เก็บเสน่ห์น่านฟ้า 'คัทสุฮิโกะ โทคุนากะ'

อาชีพที่เกี่ยวข้องกับท้องฟ้าและการบิน คงหนีไม่พ้นอาชีพนักบิน สจ๊วต หรือแอร์โฮสเตส
แต่ชายวัยกลางคนคนนี้ สามารถทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าได้อย่างเต็มภาคภูมิ ทั้งๆ ที่ไม่ได้เป็นนักบิน
น้อยคนนักที่จะได้รับเกียรติให้ขึ้นบินไปพร้อมกับนักบิน ไม่ว่าจะในฐานะอะไรก็ตาม แต่ช่างภาพฝีมือฉกาจชาวญี่ปุ่นอย่าง คัทสุฮิโกะ โทคุนากะ เป็นหนึ่งในช่างภาพไม่กี่คนในโลกที่มีโอกาสได้ขึ้นบินไปฝูงบินรบเพื่อเก็บภาพน่านฟ้าในหลากหลายประเทศ เรียกว่าท้องฟ้าเกือบทั่วโลกถูกบันทึกภาพผ่านกล้องในมือผู้ชายคนนี้มาแล้วทั้งสิ้น
คัทสุฮิโกะเป็นช่างภาพประจำกองทัพอากาศของประเทศญี่ปุ่นที่มีความสามารถพิเศษในการถ่ายภาพบนอากาศ เขาได้ร่วมงานกับบริษัทที่เป็นผู้ผลิตเครื่องบินเป็นจำนวนมาก อาทิ Dassault, Embraer, Eurofighter, Korean Aerospace, Lockheed Martin, Mikoyan-Gurevich, Pilatus, Saab, and Sukhoi เขาจึงเป็นตำนานแห่งนักถ่ายภาพของญี่ปุ่น และเป็นนักถ่ายภาพการบินทหารที่มีประสบการณ์กว่า 30 ปีในภาคปฏิบัติ
"แม้กระทั่งท้องฟ้ามันก็มีคาแรกเตอร์ของมันเอง แต่ละแห่งจะแตกต่างกันหมด" เขาให้สัมภาษณ์
นอกจากนี้ 'คัทสุ' ยังมีรางวัล “The American Aviation Historical Society Award” การันตีความสามารถซึ่งเขาได้รับมาในปี 2532 ปัจจุบันเขามีชั่วโมงบินกว่า 1,500 ชั่วโมงบน
เครื่องบินทหารความเร็วสูงกว่า 60 ประเภทในกว่า 50 ประเทศ ผลงานของเขาปรากฏอยู่ทั่วโลกทั้งในรูปแบบของหนังสือ นิตยสารทางการบิน หรือผลงานโฆษณา
-จุดเริ่มต้นของอาชีพนี้ ?
ผมบินครั้งแรกตอนอายุ 21 ปี ในช่วงเดือนตุลาคม ปี1978 ตอนนั้นผมยังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่เลย แล้วยุคนั้นเป็นยุคที่เรื่องของเครื่องบินกำลังบูมมากในญี่ปุ่น ทุกคนก็จะcrazy เครื่องบินมาก มีหนังสือ นิตยสารต่างๆ ตีพิมพ์เรื่องเครื่องบินออกมามากมาย ตัวผมเองก็เป็นคนที่ชอบเครื่องบินมาก ก็สนใจและกระตือรือร้นมากและพยายามหางานที่จะได้ถ่ายรูปเครื่องบินหรือไปใกล้ชิดกับนักบิน แล้วในที่สุดก็มีโอกาสได้ถ่ายรูปเครื่องบิน ได้ตีพิมพ์ภาพผลงาน และมีงานเขียนเกี่ยวกับเครื่องบินลงหนังสือ หลังจากนั้นก็เริ่มมีคนติดต่อให้ไปทำงานด้านนี้อยู่เรื่อยๆ ได้ไปทำงานที่ต่างประเทศ ก็มีโอกาสได้ไปถ่ายภาพฝูงบินที่อเมริกาและขึ้นบินร่วมกับนักบินที่นั่น
ต่อมาในปี 1970 ช่วงนั้นคนอเมริกันมีการฝึกบินกันเยอะก็เลยทำให้ผมมีโอกาสในการขึ้นบินด้วยบ่อยๆ ตอนนั้นจำได้ว่าผมเดินไปที่ศูนย์บินแล้ว อยู่ดีๆ เขาก็ถามว่ามีใครอยากขึ้นไปบินมั้ย ก็เลยสบโอกาสพอดี เป็นอะไรที่ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะได้ขึ้นบิน ความรู้สึกครั้งแรกก็... เนื่องจากว่าชอบเครื่องบินอยู่แล้ว พอได้บินมันก็เป็นโอกาสที่ได้เรียนรู้มากขึ้น เป็นความรู้สึกที่ดีมากๆ เลย และมีโอกาสได้ถ่ายรูป ถามว่าตื่นเต้นมั้ย ก็ไม่ตื่นเต้นเท่าไหร่นะ แต่รู้สึกดีกับมันสุดๆ
-แล้วฝูงบิน 'BREITLING JET TEAM' ที่คุณขึ้นบินด้วย ก่อตั้งขึ้นมาได้อย่างไร
ทีมนี้มีผู้ก่อตั้งทีมชื่อ สปีดี้ เป็นหมู่บินเอกชนจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ.2546 ส่วนตัวผมเข้าร่วมกับฝูงบินผาดแผลงเมื่อ 30 กว่าปีก่อน เริ่มจากการบินขนาดเล็กๆ ก่อน ผ่านไปหลายสิบปีก็ได้ลองถ่ายภาพการบินหลายๆ แบบผ่านเครื่องบินหลายๆ ประเภท สุดท้ายก็ได้มานั่งเครื่องบินเจ็ทและฝึกถ่ายภาพบนเครื่องบินเจ็ท ซึ่งการทำงานแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยเพราะต้องใช้เงินในการดูแลรักษามาก เราเป็นทีมเดียวที่หาเงินเองทั้งหมดซึ่งก็ต้องติดต่อกับสปอนเซอร์เอง ที่ผ่านมาก็มีบินไปจีน ฝรั่งเศส แล้วจะไปฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย สิงคโปร์ หลังจากนี้จะไปมาเลเซีย และก็มาที่ไทย ซึ่งการเดินทางมาโชว์ที่ไทยเรามาในฐานะผู้ร่วมงานครบรอบวันสถาปนาของกองทัพอากาศไทยด้วย เราก็จะทำให้ดีที่สุด
-ก่อนขึ้นบินคุณต้องเรียนวิธีการบินด้วยไหม
ไม่ต้องเรียนการบิน แต่ต้องมีคุณสมบัติครบตามกำหนดจึงจะขึ้นไปนั่งร่วมกับนักบินได้ แต่ละฝูงบินก็จะกำหนดคุณสมบัติและมีการฝึกที่แตกต่างกันไป เวลาอยู่บนเครื่องบินก็จะมีระบบการหลบหนี (escape system) ที่เราต้องเรียนรู้และฝึกฝน ต้องรู้จักการใช้เก้าอี้ที่ดีดตัวเองออกจากเครื่องได้เมื่อเกิดเหตุซึ่งจะอยู่ในห้องเครื่อง เหมือนในหนังเรื่อง 007 น่ะ ตัวเก้าอี้ดีดก็จะมีจรวดติดอยู่ข้างล่างพร้อมกับร่มชูชีพ
ต่อมาคือเรียนรู้เครื่องทดสอบความดัน คือเครื่องบินรบจะมีการพุ่งขึ้น หมุนลง ตีลังกา ความดันในร่างกายจะเปลี่ยนแปลงเร็ว เครื่องตัวนี้ก็จะคอยบอกระดับความดันของเราตลอดเพื่อให้เรารู้ตัวว่าร่างกายไม่ไหวแล้วก็ต้องหยุด หากความดันเปลี่ยนแปลงเร็วจนร่างกายขาดออกซิเจนจะเกิดภาวะพร่องออกซิเจน (HYPOXIA) ขึ้นมาได้ สังเกตได้จากมือเราจะเปลี่ยนเป็นสีม่วง และมันจะมีผลต่อสมอง ทำให้ความสามารถในการตัดสินใจลดลง 30 เปอร์เซ็นต์ อาจหมดสติได้ ซึ่งก่อนขึ้นบินทุกคนจะต้องผ่านการฝึกตรงนี้
ต่อมาคือ ระบบการเอาตัวรอด(Survival Systems Training) หลังจากที่ดีดตัวออกมาแล้ว ก็ต้องฝึกการเอาตัวรอดเมื่ออยู่ในน้ำ และต้องฝึกระบบการต่อต้านแรงโน้มถ่วง เนื่องจากอยู่บนเครื่องจะมีการตีลังกาอยู่ตลอด น้ำในหูคนเราจะมีการเปลี่ยนแปลง มุมมองของเราต่อพื้นโลกจะผิดเพี้ยนไป ความสามารถในการทรงตัวน้อยลง ต้องฝึกต่อต้านแรงโน้มถ่วง เวลาอยู่บนเครื่องเลือดในร่างกายจะไหลผิดปกติ ฮีโมโกลบินในเลือดจะไม่สามารถนำพาออกซิเจนไปเลี้ยงสมองได้ ทำให้เราคิดอะไรไม่ออก ที่เหลือก็จะเป็นการตรวจร่างกายทั่วไป เช่น ตรวจการมองเห็น ตรวจการได้ยิน ตรวจความแข็งแรงของกระดูกสันหลัง
-การถ่ายภาพทั่วไปกับการถ่ายภาพบนอากาศแตกต่างกันไหม
แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเลย เพราะถ้าถ่ายรูปอยู่บนอากาศตัวเราจะหมุนกลับไปมา เมื่อเครื่องบินเริ่มออกตัวทยานสู่ท้องฟ้า ก็คือเอาล่ะ งานเราเริ่มแล้ว หยุดไม่ได้ ต้องพยายามให้งานมีประสิทธิภาพมากที่สุดในการบินทุกครั้ง ดังนั้นการเตรียมตัวสำหรับการบินจึงสำคัญมาก ซึ่งแต่ละครั้งเราจะบินประมาณ 25 นาที ซึ่งท้องฟ้าทุกที่ก็มีความแตกต่างกันหมดทุกประเทศ อย่างประเทศจีนก็จะมีมลพิษเยอะ หรือที่ฟิลิปปินส์ไปช่วงหน้าฝนพอดี ตอนบินก็เจอพายุฝนบ้าง แต่มันก็ไม่ได้รบกวนมากนัก เพียงแต่ทำให้การทำงานมันไม่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ บางประเทศก็ไม่ได้มีท้องฟ้าสีฟ้าสดใสเหมือนประเทศไทย
-แล้วเทคนิคในการถ่ายภาพบนอากาศล่ะ?
กดชัตเตอร์ กดแล้วก็กด ใน 1 ครั้งก็เก็บมาประมาณ 60-70 รูป ส่วนการบินขึ้นไปสูงแค่ไหนจึงจะถ่ายภาพได้ จริงๆ มันไม่ได้อยู่ที่ตัวผม แต่เป็นเรื่องของเครื่องบินมากกว่าว่าจะบินได้สูงได้แค่ไหน แต่โดยหลักแล้วผมต้องการเก็บภาพที่เห็นสภาพภูมิอากาศของน่านฟ้านั้นๆ และให้เห็นลักษณะการบินด้วยท่าทางต่างๆ โดยทั่วไปก็จะอยู่ที่ 15,000 เมตรจากพื้นดิน
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่าการขึ้นบินแบบนี้เป้าหมายแรกของเราไม่ใช่การถ่ายรูป แต่คือการทำยังไงให้ขึ้นบินแล้วกลับลงมาพื้นดินอย่างปลอดภัย ดังนั้นการลำดับความสำคัญของเราจึงไม่ใช่ว่าบินเพื่อขึ้นไปถ่ายรูปอย่างเดียว แต่ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นสิ่งแรก เราต้องคิดก่อนบินทุกครั้งว่าน่านฟ้านั้นๆ จะปลอดภัยหรือไม่ ถึงแม้บางครั้งเราพบว่าสถานที่นั้นๆ เป็นโอกาสที่ดีมากที่จะได้ถ่ายภาพ หรือเป็นช็อตที่น่าจะสวยมากๆ แต่ถ้าประเมินแล้วว่ามันไม่ปลอดภัยก็จะไม่ไป
-ทำงานแบบนี้เสี่ยงไหม
จริงๆ แล้วก็เป็นเรื่องของโชคด้วย เพราะเมื่อก่อนการจะมาทำงานแบบนี้ยาก แค่ได้ขึ้นบินเฉยๆ (ไม่ได้ถ่ายรูป)กับนักบินก็เป็นโอกาสที่ดีแล้ว แต่ตอนนี้โอกาสมันหาได้ง่ายขึ้น แม้ว่าฝูงบินที่จะรับช่างภาพขึ้นบินด้วยจะไม่ค่อยมีก็ตาม สำหรับตัวผมเองมองว่าเมื่อโอกาสมาถึงก็ทำเลย ไม่รีรอ แล้วก็ต้องทำใจให้พร้อมที่จะรับความเสี่ยงในเรื่องความปลอดภัยในชีวิตที่จะเกิดขึ้นบนเครื่องบิน ดังนั้นก็ต้องพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ งานของผมคือการถ่ายรูปบนเครื่องบินท่ามกลางแบล็กกราวน์ของท้องฟ้าที่แตกต่างกัน ทุกคนในทีมก็มาจากหลายหลายที่ จิตใจต่างกัน คิดต่างกัน ฉะนั้นเราต้องเตรียมงานหรือคุยกันก่อนที่จะบินออกไป
เราทำงานเป็นทีมดังนั้นสิ่งที่ผมคิดว่าสำคัญคือการให้โอกาสคนที่มีความคิดแตกต่างกันได้มาทำงานด้วยกัน แม้จิตใจจะต่างแต่มีเป้าหมายร่วมกัน ผมคิดว่ามันทำให้ผมเกิดความพึงพอใจสูงมากในงานนี้ เหมือนการเล่นกีฬาเป็นทีมมันสนุกกว่า พอทำมันได้สำเร็จแล้วมันรู้สึกพอใจ ฉะนั้นรูปที่ได้มามันเหมือนเป็นโปรดักส์สุดท้ายเท่านั้นเอง แต่สิ่งอื่นๆ ระหว่างทางก่อนที่จะได้ภาพมามันสำคัญกว่า
-คุณจัดสรรเวลาหรือเรื่องต่างๆ ในชีวิตอย่างไร
ผมเดินทาง 300 วันต่อปี และเงินที่ได้รับจากงานนี้ก็น้อยเกินกว่าจะดำรงชีวิตอยู่ได้ แต่ก็ทำมานานกว่า 30 ปีแล้ว ก็มีคนที่รู้จักเรามากขึ้น ผมรู้จักเขา เขารู้จักผม ฉะนั้นก็เลยสามารถจัดตารางงานล่วงหน้า 1 ปีได้ มันเหมือนคล้ายๆ กับจิ๊กซอว์ที่เราเอามาแปะต่อกันไป งานมันง่ายมาก ทำทีหนึ่งก็ประมาณ 3-5 อาทิตย์ เราก็จะรู้ว่าแต่ละปีเราต้องไปที่ไหนบ้าง แต่ถ้ามีเวลาว่างผมก็อ่านหนังสือ ชอบหาที่อ่านเงียบๆ คนเดียว ผมมีภรรยาแต่ไม่มีลูก มันก็จะง่ายเวลาเดินทางไปด้วยกัน ปีที่แล้วเราก็มาเมืองไทย กองทัพอากาศเชิญภรรยาผมด้วย ซึ่งภรรยาผมก็ชอบเมืองไทย เป็น favorite Country ของเธอเลย
-การที่มีโอกาสได้เดินทางอยู่ตลอด มองว่ามันให้อะไรกับตัวเองบ้าง
ชีวิตผมอาจจะต่างจากชาวบ้านเขาหน่อย อาจจะไม่รวย อาจจะไม่เป็นเศรษฐีร้อยล้าน แต่ผมก็ได้เจอบุคคลมากมายหลายหลายประเทศ และมีคนสำคัญๆ หลายท่านที่ได้ทำงานด้วยกัน
ผมว่างานนี้ท้าทายมาก สนุกดี ผม Happy และ Enjoy ไปกับมัน ผมไม่เสียใจที่เลือกอาชีพนี้