Harlem Shake เมื่อโลกเสพติดพฤติกรรมเอาอย่าง

Harlem Shake เมื่อโลกเสพติดพฤติกรรมเอาอย่าง

ปรากฏการณ์วิดีโอเต้นรวมหมู่ที่แพร่กระจายอย่างรวดเร็วราวการระบาดของเชื้อไวรัส เป็นภาพสะท้อนความเป็นไปของโลกวันนี้ ที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

ใครบางคนตั้งข้อสังเกตไว้ในเฟซบุ๊คของเขา


2011 - Planking
2012 - Gangnam Style
2013 - Harlem Shake

ใช่แล้ว โลกที่หมุนเร็วแบบพายุบุแคมทุกวันนี้ มีปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมออนไลน์ ดาหน้าเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย เกิดเป็นกระแสความสนใจกระจายไปทุกหย่อมหญ้า ทะลุทะลวงแบบไร้พรมแดน ชนิดไม่มีเส้นประเทศขีดคั่น


จาก "แพลงกิง" หรือ "ท่าหน้าคว่ำนอนตาย" ที่เคยฮือฮาเมื่อ 2 ปีก่อน มาจนถึงพลังของ "ยูทู้บ" ที่เป็นปัจจัยหลักในความสำเร็จของเพลง "กังนัม สไตล์" ซึ่งในที่สุด ไต่ขึ้นถึงจุดสูงสุดของอันดับเพลงทั้งในสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ และเหนืออื่นใด คือการสร้างสถิติของวิดีโอออนไลน์เพลงนี้ ที่มีผู้ชมถึง 1 พันล้านวิวเป็นครั้งแรกของโลก

ฝุ่นควันท่าเต้นแบบควบม้าของ "ไซ" หนุ่มเกาหลีเจ้าของเพลง "กังนัม สไตล์" เมื่อปีกลาย ยังไม่ทันจางหาย ล่าสุด ชื่อของ "ฮาร์เล็ม เชค" กำลังมาแทนที่ ในฐานะ "ทอล์ค ออฟ เดอะ โกลบอล ทาวน์" โดยมี "ยูทู้บ" เป็นพื้นที่สำหรับการแสดงตัวตนทางอินเตอร์เน็ต

ด้วยการผลิตซ้ำของแนวคิดและรูปแบบ ดังที่เรียกกันว่า "อินเตอร์เน็ต มีม" (Internet Meme) เพียงชั่วเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือนนับจากที่เด็กวัยรุ่นจากเมืองควีนสแลนด์ ออสเตรเลีย อัพโหลดวิดีโอของพวกเขาขึ้นทาง "ยูทู้บ" ทุกอย่างได้นำไปสู่กระบวนการ "ไวรัล" (viral) อย่างเป็นธรรมชาติ รวดเร็วและทันควันเป็นอย่างยิ่ง

เด็กวัยรุ่นจากควีนสแลนด์กลุ่มนั้น เรียกตัวเองว่า เดอะ ซันนี โคสต์ สเกท (The Sunny Coast Skate - TSCS) เขาใช้แค่เพียง 30 กว่าวินาที จากบางส่วนของ Harlem Shake บทเพลงในสไตล์ฮิพฮ็อพผสมเบสไลน์หนักๆ ของ บาวเออร์ (DJ Baauer) ดีเจแห่งบรู้คลิน นิวยอร์ก ซิตี ที่อัพโหลดเพลงนี้ขึ้นในโลกออนไลน์เมื่อกลางปีที่แล้ว จากนั้น ไม่มีใครคาดหมายได้ล่วงหน้าว่า ด้วยพลังของท่าเต้นที่สนุกๆ ขำๆ ในแบบหลุดโลก ของ TSCS กับเพลงฮิพฮ็อพในแบบเฉพาะตัว ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของ "พฤติกรรมเอาอย่าง" หรือ "อุปาทานรวมหมู่" ที่บ้าคลั่งในเวลานี้

จากตัวอย่างไม่กี่หมื่นในสัปดาห์แรก หากคุณเสิร์ชคำว่า Harlen Shake ใน ยูทู้บ ตอนนี้ จะพบผลลัพธ์กว่า 2 แสนรายการ และดูท่าว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกัน กระแสความดังยังทำให้เพลง Harlem Shake ก้าวขึ้นถึงอันดับหนึ่งของ บิลบอร์ด ชาร์ท และ อันดับสามของ ยูเค ชาร์ท ในเวลาต่อมา

"ผมได้ยิน ฮาร์เล็ม เชค ตั้งแต่สัปดาห์แรกๆ ที่อัพโหลด เพราะมีน้องคนหนึ่งที่ไปเรียนปริญญาโทที่สหรัฐอเมริกาแชร์มาให้ดู" ดีเจ นรเศรษฐ หมัดคง เล่าให้ฟัง "ผมดูแล้วก็บอกให้เขาช่วยอธิบายหน่อย ก็ได้รับคำตอบว่าเพลงนี้ ท่าเต้นพวกนี้ กำลังเป็นกระแสนิยมในหมู่นักศึกษาที่นั่น"

ในมุมมองของคนทำงานเพลงแบบ ดีเจซี๊ด เล่าว่า พอฟังดูก็เข้าใจทันทีว่า เพลงนี้ได้อานิสงส์มาจากท่าเต้น ของคลิปวิดีโอที่ทำขึ้นมา ผนวกกับกระแสเพลงกังนัมสไตล์ของ ไซ (psy) ที่ทำให้เกิดเวอร์ชั่นท่าเต้นใหม่ๆ โดยกลุ่มนั้นกลุ่มนี้มาก่อนหน้านั้น

"กังนัมสไตล์มันขยะเกิน แต่อันนี้มันสนุกสนาน เพราะทุกคนเต้นได้ เป็นการสร้างความสมานสามัคคีด้วยซ้ำ อีกอย่างการใช้จังหวะเพลงฮิพฮ็อพนี่ก็ง่ายสุดแล้ว ท่าเต้นก็ควรฟรีสไตล์ การจะให้หนุ่มสาวออฟฟิศมาเต้นแบบ เอ็มเค (สุกี้) ก็ดูกระไรอยู่ เต้นแบบกังนัม ก็อุบาทว์เกิน เมื่อขับเคลื่อนด้วยอานุภาพของไวรัล มันเลยก็เผยแพร่ได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้"

ในมุมมองของ คมธรรม ดำรงเจริญ อาจารย์ประจำคณะดุริยางคศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร มองปรากฏการณ์ Harlem Shake ไม่แตกต่างจาก ดีเจซี๊ด นัก เพียงแต่เป็นห่วงว่า ในอนาคต อาจจะมีการแสดงออกที่ล้ำเส้น

"สนุกดีนะ ผมยังไม่เห็นพิษภัยในหลักการ แต่ในรายละเอียดของแต่ละกลุ่มคนที่ทำ อาจจะมีเลยเถิดไปบ้าง เพราะการที่มาเต้นเป็นหมู่ อัดวีดีโอ แล้วมาลงยูทู้บ ต่างพยายามทำให้น่าพูดถึงเข้าไว้ หรือน่าส่งต่อ(แชร์)เข้าไว้ โดยบางทีอาจจะไม่สนถึงวิธีการ จนบางครั้ง คนแก่อย่างผมต้องอุทานว่า 'โอ้โห! ไม่เกินไปหน่อยหรือ' แต่วัยรุ่นคงอุทานว่า 'เจ๋งว่ะ' หรือ 'โหดสัส' "

ขณะที่นักวิจารณ์เพลงอย่าง พรเทพ เฮง เห็นว่า นี่คือการตอกย้ำช่องทางใหม่ในการนำเสนอเพลงฮิต เป็นการตลาดที่ค่ายเพลงไม่ควรมองข้าม ซึ่งพลิกโฉมไปจากการโปรโมทผ่านสื่อกระแสหลักแบบเดิมๆ ไม่ว่าจะเป็นวิทยุหรือโทรทัศน์ ในเวลาเดียวกันก็ยังสะท้อนถึงวัฒนธรรมการฟังเพลงที่เปลี่ยนแปลงไปอีกด้วย

"ข้อน่าสังเกตก็คือ คนส่วนใหญ่แทบไม่ได้ฟังเพลงเต็มๆ ของเพลงนี้ที่มีความยาว 3.17 นาทีด้วยซ้ำ เพราะพวกเขาใช้เพียง 30 วินาทีในการผลิตวิดีโอเท่านั้น"

พรเทพ เห็นด้วยกับ นรเศรษฐ ในประเด็นที่ว่า เอาเข้าจริงๆ เป็นเพราะวิดีโอนั่นเอง ที่ก่อกระแสแมส (mass) ขึ้นมา เพราะโดยลำพังสไตล์ของเพลงๆ นี้ ค่อนข้างเป็น นีช (niche) ด้วยแนวทางที่มุ่งไปยังคนฟังเพลงเฉพาะกลุ่มมากกว่า ดังนั้น โอกาสที่เพลงสไตล์นี้จะโด่งดังอย่างกว้างขวางออกจะเป็นเรื่องยาก

"เพราะท่าเต้นนั่้นเองที่เสมือนการปลดปล่อย ทำให้ผู้คนมีส่วนร่วม ทั้งที่โดยตัวมันเอง ไม่ได้ดีเด่นอะไร ทั้งตัวเพลงก็ธรรมดา และท่าเต้นก็ไม่มีความหมายลึกซึ้งตรงไหน"

วรรณขวัญ พลจันทร์ หรือที่รู้จักในนาม ครูขวัญ AF หัวหน้าภาควิชาศิลปะการแสดง คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ เห็นตรงกับ พรเทพ ในเรื่องนี้

"เราไม่มองว่า มันมีความเป็นศิลปะเลยนะ มันเป็นแค่การแสดงออกของผู้คน ในยุคสมัยที่ทุกคนใช้โลกออนไลน์นำเสนอตัวตนของตนเอง ทุกคนสามารถอัพโหลดวิดีโอได้ โดยไม่จำเป็นต้องเป็น artist โดยไม่จำเป็นต้องมีทักษะ หรือต้องผ่านการคัดเลือก... "

แน่นอนทีเดียวว่า กระแสความสนใจอย่างกว้างขวาง อาจจะก่อให้เกิด "บรรทัดฐานใหม่" ขึ้นมา แต่น่าจะเป็นไปแบบชั่วประเดี๋ยวประด๋าว เพราะไม่นานก็จะมีปรากฏการณ์ใหม่ๆ ตามมาอีก

"การแสดงออกแบบนี้ เราเองไม่ได้ให้ค่าว่าเป็น performance ด้วยซ้ำ เราไม่ได้ห่วงอะไร เพราะมันก็แค่การระบายออก สนุกๆ เท่านั้น" วรรณขวัญ บอก พร้อมกับเสริมว่า "เหมือนคนที่ทำงานในโปรดักชั่นดึกๆ บางแห่ง ถึงเวลาพวกเขาอาจจะเบื่อหน่าย เลยลองหาอะไรทำ ก็ออกมาเต้นกันสนุก ก็แค่นั้น"

คมธรรม เสริมในเรื่องนี้ว่า เมื่อก่อนมีวัฒนธรรม Flash Mob ที่หลายๆ คนทำอะไรร่วมกัน แต่ต้องนัดแนะ ฝึกซ้อมกันพอสมควรว่าทำอย่างไรดี แต่ Harlem Shake ทำให้คนหลายๆ คนที่นึกสนุก มีส่วนร่วมได้ โดยไม่ต้องวางแผนอะไรมากมาย โดย คมธรรม วิเคราะห์ว่า กรณีของ Harlem Shake อาจจะทำให้แนวทางการพิจารณาและการประเมินคุณค่าทางศิลปะเปลี่ยนไปด้วย

"ปัจจุบันต้องมองข้าม pop art ไปที่ celebrity art แล้ว คือโจทย์วันนี้อยู่ที่ทำอย่างไรก็ได้ ให้ดัง เพื่ออวดเพื่อน หรือให้คนพูดถึง หรือเพื่อใช้ประโยชน์จากความดังได้ต่อไป โดยมีดัชนีชี้วัดแบบใหม่ ที่เรียกว่า viewer ถ้ามองแบบเวอร์ๆ อาจจะเปรียบเทียบได้ว่า การเลือกตั้งผู้ว่าก็เป็นหลักการของ Harlem Shake วิธีการนำเสนอตัวเองของผู้สมัครหลายๆ คนก็เหมือนคนทำ cover และอัพโหลดลงพื้นที่สาธารณะนั่นแหละ"

แม้เกือบทุกคนจะลงความเห็นว่า นี่คือปรากฏารณ์ที่มาเร็ว-ไปเร็ว แต่อย่างน้อยๆ นรเศรษฐ ก็ทิ้งท้ายให้คิดว่า เอาเข้าจริงๆ เชื้อของ Harlem Shake แฝงอยู่ในตัวเราทุกคน โดยเฉพาะบนชีพจรของเพลงสามช่าแบบไทยๆ

"ผมไม่แคร์เรื่องการทำตาม หรือการเอาอย่างหรอกนะ เพราะทุกอย่างที่เราทำทุกวันนี้ ก็ทำตามๆ กันทั้งนั้น แต่อยู่ที่เราจะประยุกต์อย่างไรมากกว่า value added ของผมคือการประยุกต์ให้แนวคิด Harlem Shake สอดรับกับลักษณะของสังคมไทย มันได้ทะลายกำแพงเดิมๆ ทำให้ทุกคนที่ไม่กล้าแสดงออก ได้ออกมาเต้นในแบบของตัวเอง ซึ่งจริงๆ ถ้าย้อนมองในเวทีแดนซ์ฟลอร์ของเพลงสามช่า เราคนไทยทุกคนก็ทำแบบนั้นอยู่แล้วนะ บนจังหวะเพลงสามช่า แต่ละคนก็ต่างเป็นตัวเองทั้งนั้น แต่ละคนก็จะมีท่าทางของตัวเอง เป็น Harlem Shake แบบไทยๆ ที่มีมานานแล้ว ก่อนจะเกิดกระแสนี้ขึ้นมาเสียอีก"