดว ทรีปาตี ผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว อธิบายว่า เรื่องกฎระเบียบทรงผมนั้นเป็นไม้เบื่อไม้เมาระหว่างครูฝ่ายปกครองกับเด็กมานานแล้ว แต่บางครั้งอำนาจของครูมักจะทำให้เด็กเกิดความเครียดขึ้นมาได้ ด้วยความที่ครูจะต้องคอยกำราบเด็กที่ไม่ทำตามกฎ แต่การกำราบโดยใช้วิธีการจับเด็กมาโกนผมหรือตัดผมต่อหน้าเพื่อนๆ สัญญาณนี้เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของการใช้อำนาจของครูซึ่งมันไม่เหมาะ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กเกินไป
"แต่ผู้ใหญ่สามารถลดอัตตา แล้วมาแก้ไขตรงนี้ได้นะ โดยการใช้จังหวะเวลานี้ในการที่จะทำให้คน 3 กลุ่มมาเจอกัน คือ ครู ผู้ปกครอง และ สภานักเรียน เพราะกลไกของกระทรวงศึกษามีสภานักเรียนอยู่แล้ว จากนั้นก็วางกฎเกณฑ์ขึ้นมาโดยที่ยึดเอาขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมและประเพณีของชาติบ้านเมืองมาเป็นกรอบ ก็มาสร้างข้อตกลงร่วมกันแล้วเกิดกติการ่วม มันก็จะส่งสัญญาณเข้าถึงยุคใหม่ เข้าถึงความเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง แล้วมันจะงดงามมากขึ้นด้วย กระทรวงฯ มีหน้าที่ออกเกณฑ์กลางโดยไม่หยุมหยิมจนเกินไป คือออกหลักการคร่าวๆ เช่น ให้ตัดรองทรงหรือใกล้เคียง ผู้หญิงถ้าผมยาวให้ถักเปีย ส่วนรายละเอียดที่เหลือแต่ละโรงเรียนก็ว่ากันไป"
อย่างไรก็ตาม นอกจากจะให้สิทธิเสรีภาพกับเด็กในเรื่องทรงผมแล้ว ผู้ใหญ่เองก็ต้องไม่ลืมที่จะอบรมสั่งสอนในเรื่องของหน้าที่ควบคู่กันไปด้วย หากทำได้เด็กเองก็จะถูกปลดแอก ผู้ใหญ่ก็จะไม่เครียด เพราะมีการตกลงร่วมกันแล้ว แต่หากยังย่ำอยู่กับการจัดการปัญหาด้วยวิธีเดิมๆ มีแต่จะทำให้เด็กไทยไม่รู้จักโต ไม่รู้จักคิด
"การที่ออกกฎบังคับเรื่องนี้จนมันตึงเกินไป บางครั้งมันไม่ใช่กับสมัยนี้ ต้องลืมเรื่องพวกนั้น ถ้าคุณยังมีการใช้อำนาจแบบนั้นอยู่ภาพที่คุณจะเห็นคือ เด็กเดินเป็นแถว เด็กคิดนอกกรอบไม่เป็น เพราะทันทีที่คิดนอกกรอบปุ๊บ กลัว ขยาด แล้วตกลงเราอยากให้เด็กไทยที่ต่อไปจะยืนอยู่ในประชาคมอาเซียน กล้าคิด กล้าพูด กล้าเสนอความคิดเห็นแม้ความคิดเห็นจะแตกต่างจากผู้อื่นไหมล่ะ มันไม่ใช่แค่เรื่องทรงผมแล้ว มันอยู่ที่ว่าผู้ใหญ่จะเพิ่มเติมทำอย่างไรให้เด็กไทยฝึกคิดเรื่องเหล่านั้น"
นพ.สุริยเดว บอกอีกว่าหากจะพัฒนาให้เด็กไทยก้าวไปสู่ประชาคมอาเซียนได้อย่างเต็มภาคภูมินั้น กระทรวงศึกษาธิการต้องเปลี่ยนกระบวนทัศน์ใหม่ สำหรับครูอาจารย์เองก็ต้องเปลี่ยนกระบวนตัวเอง แทนที่จะเป็น teacher ก็เปลี่ยนให้เป็น facilitator ครูจะต้องเป็นผู้มีความรู้แน่นแต่ไม่ต้องรู้หมด ให้เด็กไปหามาเพิ่มแล้วสร้างกระบวนการเรียนรู้ไปด้วยกัน ซึ่งจะทำให้ห้องเรียนสนุกมากขึ้น เด็กไทยจะใฝ่เรียนรู้และเพิ่มพูนปัญญาได้แน่นอน
"เด็กไทยต้องติดอาวุธ ต้องมีศักยภาพทางการเรียนรู้ ไม่ใช่เรียนท่องจำ เด็กต้องมีสมรรถนะในการเรียนรู้ ไม่ใช่แค่เรียนเฉยๆ สองคือ ศักยภาพทางด้านความคิด เป็นความคิดสร้างสรรค์ เป็นความคิดเชิงบวก ความคิดในการจัดการเป็นระบบ สามคือ ศักยภาพในการอยู่ร่วมกับสังคม เพราะเราจะก้าวสู่อาเซียน เด็กยุคใหม่ต้องเจอสัมคมที่กว้างใหญ่ขึ้น และสี่คือ ศักยภาพในการสื่อสารและการใช้เทคโนโลยี
เหล่านี้คือสิ่งที่เราต้องเพิ่มเติมนอกเหนือจากเรื่องให้สิทธิของทรงผม" ผอ.สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กฯ กล่าวทิ้งท้าย