งานนี้ไม่เหมาะกับคนขี้แพ้ 'บุญยืน ศิริธรรม'

งานนี้ไม่เหมาะกับคนขี้แพ้ 'บุญยืน ศิริธรรม'

จับเข่าคุยกับนักเคลื่อนไหวหญิงที่ทุ่มเทชีวิตแก่งานคุ้มครองสิทธิผู้บริโภค ผู้พลิกมุมมองที่มีต่อปัญหาของปัจเจก ให้ยกระดับขึ้นเป็นปัญหาสาธารณะ

ชื่อของ บุญยืน ศิริธรรม เป็นที่รู้จักรับรู้กันดี ในฐานะนักสู้เพื่อความเป็นธรรมจากสมุทรสงคราม เคยผ่านงานเคลื่อนไหวการเมืองภาคประชาชนมาอย่างโชกโชน ไม่ว่าจะเป็นงานอนุรักษ์ลุ่มน้ำแม่กลอง งานต่อต้านโรงไฟฟ้า ต่อต้านนิคมอุสาหกรรม ฯลฯ เป็นต้น

ในระยะหลัง บุญยืน ก้าวออกจากพื้นที่ หันมาทำงานระดับนโยบายมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การผลักดันให้เกิดองค์กรอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ซึ่งใช้เวลามานานถึง 16 ปี โดยล่าสุด ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ กำลังอยู่ในการพิจารณาของสภา

ในฐานะประธานสหพันธ์องค์กรผู้บริโภค บุญยืน กับคณะ ออกโรงเรียกร้องบทบาทที่เหมาะสมของ กสทช. เป็นระยะๆ บางครั้งถึงกับขู่ฟ้ององค์กรอิสระแห่งนี้ ในกรณีล็อควันเติมเงิน เอื้อประโยชน์ให้แก่เครือข่ายโทรศัพท์มือถือเลยทีเดียว

นี่คือบทสนทนาเพื่อสะท้อนถึงตัวตนบางด้านของผู้หญิงคนนี้ กับงานคุ้มครองสิทธิผู้บริโภค แม้ภารกิจจะหนักอึ้ง แต่เมื่อถามถึงชีวิตด้านใน เธอตอบง่ายๆ เพียงว่า

"เราเป็นคนอารมณ์ดี พอล้มตัวบอกให้หลับก็หลับเลย เราไม่เจ็บไม่ไข้เหมือนกับใคร ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรเหมือนกัน อาจมีคนสาปแช่งเยอะ เลยแข็งแรงมาก เมื่อใดไปจังหวัดไหนก็ตาม จะแวะเที่ยว ทุกครั้งที่มีเวลา ฉันจะพาหลานไปโดดน้ำ แต่เราไม่ไปดูหนังฟังเพลง ป่าเขาลำเนาไพรคือสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขที่สุด เราเป็นคนอยู่นิ่งไม่ได้ ต้องคิดอยู่ตลอด แต่ก็ต้องวางกำลังไว้ เราจะอยู่ค้ำฟ้าได้ยังไง..."

เคยทำงานระดับพื้นที่ เมื่อขึ้นมาทำงานระดับประเทศ เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร

เราอาจเกิดมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ อยู่ในพื้นที่ เราก็ช่วยชาวบ้านมาตลอด เรามีความรู้สึกว่าชาวบ้านถูกเอาเปรียบ ความเท่าเทียมมันอาจอยู่ในสายเลือดเรา แต่มีความรู้สึกว่า สู้ข้างล่าง สู้ให้ตาย ถ้าเข้าไม่ถึงนโยบาย มันก็ลำบาก เพราะเราคิดว่านโยบายสำคัญ ถ้านโยบายไม่ดี ไม่เป็นธรรม คนปฏิบัติข้างล่างก็มีปัญหา เราจะไม่ทะเลาะกับเจ้าหน้าที่ข้างล่าง เพราะเขาทำตามนโยบาย สิ่งหนึ่งคือต้องมาถึงนโยบายให้ได้ เพื่อจะได้มาจัดการที่นโยบายให้เกิดความเป็นธรรม

ถามว่ามีความเหมือนไหม เรารู้สึกว่า ทำงานในพื้นที่มีความสุขมาก ทำงานข้างบน ยิ่งเห็นหน่วยงานละเลยการคุ้มครองผู้บริโภค ยิ่งมีความรู้สึกว่าประเทศเรานี้ อะไรที่จะสร้างความเป็นธรรมให้แก่ประชาชน มันเป็นความยากลำบาก อย่างเช่น องค์กรอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค เราเห็นว่าการคุ้มครองผู้บริโภคของประเทศไทยมีปัญหา 16 ปีกฎหมายเรายังไม่ออก ไม่เหมือนกฎหมายหรือนโยบายที่นักการเมืองเขาสนใจ เขาออกได้ทันที ซึ่งรัฐธรรมนูญเขียนไว้ว่า ประชาชนมีสิทธิเข้าชื่อเสนอกฎหมาย ก็ได้ตามนั้นเลยคือ 'มีสิทธิเข้าชื่อ' แต่ไม่มีสิทธิออกมาเป็นกฎหมาย

ส่วนการทำงานในพื้นที่ มันพี่น้องกัน คุยกันรู้เรื่อง เรามีความรู้สึก กับป่าเขาลำเนาไพรแม่น้ำลำคลองของเรา แต่ตรงนี้ปวดสมอง ต้องคิดอยู่ตลอด สมองนี้ไม่ได้หยุดเลย มันทำงานอยู่ตลอด และงานผู้บริโภคเป็นงานซูเปอร์มาร์เก็ต แต่ละเรื่องไม่ง่ายเลยสักเรื่องเดียว เป็นเรื่องยากทั้งหมด

คุณมองความตื่นตัวของประชาชนกับเรื่องสิทธิผู้บริโภคอย่างไร

คิดว่าแต่ก่อนนิ่งมากเลย มันเป็นเวรเป็นกรรม ยกตัวอย่างเช่น เรื่องรถโดนโจรกรรม รถเป็นเหตุของการเช่าซื้อ ถ้าพิสูจน์ได้ว่า ไม่ได้เป็นการประมาทเลินเล่อของเรา ในสัญญานั้น ต้องโมฆะสิ ต้องไม่มีการผ่อนต่อสิ ตรงนี้ สคบ. ประกาศบอ มีรถหาย ถ้าพิสูจน์ได้ว่าไม่ได้เป็นการประมาทเลินเล่อของเรา ถือว่าสัญญานั้นเป็นอันโมฆะ ซึ่งเราไม่ต้องผ่อนต่อ แต่ประชาชนไม่เคยรู้เลย ก็ผ่อนกุญแจกันตาเหลือกไป พอเราผ่อนเยอะๆ เข้า บริษัทไฟแนนซ์ก็บอกว่า ถ้าคุณจะผ่อนรถกับฉัน คุณต้องทำประกันรถหาย ทั้งๆ ที่ทำประกันรถหาย เราเป็นคนจ่ายเงิน แต่เวลารถหาย คนที่ได้คือบริษัท เรื่องเหล่านี้ประชาชนไม่เคยรู้เลย ถามว่าตื่นตัวขึ้นไหม ขณะนี้ตื่นตัวบ้างตามศักยภาพที่เรามี เพราะเราไม่มีเงินที่จะไปซื้อสื่อที่จะไปสร้างกระบวนการให้เหมือนกับบริษัทโฆษณา เราใช้กระบวนการปากต่อปาก และกระบวนการปากต่อปากก็ได้ในระดับหนึ่ง อย่างน้อยวันนี้ เรามีเครือข่ายร่วมทั่วประเทศ ในขณะนี้เราเป็นเครือข่ายที่ค่อนข้างมีพลังในสังคมไทย

หลายคนอดตั้งคำถามถึงที่มาของสหพันธ์ฯ ไม่ได้ ?

เรามีมูลนิธิผู้บริโภคก็จริง แต่ยังมีสหพันธ์ผู้บริโภคสากล พวกเราคิดว่ามูลนิธิผู้บริโภค เขาไม่ได้รับสมาชิก เขาทำงานเป็น case by case แต่ว่าหลังๆ เริ่มทำงานเป็นเครือข่ายมากขึ้น

แต่สหพันธ์ มีการสมัครสมาชิก สหพันธ์มีนโยบายที่สนับสนุนให้เกิดองค์กรผู้บริโภคในจังหวัดต่างๆ แล้วองค์กรผู้บริโภคเหล่านั้น ก็มาเป็นสมาชิกของสหพันธ์ แล้วทำเรื่องเชิงนโยบาย จากนั้น สหพันธ์เราเชื่อมกับสหพันธ์องค์กรผู้บริโภคสากล ชื่อก็สอดคล้องกับองค์กรผู้บริโภคสากล บทบาทหน้าที่ของเรา หลักๆ คือผลักดันองค์กรอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค เป็นโต้โผใหญ่ตั้งแต่เริ่มร่าง พรบ. เริ่มรับฟัง ล่ารายชื่อ บทบาทหน้าที่ของเรา สหพันธ์องค์กรผู้บริโภค คือสร้างความเป็นธรรมให้แก่ผู้บริโภค สร้างความเข้มแข็งและผลักดันให้เกิดความเป็นธรรมแก่ผู้บริโภค

ยกตัวอย่างเช่น เราผลักดัน พ.ร.บ. องค์กรอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค เพราะเราคิดว่า ถ้ามีกฎหมายผู้บริโภค ความเป็นธรรมจะเกิดได้ง่ายกว่าปัจจุบัน เราพยายามเขียนกฎหมายให้ครอบคลุม แต่นักการเมืองไม่ค่อยชอบ บอกว่าอำนาจหน้าที่มากเกินไป นักการเมืองบอกมีองค์กรอิสระก็ได้ แต่ไม่ต้องทำหน้าที่อะไรมากได้ไหม ต้องบอกว่าทุนของนักการเมืองก็คือธุรกิจ และอำนาจของนักการเมืองก็คือหน่วยราชการ ซึ่งอยู่ในครอบครอง ยกตัวอย่างเช่น กระทรวงการสาธารณสุขประกาศขึ้นค่าบริการ แต่บอกไม่กระทบประชาชน คุณเชื่อไหม? แล้วขึ้นกับใคร ถ้าไม่ใช่ขึ้นกับประชาชน อันนี้ไม่ต้องถาม ประกาศขึ้นค่า FT ถ้ามีองค์กรอิสระ ต้องถามองค์กรอิสระก่อน ประกาศขึ้นราคาก๊าซ เราไม่ได้ไม่ให้ขึ้น แต่เหตุผลของการขึ้นคืออะไร ก่อนที่คุณจะออกอะไร เราขอดูก่อนได้ไหมว่าที่คุณออกมันสมเหตุสมผลไหม ละเมิดสิทธิหรือเปล่า โดยเฉพาะเรื่องพลังงาน กฎหมายฉบับนี้ไม่ได้เกิดเพราะพลังงานคือขุมสมบัติของทั้งนักการเมืองและข้าราชการระดับสูง

มีคนอาสามาทำงานมากน้อยแค่ไหน

คนอาสาจริงๆ ก็มี อย่างเรา ไม่มีเงินเดือน ถ้าไม่มีอาชีพทางบ้าน เราก็ลำบาก ใครจะบอก NGO แต่เราไม่เคยรับเงินต่างชาติ เราไม่เคยรับเงินองค์กรไหน นอกจากเอาเงินไปสนับสนุนเครือข่าย อันนี้ตรงใจล้วนๆ ต้องบอกก่อนว่า ประเทศไทย สังคมไทย ไม่ค่อยเอื้อให้คนทำดีเท่าไหร่ แต่เอื้อให้คนทำอะไรไม่รู้ ยิ่งมีอำนาจก็ยิ่งไป แต่ทำงานตรงนี้ ต้องอดทน ถามว่ามีอาสาสมัครไหม เรามีทั่วประเทศ เรามีคนที่พร้อมสร้างความเป็นธรรมให้แก่สังคม เพราะเรามีความเชื่อว่า คนเราไม่ได้เกิดมามีสามีมีลูกมีอาชีพแล้วจบ แต่เราเกิดมา ควรทำอะไรเพื่อคนอื่นบ้าง มีการแลกเปลี่ยนวิธีคิด ปรับพัฒนากระบวนวิธีคิด เรามีตลอด มีคนรุ่นใหม่ซึ่งวันนี้ถ้าเราเดินลงก็จะมีคนเดินขึ้น เรื่องนี้เราให้ความสำคัญกับคนแถวมาก มีนักวิชาการที่ช่วยเหลือเราอยู่ค่อนข้างเยอะ ส่งข้อมูลให้เราในเรื่องที่เราไม่รู้ มีการส่งต่อมาจากนักวิชาการและมีคนทำงานวิชาการให้เรา โดยที่ไม่ต้องมาพูดเรื่องเงิน เพราะไม่มีจ่ายให้อยู่แล้ว แต่พร้อมที่จะไปกับเราได้ตลอด เราคิดว่าประเทศไทยไม่ได้ตันนัก มีคนดีอยู่เยอะ แต่ช่องทางการทำดีมันลำบากเท่านั้นเอง มันเป็นเรื่องเบื่อหน่ายที่คนไม่อยากจะใช้สิทธิเพราะมันไม่เอื้อ

ความร่วมมือทางนักวิชาการ ส่วนหนึ่งเราให้ข้อมูลเขาไป เขาก็ให้ข้อมูลเรามา และข้อมูลที่จะเสนอหน่วยงานที่จะเกิดการแก้ไขเชิงนโยบาย สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยคือ ต้องมีข้อมูลเชิงวิชาการ เช่น มูลนิธิเขาก็มีเครือข่ายทนาย นักเรียนเยอรมัน และเครือข่ายนักวิชาการมากมาย งานที่เราทำคนที่ไม่ลำเอียงเที่ยงธรรม ไม่มีส่วนประโยชน์ทับซ้อนอะไร เขาก็จะมีความรู้สึกชอบเรา ประเทศนี้ถ้าไม่มีคนอย่างเรา ความเป็นธรรมจะเกิดที่ไหน บางคนก็ให้กำลังใจ อ.หมอประเวศ (วะสี) บอกว่า “บุญยืน สังคมไทยต้องการคนแบบบุญยืน คนที่พูดตรงๆ หน่วยงานมันกลัว บุญยืนเป็นคนแปลกนะ แต่ไม่ได้แปลกคน” เพราะเราเป็นคนตรงๆ ถ้ามันจริง เราก็พูด คิดว่าเราอยู่ในวงการนี้ได้ เพราะเราเป็นคนตรงไปตรงมา พูดตรงแต่ไม่ได้พูดเพราะ มี "กู" "มึง" บ้างตามโอกาส เรามาจากชาวบ้าน มาจากไต้ก๋งเรือ เป็นชาวประมงมาก่อน เป็นมนุษย์รักอิสระอย่างสมบูรณ์แบบมาก เป็นลูกจ้างใครไม่ได้หรอก ไต้ก๋งเรือเป็นคนที่บริหารจัดการ เป็นคนที่ตัดสินใจ พอมาทำงานตรงนี้แล้ว เรื่องของการมีส่วนร่วมเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง มาทำงานตรงนี้เย็นลงเยอะ

เรื่องคนอาสามาทำงาน เราพึ่งเขา เขาพึ่งเรา เขามาช่วยเรา ไม่ใช่เรื่องของเรา แต่ช่วยเพราะงานสังคม เราช่วยเขา ไม่ได้ช่วยเขา แต่ช่วยงานสังคม ไม่ใช่นักสังคมสงเคราะห์ แต่งตัวสวย ไม่ใช่จิตอาสาที่ต้องไปประจำอยู่โรงพยาบาลหรือที่ใดที่หนึ่ง แต่เราเป็นคนคิดว่า ต้องช่วยกันปฏิรูปสังคมให้เกิดความเป็นธรรม ไม่ต้องมีสำนักงานปฏิรูป แต่เราปฏิรูปเชิงนโยบาย อะไรที่ไม่ถูก ก็ออกมาส่งเสียงดังๆ และส่วนหนึ่งที่เราคิดว่า เป็นเครือข่ายที่สำคัญของเรามากๆ คือสื่อมวลชน สิ่งที่เราทำ ชาวบ้านจะไม่รู้เลย ถ้าสื่อมวลชนไม่ให้ความร่วมมือ เป็นเรื่องของเครือข่ายอีก บางเรื่องเราพึ่งเขาได้ แต่บางเรื่องเราต้องเข้าใจว่าพึ่งยาก เช่น เรื่องพลังงาน เราพึ่งสื่อไหนไม่ได้ เราก็เข้าใจ เพราะสื่อมวลชนอยู่ได้ด้วยรับการโฆษณา แล้ว ปตท. เป็นนายทุนใหญ่มากในการซื้อโฆษณา ไม่ว่าจะเป็นสื่อประเภทไหน ข้อมูลค่อนข้างตัน สื่อบางคนอยากช่วยเรามาก แต่ทำไงได้ ไม่ได้เป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์ แม้แต่เจ้าของหนังสือพิมพ์ ก็ต้องดูความอยู่รอดของลูกน้องอีก เราเข้าใจ อันไหนที่พึ่งได้ เราก็พึ่งกัน ในพื้นที่สื่อเขาให้โอกาสเราเยอะมาก แต่ในบางเรื่องเท่านั้นที่ไม่ได้ ได้ไม่ทุกเรื่อง บางเรื่องมีข้อจำกัดเยอะแยะ บางเรื่อง เช่นเรื่องจอดำ ออกมาด่าเราเลยว่า พวกอยากดูบอลแต่ไม่ยอมเสียเงิน แต่ตัวเราไม่เคยดู แต่มีความรู้สึกว่าถูกละเมิด มันเป็นสิทธิของเรา แต่ไปแลกกับลิขสิทธิ์ที่คุณซื้อมา แล้วคุณก็มาละเมิดสิทธิเรา เพราะฉะนั้นที่เราทำ ไม่ได้โกรธเกลียดกับแกรมมี่ ทำให้เห็นว่าไม่ว่าหน่วยงานไหน เวลาคุณไปเจรจา คุณอย่าดึงเรื่องนี้

อะไรเป็นเรื่องใหญ่สุดของงานผู้บริโภค

องค์กรอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ใช้เวลามา16 ปีแล้ว เรื่องอื่นๆ ก็ว่ากันไป เราคิดว่าเป้าใหญ่ ถ้าเรามี พ.ร.บ. ฉบับนี้ เรื่องอื่นๆ ก็จะได้รับการคลี่คลาย ระเบียบอะไรที่ละเมิดอยู่แก้ซะ อะไรที่จะออกระเบียบใหม่ ถ้าไม่ละเมิด เราอยากให้ผู้ประกอบการมีธุรกิจสีขาว ได้กำไรในสิ่งที่คุณควรได้ คุณไม่ควรได้กำไรจากการเอาเปรียบ จากการโกง เช่นเรื่องบัตรเติมเงิน อันนี้คุณไม่มีสิทธิจะเอา แต่คุณก็ได้ไปหลายแสนล้านบาท ในขณะที่องค์กรกำกับนั่งนิ่ง

กสทช. เราผิดหวังสุดๆ เช่นเรื่องบัตรเติมเงิน สมัย กทช.ออกระเบียบไว้ตั้งแต่ปี 49 ว่าห้ามผู้ประกอบการกำหนดมาตรการใดๆ เป็นการบังคับใช้บริการ เติม 300 ต้องใช้หมดใน 30 วันบังคับไหม ตรงนี้เติมไปก็เงินเรา ใช้ไม่ทันก็เอาเงินเราไปอีก ขนาดเขาจะยึดทรัพย์กัน ต้องสอบสวนกันเกือบตาย แต่นี่ผิดแค่ใช้ไม่ทัน ยึดทรัพย์เราเลย เงินที่ยึดเราไปน่าจะ 7 แสนล้านได้ที่ยึดเราไป ตอนนี้มี 74 ล้านเลขหมาย เขาหักแค่วันละ 1 บาทได้วันละ 74 ล้านบาท ตั้งแต่ปี 49 ถึง 56 เป็นเวลา 6 เกือบ 7 ปี 74 ล้าน คูณ 365 วันเข้าไป แต่มันมากกว่านั้น คุณเชื่อหรือว่า แค่บาทเดียว งานวิจัยออกมาชัดเจนว่า คนเราเดือนนึงจะใช้ประมาณ 200 แต่คุณบังคับให้เติม 300 บาท 74 ล้านเลขหมาย คุณได้มหาศาลขนาดไหน

และสิ่งหนึ่งคือ ไม่บังคับใช้ระเบียบของตัวเอง เขียนสวยเขียนดี แต่ไม่บังคับใช้ พอเราไปอ่านเจอ เราก็บอกว่าคุณต้องบังคับใช้ระเบียบของคุณ ก็ท่านั้นท่านี้ ออกหนังสือที 4 เดือน ฉบับนึงยังไม่ออก ทำอะไรล่าช้าไปหมด จนประกาศปรับ ปรับเขาไม่ได้ เขาก็ฟ้องศาล นี่ลิเกยิ่งกว่านั้น พอนักวิชาการ NBTC ออกมาบอกปี 55 กสทช. ล้มเหลวเรื่องการคุ้มครองผู้บริโภคอย่างสิ้นเชิง ปีนี้เขาออกมาเลย เราจะเป็นปีแห่งการคุ้มครองสิทธิตั้งแต่วันที่ 18 มกราคม เป็นต้นมา จะไม่มีการบังคับวันหมดอายุอีกแล้ว เอาเข้าจริงไปเติม ยังกำหนดอยู่ ค่าปรับปรับแสนเดียว วันนึงร้อยล้าน คุณปรับร้อยล้านยังได้เลย แต่เลือกจะปรับแค่แสนเดียว นี่ยังไม่ได้ซักบาทนะ ถามว่าคุณจะปรับกี่วัน เพราะคุณมีอำนาจถึงยึดใบอนุญาต สิ่งที่เรารู้มา เขาก็ไปเปิดบอกบริษัท ถ้าบริษัททำไม่ได้ ยื่นเข้ามา บริษัทขอตัดภายใน 30 วัน แล้วก็ทำท่าจะอนุมัติ เพื่อที่จะให้เขาตัดได้ 30 วันเหมือนเดิม มันลิเกไหม มาตรา 11 ไม่เคยบังคับใช้ ทำท่ามาดีว่าจะปรับ แต่ยังไม่ปรับซักบาท คุณไม่เคยใช้อำนาจของคุณเลย คุณทำเพื่อให้เขาฟ้องศาลปกครองไม่ได้ ทำแล้ว แต่ยังไม่ได้ปรับซักบาท ถามว่าวันนี้โดนตัดไหม? โดน คุณว่าอย่างนี้ผิดหวังไหม? เราอยากจะเอา กสทช. มาใส่ครกแล้วตำรวมกันจริงๆ

หรือเป็นเพราะสังคมไทยมองว่า นี่คือปัญหาของปัจเจก ไม่เคยมองเป็นเรื่องสาธารณะ ?

เรามีอยู่เรื่องที่ทำสำเร็จ ตอนนั้นเราเป็นกรรมการ สปท. มีคนร้องเรียนเข้ามา เรื่องการเรียกเก็บค่าสัญญา 107 บาท เราใช้รายเดือน เราลืมจ่ายหรืออะไรไม่รู้ เราถูกตัดสัญญาณไปแล้ว แต่เราต้องเสียค่าปรับ 107 บาท พอมีเรื่องร้องเรียนเข้ามา บริษัทรีบคืนเลย พอไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น ปรากฏว่าเขาไม่มีสิทธิเก็บ แต่ว่ามันเหมือนงูกินหาง ระเบียบของ กทช. สมัยนั้นเขียนชัดเจนว่า ต้องมีคนร้องทุกข์ คนร้องทุกข์เสร็จ ต้องไกล่เกลี่ยก่อน พอไกล่เกลี่ยเสร็จ บริษัทจ่ายเงิน แล้วยอมความ ทำยังไงก็ไปไม่ถึงนโยบาย เรื่องมันจ่ายก็จบ

เราเลยบอกว่าอย่างนั้นเราร้องเอง หลายคนบอกไม่ได้ เป็นองค์กรกำกับ เธอจะร้องเองได้ยังไง เราบอกว่าเราต้องร้อง เพราะถ้าเราคุ้มครองตัวเองไม่ได้ เราจะคุ้มครองใครได้ ทำงานคุ้มครองผู้บริโภค แต่คุ้มครองตัวเองไม่ได้ เราล่อซื้อเลย ปล่อยให้ตัด พอมันตัด เราเลยให้น้องไปจ่ายค่าโทรศัพท์ให้ แล้วเอาเงิน 107 บาทนั้นมาให้ด้วยแล้ว เราก็ไปร้องเรียน แต่เรื่องร้องเรียนของเราไม่เหมือนเรื่องอื่น มันจะไม่ส่งไปบริษัทไกล่เกลี่ย เราร้องเรียนไปว่าเราไม่ต้องการ 107 บาทคืน ร้องไปถึง กสทช. เลย อยากทราบว่าบริษัทมีสิทธิเก็บ 107 บาท ไหม ร้องเรียนไป 1,200 แค่ร้องเรียนเบื้องต้น แต่ความยากลำบาก คุณร้องเรียนจริง คุณต้องหอบเอกสารไป กสทช.

ถ้าคุณอยู่นราธิวาส คุณจะมาร้อง กสทช. ไหม มันน่าจะมีหน่วยงานในท้องถิ่น เราก็ไปสร้างองค์กรในท้องถิ่น ตอนนั้น มีเรื่องร้องเรียนเยอะมาก จากเดิมปีละ 10 กว่าเรื่อง ตอนที่เราทำ สปท. ปีนึงขึ้นไป 4,000 เรื่อง ในพื้นที่ก็เยอะ เพราะฉะนั้น เราก็ต้องหอบเอกสารของเราถ่ายบัตรประชาชนไป เป็นผู้ร้องเรียนที่สมบูรณ์แบบ ร้องไปที่ กสทช. ร้องไป 5 เดือน กสทช.ก็มีคำสั่งจากศาลปกครอง นี่คือชื่อที่ บุญยืน ร้องไป ถ้าเป็นคนอื่นจะมีคำสั่งอย่างนี้หรือเปล่าไม่รู้ ปรากฏว่าศาลปกครองบอกว่า ให้คืนเงิน 107 บาทให้คุณบุญยืนพร้อมดอกเบี้ย 2 บาท คุณคิดว่ายังไง 5 เดือนได้ 2 บาท มนุษย์ทั่วไปจะร้องไหม มันเอื้อไหม แล้ว 2 บาทนี้เราได้มา (รวม) 109 บาท ได้มาเป็นเช็ค

อันดับหนึ่งเราต้องเดินไปเข้าเช็ค รอเคลียริ่ง ค่ารถคุ้มไหม อันดับสอง เมื่อเงินเข้าเช็คแล้ว เราต้องนั่งรถไปเบิกเงิน 109 บาทอีก 109 บาท นั้นเราทิ้งเช็คไปเลย แต่คำสั่งจะปกครองเราคนเดียวไม่ได้ เรามีหนังสือไปถึง กทช.สมัยนั้น ถ้าคุณตัดสินแบบนี้ คุณต้องออกคำสั่งทางปกครอง เขาถึงได้ออกคำสั่งทางปกครอง เขาออกคำสั่งทางปกครองมาว่า ห้ามเก็บ 107 บาท รวมถึงโทรศัพท์บ้านด้วย และสิ่งที่เราถามไปว่าเดือนเดียวตัดแล้ว บางอันเก็บ 107 บางอันเก็บ 216 เก็บไม่ท่ากันไม่รู้ว่าเก็บอันไหนได้แน่ ตกลงเก็บไม่ได้ และบอกชัดเจนระยะเวลาต้องไม่จ่ายติดต่อกัน 2 เดือน และมีหนังสือยื่นเวลาถึงจะตัดได้ นี่คือสิ่งที่ไม่เอื้อให้การใช้สิทธิ เขาบอกว่าถ้าไม่ใช่เรา 2 บาทเขาจะฟ้องกันไหม เราต้องเสียค่ารถมาจากแม่กลอง เสียค่าถ่ายบัตรค่าเอกสาร เสียเวลา 5 เดือนได้ 2 บาท แต่ว่าภาพรวมมันปีละ 3 พันล้าน ฟ้าส่งให้เขามาเกิด หรือเรามาเกิดให้บริษัทเขาเดือดร้อน จริงๆ นี่คือเงินที่เขาไม่ควรได้

เคสที่ผ่านมา เคยประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงใด

เราทำสำเร็จไปได้ค่อนข้างเยอะ แต่ความสำเร็จของเราอยู่บนความล่าช้า มันช้ามากกว่าสำเร็จ คือว่า 1 - หน่วยงานรัฐไม่เอื้อเรา 2 - ฝ่ายนโยบายไม่ชอบเรา เขาอยากจะเป็นพระเอกกับประชาชน อย่างหลักประกันฯ เราก็ทำมา แต่คุณอยากเอาหน้า ก็เอาไป เราไม่สนใจ ยากเพราะว่าคนมีอำนาจไม่ค่อยเล่นด้วย ยกตัวอย่างเช่น โฆษณาหลอกลวง มีโฆษณาหลอกลวงมากมาย เรามีเครือข่ายเฝ้าฟังเลยว่า สถานีวิทยุไหน รายการอะไร ดีเจชื่ออะไร ทั้งในเคเบิล อินเทอร์เน็ต เรามีพลังเฝ้าฟังเยอะแยะ แล้วเราก็นำไปเสนอ สมมติว่า อย. เกี่ยวกับเรื่องอาหารและยา อย. บอกสิ่งที่เราเฝ้าฟังมาดี แต่ใช้ไม่ได้ เพราะเขาใช้อำนาจในการปกครอง ต้องฟังเอง แต่เขาไม่มีคนฟัง จนสรุปเขาเอาข้อมูลจากเราไปฟัง แล้วสั่งปรับ “ซันคาร่า” เพราะกินแล้ว หน้าชมพู อกฟู รูฟิต เขาโฆษณาอย่างนี้เลยนะ เลยสั่งปรับ 2,000

เราลงทุนไปเยอะแยะมากมาย แต่สั่งปรับ 2,000 แล้ว”ซันคาร่า” วันหนึ่งได้กำไรตั้งเท่าไหร่ เราไม่ต้องการการปรับ แต่เราต้องการการแก้ไขเชิงนโยบาย เพราะฉะนั้น จะปรับก็ต้องปรับให้เข็ดหลาบ ไม่ใช่ปรับ 2,0000 บาท กลายเป็นว่าตอนนี้ เราก็เอาเรื่องนี้ไปด่า อย. ทุกที่เลย อย.ก็อับอาย เรื่อง 2,0000 นี้ ปรากฏว่าตอนนี้ร่างว่า กำลังจะปรับ 500,000 บาท อย่าง ”ซันคาร่า” เราก็ไม่รู้ว่าใครจัดคิวให้นายก คือทาง อย. ไปร่วมกับ กสทช. ห้ามเขาโฆษณา เขาเลยเปลี่ยนชื่อจาก “ซันคาร่า” เป็น “คาร่าพลัส” ปรากฏว่าในเว็บไซด์ของคาร่าพลัส มีภาพนายกของเราไปมอบธุรกิจดีเด่นให้แก่คาร่าพลัส (ธุรกิจดาวรุ่ง) ในขณะที่ละเมิดสิทธิผู้บริโภค หลอกลวงเป็นที่หนึ่ง และ กสทช. บอก ถ้าใครจะตั้งสถานีวิทยุไม่ให้ไปโฆษณาในวิทยุอื่น เขาให้โฆษณาในวิทยุชุมชน และบอกว่า คุณไม่ต้องมาเป็นดีเจโฆษณาอะไรต่างๆ ให้โฆษณาของเราอย่างเดียว เขาจะร่วมหุ้นตั้งสถานีให้คุณเลย หลอกชาวบ้านอย่างเดียวเลย

คิดว่า อนาคตองค์กรอิสระฯ จะเกิดขึ้นตอนไหน

ตอนนี้ผ่านวุฒิสภาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เหลือกลับมาว่า ถ้าเห็นชอบบังคับใช้ ไม่เห็นชอบร่วง อันนี้ล่ะ ผมมาจากพี่น้อง ผมจะทำเพื่อพี่น้อง นี่คือกฎหมายภาคประชาชนที่เขียนมา ไม่ใช่เพื่อเราแต่เพื่อประชาชน เป็นกฎหมายของประชาชน เนื้อหาก็ผ่านกระบวนการมาทั้งหมดเลย ถ้าคุณไม่ยก (มือ) คราวนี้ แปลว่าคุณทำเพื่อพี่น้อง หรือเพื่อพี่อย่างเดียว พี่ที่มีทุน โดยจังหวะเวลา เราคาดว่าจะเข้าในเดือนกุมภาพันธ์นี้ เพราะสมัยนี้เป็นสมัยพิจารณากฎหมาย และยังไม่มีกฎหมายอะไร เรามีรายชื่อเสนอกฎหมายมาถึงขั้นตอนนี้ และเรามีรายชื่อเป็นแสนที่สนับสนุนกฎหมายฉบับนี้

ช่วยพูดถึงคุณสมบัติของผู้บริโภคในอุดมคติ ?

เราอยากเห็นผู้บริโภคตื่นตัว คือลุกขึ้นมาช่วยกันใช้สิทธิ เพราะว่าร้องทุกข์ 1 ครั้งดีกว่าบ่น 1,000 ครั้ง ถ้าเรามาใช้สิทธิไม่ได้ใช้แค่เพื่อเราคนเดียว เพื่อไม่ให้มันเกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก ยกตัวอย่างเช่น ซื้อเฉาก๊วยจากห้างที่งามวงศ์วาน กลับมาถึงบ้าน ด้านนอกไม่หมดอายุ แต่พอตัดถุงเล็กด้านในหมดอายุ เราจะทิ้ง ๑๕๐ บาท หรือกลับไปเปลี่ยนที่งามวงศ์วาน ถ้าเราไม่กลับมาเปลี่ยน ห้างก็ไม่รู้ว่าเขาขายของหมดอายุ เราตัดสินใจ เอาของมาเปลี่ยนพร้อมเรียกร้องค่ารถเขาด้วย ห้างไม่ยอมจะคืนแค่ของ เราเลยบอกว่า เราไม่มีหน้าที่เอาของหมดอายุมาคืนคุณ แต่คุณมีหน้าที่ต้องดูแลเอาของที่ไม่หมดอายุมาขาย ถ้าคุณไม่ให้เรา คุณโดน

ที่กาญจนบุรีของหมดอายุจ่าย 5,000 เลย พร้อมต้องมาเซ็นสัญญาเป็นเครือข่ายกับเราด้วยว่า คุณจะไม่ขายของหมดอายุอีก ขอให้ลุกขึ้นมาใช้สิทธิ ถ้าคุณไม่ใช้สิทธิ คุณไม่มีสิทธิ สิทธิที่เขียนในกฎหมาย ไม่ได้มีไว้สำหรับคนขี้แพ้ ไม่ได้มีสำหรับคนที่ยอม เพราะฉะนั้น คุณจะได้สิทธิมา เมื่อคุณใช้สิทธิ เราอยากให้คุณใช้สิทธิเพื่อมาช่วยปฏิรูปให้เกิดความเป็นธรรม เราอยากเห็นผู้ประกอบการสีเขียว มีกำไรในสิ่งที่ควรได้ ไม่ใช่การได้กำไรจากการเอาเปรียบผู้บริโภค ควรจะมีเรื่องสิทธิประชาชนในหลักสูตรการเรียน สิทธิในทุกเรื่อง

ณ ตอนนี้สิทธิมันถูกเขียนไว้แค่ในกระดาษ แต่เวลาสอนไม่สอนเรื่องสิทธิ ครูยังโดนหลอกเลย เช่น อาจารย์คนหนึ่งมาคุยกับเราเรื่อง call center หลอกลวง พอดีกับที่ call center หลอกลวงโทรมาพอดีเลย เราก็รู้ว่าไม่ใช่ call center แต่เป็นคนพูดหลอกว่าเราจะได้นั่นได้นี่ แต่หากไม่เข้าใจให้กดซ้ำอีก เราเลยกดแล้วกดอีก มันเลยด่ากลับมา สุดท้ายก็รู้ว่าเป็นคนพูด

ณ วันนี้ ควรจะมีในหลักสูตร ไม่ใช่แค่เรื่องสิทธิผู้บริโภค ต้องเป็นสิทธิหน้าที่ เราจะร้องแต่สิทธิไม่ได้ เราต้องรู้จักหน้าที่ของเราด้วย ยกตัวอย่าง มีคนมาร้องเรียน ไฟฉันถูกตัด ฉันไม่อยู่บ้าน ของในตู้เย็นเน่าหมดเลย จะเรียกร้องเอาเงินจากการไฟฟ้า แต่หน้าที่ของคุณ คุณรู้ใช่ไหมว่า คุณต้องไปจ่ายค่าไฟฟ้าวันที่เท่าไหร่ แต่คุณเลือกที่จะไม่จ่าย แล้วคุณบอกว่าเสียหาย อันนี้คุณก็ต้องโดนตัด เพราะฉะนั้น สิทธิอย่างเดียวไม่ได้ สิทธิผู้บริโภค สิทธิชุมชนและหน้าที่ ควรจะอยู่ในหลักสูตรการศึกษา มีหลักสูตรโตไปไม่โกง จะไม่โกงได้อย่างไร เพราะเห็นคนใหญ่คนโตโกง แล้วมีหลักสูตรอะไรที่สอนว่าคนโกงจะถูกประณามอย่างไร

ทุกวันนี้ สิทธิมีแค่กฎหมาย แต่ไม่มีการเผยแพร่ เราก็เลยอยากให้มีการบรรจุหลักสูตรเรื่องสิทธิประชาชนลงไปในการเรียนการสอน 1 ภาควิชาที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งตอนนี้ยังไม่ชัดเจน