บันทายฉมาร์ เมื่อพระโพธิสัตว์พลัดพราก

บันทายฉมาร์ เมื่อพระโพธิสัตว์พลัดพราก

แม้ผมจะได้เห็นนครวัดครั้งแรกในปี 36 ที่ เทพมนตรี ลิมปพยอม พาซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ออกไปดูแต่เช้ามืด ตระเวนกันทั้งวัน แต่พอ 5 โมงเย็น ทหารเขมรก็ต้อนคนเข้าเมืองเสียมเรียบจนเกลี้ยง

ด้วยเหตุผล...กลัวเขมรแดง แต่สำหรับปราสาทบันทายฉมาร์นั้น กลับค้างคาใจผมมานาน นับตั้งแต่เห็นเรื่องราวของปราสาทนี้ในหนังสือ ดิเอิร์ท 2000 ที่ผมเคยไปมีบทความลงที่นั่นด้วย และต่อมาไม่กี่ปีหลังจากนั้น ก็มีข่าวการจับกุมขนย้ายโบราณวัตถุที่เป็นภาพสลักนูนต่ำที่เป็นเอกลักษณ์ของบันทายฉมาร์ได้ในประเทศไทย ตั้งแต่นั้น ชื่อนี้จึงเป็นปลายทางที่ผมต้องไปดูกับตาให้ได้สักครั้ง...


ทางฝุ่นจากศรีโสภณที่ถนนกำลังก่อสร้างโดยการสนับสนุนของเกาหลีใต้(ประเทศนี้มีอิทธิพลในกัมพูชามากพอควร) เล่นเอาเราสะบักสะบอม กว่าจะมาถึง“ทมอพวก” ซึ่งเป็นอำเภอเล็กๆ ในเขตบันเตียเมียนเจย แรกที่ผมเห็นบันทายฉมาร์คือเขตกำแพงศิลาแลงและคูน้ำล้อมรอบ เหมือนที่นครวัต สะพานข้ามคูน้ำด้านตัวชุมชน มีทางเดินเข้าสองฝั่งเป็นเทวดาและยักษ์ดึงตัวนาคคล้ายทางเข้านครธม คล้ายแม้กระทั่งหัวที่หายไปทุกตัวตน


ตลาดทมอพวกเป็นชุมชนเล็กๆ ที่คนผ่านทางมักแวะพักรถพักคน หรือนักท่องเที่ยวมักมาทานอาหารกลางวัน ก่อนเข้าชมปราสาท ฝุ่นที่ฟุ้งตลอดเมื่อมีรถแล่นผ่าน สภาพขยะที่หนาตา ทำให้ผมต้องพึ่งปลากระป๋องจากเมืองไทยที่วางขายที่นั่นแทนอาหารที่เห็นปรุงกันริมทาง เรื่องอาหารนั้นเรื่องเล็ก เพราะใจผมจดจ่ออยู่กับปราสาทบันทายฉมาร์ข้างหน้า น้ำในคูรอบปราสาทดูออกสกปรก บางช่วงมีฟองปุดๆ แต่กระนั้นก็เห็นเด็กๆ กระโดดเล่นกันอย่างสำราญ


ในตำราหลายเล่ม บอกว่าปราสาทแห่งนี้ สร้างขึ้นสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เพื่ออุทิศแด่ “เจ้าชายศรีนทรกุมาร” พระโอรสผู้วายชนม์ไปก่อน เหมือนที่พระองค์สร้างปราสาทพระขรรค์ขึ้นเพื่ออุทิศแด่พระราชบิดา หรือสร้างปราสาทตาพรหม เพื่ออุทิศถวายแด่พระราชมารดา แต่บางกระแสก็บอกว่า เจ้าชายศรีนทรกุมาร ได้ครองราชย์ต่อจากพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ชื่อ พระเจ้าอินทรวรมันที่ 2 บลอกเกอร์ ศุภศรุต แห่ง www.oknation.net เขียนไว้อย่างน่าสนใจว่า


“...บางกระแสเชื่อว่าเจ้าชายองค์นี้น่าจะสิ้นพระชนม์ไปก่อนหน้าแล้วในช่วงต้นรัชกาลของพระเจ้าชัยวรมัน ที่ 7 บันทายฉมาร์นี้จึงถูกสร้างขึ้นเพื่ออุทิศแด่ดวงวิญญาณ ทั้งเป็นที่เก็บเถ้าอัฐิของเจ้าชายศรีนทรกุมารและเป็นที่ฝังศพของราชองค์รักษ์ผู้ภักดีทั้งสี่ตรงบริเวณมุมของศาสนสถาน”


จารึกปราสาทบันทายฉมาร์ บอกความว่า “เมื่อภรตราหูผู้ทรยศ ต้องการจะยึดพระราชวัง บรรดาทหารที่รักษาพระนครก็พากันหลบหนีไป เจ้าชายต้องทรงออกรบเอง สัญชักอรชุน และสัญชักศรีธรเทวาปุระ ได้ต่อสู้เพื่อปกป้องเจ้าชายและถูกฆ่าตายต่อหน้าพระพักตร์ เจ้าชายจึงทรงทุบที่จมูกของภรตราหูและฆ่าผู้ทรยศตาย ต่อจากนั้นยศอำเตง จึงถูกพระราชทานให้แก่สัญชักทั้งสอง เจ้าชายได้ทรงสร้างรูปสลักของทหารทั้งสองขึ้น และได้พระราชทานข้าวของเงินทองอย่างมากมาย รวมทั้งเกียรติยศให้แก่ครอบครัวทั้งสองด้วย...”


อ่านแล้วก็งงว่าเจ้าชายตายตอนไหนกันแน่ ประวัติศาสตร์มีเรื่องให้สงสัยและถกเถียงกันอยู่เสมอ แต่เพราะเชื่อกันว่าปราสาทแห่งนี้เป็นที่เก็บอัฐิของเจ้าชายและทหารองครักษ์นี่เองที่ทำให้ไม่มีใครกล้าขุดค้น ปล่อยให้ต้นไม้และกาลเวลาปกคลุมและทำลายปราสาทจนพังทลายลงเป็นอันมาก ปราสาทแห่งนี้มีพื้นที่ใหญ่กว่านครวัต สร้างเป็นหลายชั้น ที่น่าสนใจคือผนังกำแพงด้านในที่มีรูปแกะสลักรอบทุกด้าน เป็นรูปวิถีชีวิต การสงคราม การบูชา ฯลฯ แต่ที่น่าสนใจคือรูปสลักนูนต่ำ เป็นรูปพระโพธิสัตว์อวโลติเกศวรหลายกร ที่ว่าหลายกรเพราะเดิมมีรูปพระโพธิสัตว์หลายกรนี้ 6 รูป แต่ละรูปมีกรไม่เท่ากัน รูปเหล่านี้เคยเรียงรายบนกำแพงด้านหลัง(ของทางเข้าในปัจจุบัน) แต่หลังจากมีภาพออกเผยแพร่ และสงครามเริ่มสงบ จึงมีการโจรกรรมรูปพระโพธิสัตว์หลายกรนี้ออกไป จนเหลือให้เห็นเพียง 2 องค์ทางซ้าย-ขวาของประตูทางเข้าเท่านั้น


รูปสลักนี้ต่อมาถูกจับที่ จ.สระแก้ว บนรถยนต์ขณะลำเลียงเข้ากรุงเทพ แล้วมีการมาตั้งแสดงที่กรุงเทพอยู่นาน ต่อมาจึงคืนให้กัมพูชา เดี๋ยวนี้ไปตั้งแสดงที่พิพิธภัณฑ์ที่พนมเปญโน่น ชั้นในของปราสาทมีคล้ายหอคอยที่บนยอดมีใบหน้าเหมือนที่ปราสาทบายนอยู่ 3 หอ รูปสลักที่ตกแต่งนั้นน่าสนใจหลายจุด และดูคล้ายพระพุทธรูปอยู่หลายที่ จึงน่าจะเป็นช่วงที่ศาสนาพุทธเข้ามามีอิทธิพลแทนศาสนาฮินดูแล้ว ทุกย่างก้าวที่เดินไต่ไปบนก้อนหินที่ปรักหักพังของปราสาทบันทายฉมาร์นั้น ถ้ามีความรู้เรื่องศิลปะขอมเสียหน่อย จะดูเพลิน ดูสนุกและซึมซาบถึงเรื่องราวของภาพสลักต่างๆ เป็นอย่างมาก


เดิมพื้นที่นี้อยู่ในเขตของเขมรเสรี ได้มีโอกาสพบเจอกับอดีตนายทหารเขมรเสรี ที่เคยลักลอบขุดปราสาท มานั่งเล่าให้ฟังเรื่องราวมากมาย บางเรื่องรู้ได้แต่ห้ามเขียนหากยังอยากเข้าไปท่องเที่ยวในกัมพูชาอีก และการที่หัวนางอัปสรา รูปฤาษีที่นั่งไขว้ขาชันเข่า ฯลฯ ตามปราสาทต่างๆ หรือแม้กระทั่ง รูปนารายณ์บรรทมสินธุ์ที่สลักบนก้อนหินริมน้ำที่กบาลสะเพียน หรือหัวนาคที่หักหายไป โดยมีร่องรอยการกะเทาะ ล้วนแล้วแต่เป็นผลมาจากการซื้อขายโบราณวัตถุที่ฟูเฟื่อง โดยคำสั่งพ่อค้าในบ้านเรา แต่ปลายทางอยู่ที่ยุโรปโน่น


การควบคุมของทางการกัมพูชายังไม่ดีพอ และคนเขมรส่วนใหญ่ยังยากจน แม้ผู้บริหารจะปากแข็งว่าอีก 2 ปีจะไม่รับเงินบริจาคจากต่างชาตินั้น ข้อเท็จจริงสะท้อนจากโบราณวัตถุตามปราสาทต่างๆ ที่สูญหายได้เป็นอย่างดี ในอดีตคนเขมรอาจจะกลัวอัฐิของเจ้าชายและองค์รักษ์ แต่ภาพสลักที่หายและถูกจับได้ในไทย บอกให้รู้ว่าคนเขมร กลัวผีหรือกลัวหิวมากกว่ากัน


ไปบันทายฉมาร์เพื่อเรียนรู้โลกและรู้จักเพื่อนบ้าน ครั้นหันกลับมามองเรา โบราณวัตถุที่จัดแสดงตามพิพิธภัณฑ์ต่างๆ นั้น แท้จริงยังอยู่ดีกันอยู่หรือ......


เที่ยวอัมสเตอร์ดัมอย่างไรให้สนุก