ปรีดา เจริญพักตร์ นักรักษ์เกาะทะลุ

ไม่เคยอ้างตัวเป็นนักอนุรักษ์ แต่กว่าจะมาถึงวันนี้สิ่่งที่เขาคืนกลับให้ธรรมชาติล้วนมีพื้นฐานมาจากความรักและใจ'รักษ์'
"เราไม่ได้เป็นเจ้าของเกาะ เกาะต่างหากที่เป็นเจ้าของเรา..." ออกตัวแบบเบาๆ สำหรับบทสทนากับ ปรีดา เจริญพักตร์ ชายวัย 68 ปี ผู้มีสถานภาพเป็นเจ้าของพื้นที่นับร้อยไร่บนเกาะทะลุ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
วันนี้ท่ามกลางไอดินกลิ่นทะเล เขาดูไม่ต่างจากคุณลุงใจดีที่สาละวนอยู่กับการดูแลนักท่องเที่ยวให้ได้รับประสบการณ์สุดประทับใจตามคอนเซ็ปต์ "เกาะแห่งมิตรภาพ" ไม่มีเค้าของผู้มีอิทธิพลหรือแม้แต่นายทุน อย่างที่ถูกตั้งข้อสงสัยตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา
เขาเริ่มต้นเล่าเรื่องราวมากมายที่เพาะบ่มจากประสบการณ์ค่อนชีวิต โดยมีฉากหลังเป็นท้องทะเลสีคราม ไม่ใช่เพื่อหว่านล้อมให้ใครเชื่อถือ เพียงแค่ต้องการยืนยันถึงศักยภาพของมนุษย์คนหนึ่งที่จะดำเนินชีวิตอย่างสุจริต เพื่อปกป้องทรัพยากรในถิ่นเกิด
ย้อนหลังไปในวัยเยาว์ เด็กชายปรีดา เกิดที่จังหวัดเพชรบุรี แต่มาเรียนหนังสือที่สมุทรสงคราม มีพ่อเป็นเจ้าของเรือเดินทะเล ขนสินค้าให้บริษัทไทยนิยมพาณิชย์ค้าข้าว ฐานะจัดว่าอยู่ในเกณฑ์ดี กระทั่งชีวิตมาถึงจุดพลิกผัน เมื่อพายุแฮเรียตที่ถูกบันทึกว่าได้กลืนกินแหลมตะลุมพุกจนหมดสิ้น โหมกระหน่ำเรือสินค้าและเรือประมงของครอบครัวจมหายไปในทะเล
ล้มทั้งยืน คือสภาพการณ์ในตอนนั้น ภาวะล้มละลายทำให้เขาตัดสินใจออกจากโรงเรียนตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ทั้งๆ ที่ผลการเรียนอยู่ในระดับดีมาก
"ผมเป็นนักเรียนทุนนะ ม. 3 เป็นที่หนึ่งของจังหวัดสมุทรสงคราม แต่คิดว่าพ่อแม่เราเจอวิกฤตขนาดนี้ นั่งพิงเสาทำอะไรไม่ถูก จะกินอะไร น้องอีกสองคน ก็เลยออกจากโรงเรียน"
การตัดสินใจครั้งนั้นอาจจะเรียกได้ว่าเป็นก้าวแรกบนเส้นทางชีวิตที่เต็มไปด้วยความท้าทาย ทว่าบทเรียนนอกห้องที่ได้มา ถือว่าคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม
-งานแรกที่ทำคืออะไรคะ
ผมเป็นลูกจ้างเขา ได้เงินวันละ 5 บาท 5 วันก็ได้ 25 บาทก็เอาไปให้แม่ เมื่อก่อนข้าวสารถังละ 10 บาทเอง เหมือนกับว่าตอนผมเป็นเด็กวัดที่จังหวัดสมุทรสงคราม เขาสอนว่าเป็นคนต้องรู้จักหน้าที่ เป็นลูกที่ดีก็ต้องรู้จักกตัญญูต่อพ่อแม่ เป็นนักเรียนที่ดีก็ต้องรู้จักกตัญญูต่อโรงเรียน ต่อครู ทำให้เวลาทำงานให้พ่อให้แม่ ไม่รู้สึกเหนื่อยเลย ก็ทำมาเรื่อยๆ ทำเต็มที่จนเขาให้ไปทำในตำแหน่งที่มันฉลาดขึ้น จากคนใช้แรงงานขึ้นไปเป็นหลงจู๊ ไปเขียนตั๋ว ไปซื้อกุ้ง ไปซื้อปลา พอเราไปซื้อปลา ซื้อกุ้ง จากวันละ 5 บาท ก็ขยับไป 10 บาท เขาก็ให้เงินดือนเราเป็น 500 บาท แค่ 3-4 เดือนเท่านั้นเอง ทีนี้แม่ผมเนี่ยเป็นคนปากหวาน เวลาเอาเงินไปให้ แกจะกอดแล้วบอกว่า แม่ชื่นใจ แม่รักนะ ให้ศีลให้พรตลอด ลูกทำงานก็ขอให้รวย ขอให้เถ้าแก่รัก มันมีพลังตรงนี้
-เริ่มตั้งหลักได้เมื่อไหร่
บ้านเราเคยทำเรือสินค้า แล้วก็ขนไม้เก่าๆ กองไว้ ตระกูลผมเป็นตระกูลต่อเรือ วันหนึ่งผมก็ปรึกษากับเตี่ยว่าจะต่อเรือยาวสัก 8 เมตร ก็เก็บไม้พวกนั้นแหละเอามาทำ ลำแรกทำกัน พ่อ-ลูก แล้วก็มีคนช่วยอยู่คนหนึ่ง ประมาณหนึ่งเดือนเสร็จ ก็มีคนมาซื้อ ขายได้ลำละสัก 14,000 บาท ก็เลยได้ทุนตรงนี้มา ทีนี้ลุงผมเป็นคนใจดีเหมือนกัน แกก็ขนไม้มาให้บอกว่าช่วยต่อเรือให้ลูกชายที พอต่อเสร็จ 15 เมตร แกบอกเรือไม่ถูกใจ ขายให้คนอื่นไปเถอะ พอขายได้ก็มีเงินหมุนเวียน คือจริงๆ มันเป็นกุศโลบายของลุงที่อยากจะช่วยน้องช่วยหลาน ทีนี้พอทำๆ ไปเราก็เห็นคนที่มาซื้อเรือเราไป เขาไปลากกุ้ง รวยกันหมดเลย ผมก็เลยเอ๊ะ...มันน่าจะเป็นทางลัดเรา
ผมมีเรืออยู่ลำหนึ่งก็เลยตามเขาไป ในฐานะที่เราทำเรือให้เขาไปทำมาหากินจนรวย เขาก็ทำอวนให้ ช่วยเต็มที่เลย ออกไปลากอวนครั้งแรกเลยไปที่ปากน้ำสมุทรปราการ แล้วเอาไปขายที่ท่า ตอนนั้นลูกกุ้งกิโลละ 1 บาท แต่ผมอยู่ที่แม่น้ำเพชรบุรี ตรงคลองโคน บางตะบูน ตรงนี้มันเป็นถิ่นที่ทำกะปิ เมื่อก่อนกิโลละ 15-18 บาท ทีนี้วันหนึ่งเราได้เคยมาเกือบหมื่นกิโล ถ้าเราขายที่โน่นก็จะได้หมื่นบาท แต่ผมกลับมาทำเป็นกะปิไปขายที่เพชรบุรี ได้กิโลละ 15 บาท กลายเป็นแสนหน้าหมื่นบาท ยุคนั้นเงินแสนห้านี่มันก็เยอะ ชีวิตเปลี่ยนเลย บ้านเราก็มีกำลังใจ เริ่มออกเรือไป 10 กว่าวันกลับบ้านทีได้เงินแสนกว่า เมื่อก่อนเงินเดือนครูประมาณ 500 บาท ผมไป 10 กว่าวันได้มาเป็นแสนแล้ว เตี่ยก็เรียกคนมา จ้างช่างออกแบบ ต่อเรือประมงใหญ่ๆ เลย มันเริ่มมาทีละสเต็ป
-ชีวิตชาวประมงก็มีรายได้ดี ทำไมถึงตัดสินใจเลิก
ระหว่างที่ผมกลับมาบ้าน วันหนึ่งเรามาจอดตรงปลายร่องน้ำ มีคนงมหอยลาย วันหนึ่งได้สัก 20 กิโล โลละ 1 บาท ก็ได้ไม่กี่บาทหรอก เราเป็นเรือลากอวนในทะเล ลากกุ้งตัวเล็กๆ ระหว่างดูอยู่ก็คิดว่า ถ้าเราเอาเรือเหล่านี้ลากน่าจะได้ ก็ออกแบบตะแกรงกว้างประมาณ 80 ซม. ยาวสัก 2 เมตร สูง 25 ซม.มีปากเป็นเหล็ก ก็จินตนาการแล้วเขียนโครงร่างออกมา จ้างเพื่อนทำตะแกรงลากหอยลายครั้งแรก เราก็คำนวณกำลังเรือ น้ำสูงสัก 1 เมตร 50 ซม. เราก็ทิ้งตะแกรง ลาก ปรากฎว่า 1 นาที มันหยุด เราก็นึกว่าไม่มีอะไร ก็เกี่ยวขึ้นมาพาดท้ายเรือ เชื่อมั้ย 1 นาที ในตะแกรง มีหอย 200 กิโล กิโลละ 1 บาท หนึ่งนาที 200 บาท ตอนนั้นผมทำลำเดียว ลำแรกเลย จากคนล้มละลายไป 3-4 ปี เป็นลูกจ้าง พอมีเรือไปลากเคย แว็บกลับมาก็มาลากหอยลายได้เดือนหนึ่ง สามารถต่อเรือได้อีก 2 ลำ ก็เลยเป็นสาลิกา 2 สาลิกา 3 วันหนึ่งผมลากหอยลาย 8,000 กิโล เกือบ 10,000 กิโล ยุคนั้นผมอายุ 20 กว่าๆ จากคนล้มละลาย เงินมันมาเยอะเลย
ผมทำอยู่ 10 กว่าปีในวงการประมง ปรากฎว่าระหว่างที่เรามาลากหอย ก็เริ่มเจอว่าหอยมันตายครึ่งๆ เพราะว่าตรงนั้นมีคนออกมาลากหอยลายอีกประมาณ 20 ลำ ก็ไอ้ลูกน้องที่อยู่กับเรานั่นแหละไปออกแบบให้คนอื่น ผมตัดสินใจเลิกเลย อีกอย่างมันมีก่อนหน้านั้น เวลากลับบ้าน พอนอนหลับผมจะชอบละเมอ สะดุ้ง แฟนก็จะบอกว่าสงสัยโดนปลาตอด โดนหอยตอด ทำร้ายเขาไว้เยอะ...หรือเปล่า เราก็เริ่มคิดแล้ว
ทีนี้มีอยู่วันหนึ่งผมมาลากแถวเกาะทะลุนี่แหละ ย่านนี้จะเป็นแหล่งระเบิดปลา ปลาชุมมาก จากแม่รำพึงตัดเข้ามาจะมีเรือทำผิดกฎหมายอยู่ 4-5 ลำ ผมก็แอบมาดูเขา โอ้โห มันเป็นปลาตัวเล็กทั้งนั้นเลย ลูกปลาทูตัวเล็ก หมึกตัวเล็กๆ มันมหาศาลเลย ผมก็คิดว่ามันไม่น่าจับ มีอยู่วันหนึ่งผมลากอวนแล้วมันได้ 3 เบส (น้ำหนัก 3,000 กิโล) ผมก็โทรเรียกเพื่อน พอวิทยุออกไปปรากฎว่าเรือมาเป็นร้อยลำ หลังเกาะทะลุนี่มืดฟ้ามัวดิน น้ำขุ่นเลย ระหว่างที่น้ำขุ่น แล้วเรือมันมากันเป็นร้อยๆ ลำ ควันโขมง โอ้โห แล้วประเทศไทยจะเหลืออะไร อย่างนี้ไม่กี่วันก็หมด แล้วจริงๆ นะ ฟึบ พรุ่งนี้เช้าไม่มีแล้ว พวกนี้มันทำให้เราคิดว่า นี่เราทำลายขนาดนี้เชียวเหรอ ช่วงนั้นพอมันทำลายกันหมดจนวิ่งแย่งกันแล้วนะ มันก็ไปเวียดนาม ไปอินเดีย ไปอินโดนีเซีย
แล้วช่วงนั้นหลานชายผมที่แม่กลองเขาไปเรียนประมงที่ญี่ปุ่น เอาหนังสือมาเล่มหนึ่งเป็นเรื่องราวการทำประมงในญี่ปุ่น สหกรณ์ชาวประมงอ่าวฮิโรชิมา การระเบิดภูเขาทำสนามบินนาริตะ ผมยังจำแม่นอยู่เลย เราก็เปิดดู โห...เราเป็นชีวิตชาวประมงที่ทำลายอ่าวไทย แล้วผมจะชอบมองแผนที่ ก็จะดูอ่าวไทย กระแสน้ำหมุนอย่างไร จะตามปลาอย่างไร ผมก็เห็นว่าต้องมีเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ ขยายพันธุ์ ซึ่งก็คือเกาะทะลุ ตอนจะเลิกเรือผมก็เล็งตรงนี้ไว้เลย
-เลิกกันง่ายๆ อย่างนั้นเลยเหรอคะ
ง่ายนิดเดียว คือตอนเราจน เราไม่มีอะไรเลย ตอนที่เรามีเรือ 8 ลำ รายได้วันหนึ่งประมาณ 400,000-500,000 บาท แต่มันไม่มีความสุขหรอก คนงาน 300 คน ทำงานกันมั่วไปหมด มันไม่มีชีวิตของเราเองเลย เหมือนเป็นทาสคนงาน ต้องเก็บเงินทั้งหมด สมมติวันหนึ่งเราได้สี่แสน น้ำมันเอาไปแล้วแสนกว่า คนงานเอาไปอีกห้าหกหมื่น ค่าอวน ค่าเครื่องยนต์ ค่าขึ้นคานซ่อมเรือ พอมาคิดแจกแจงเป็นรายได้เฉลี่ยแล้ว ที่เราทำงานเนี่ยเราทำให้ค่าน้ำมันซาอุ เครื่องยนต์อเมริกา ให้อวนญี่ปุ่นไต้หวัน ตัวเราเป็นหัวหน้าเลยที่ทำ ถ้าไม่มีเราวงจรทำลายนี้ก็จะยุบไป
พอมาดูคนในเมืองเขาก็อยู่ดีมีสุข หน้าตาสดใส เราหน้าดำคร่ำเครียด แล้วถ้าเราเปลี่ยนชีวิต ตัดฟิ้ว..เราก็มีเครดิตใช่มั้ย มีเงินเหลือสัก 30-40 ล้านบาท ตอนนั้นผมว่ามันเป็นเงินมหาศาลเลยนะ ทองบาทละ 800 -900 บาท ตอนที่ผมเลิกเรือ เราไปอยู่ที่ไหนก็ได้ในประเทศไทย ก่อนจะเลิกประมาณ 2 ปี หน้าหนาวเราต้องเอาเรือขึ้นคานซ่อม ไม่มีงาน ว่างๆ ผมก็พาเมียกับลูกสองคน ไปสุดตะวันออก สุดภาคใต้ 2 เดือน วนแล้วให้คะแนนไปเรื่อยๆ ว่าบ้านเมืองเป็นอย่างไร เจริญเท่าไหร่ ที่ดินเป็นอย่างไร แล้วก็เป็นการไปเที่ยวด้วย เพราะเราก็เหนื่อยมาตลอดชีวิต
พอขายเรือแล้วชีวิตก็สบาย ไม่ต้องเหนื่อย ทีนี้เริ่มมาคิดว่าจะอยู่ที่ไหน เราได้มาจากทะเลเยอะแยะ ก็เล็งตรงนี้ (เกาะทะลุ) เพราะตรงนี้เป็นแหล่งระเบิดปลา ผมคิดว่าจะทำให้พวกนี้เลิกระเบิดปลาให้ได้ เหมือนมาล้างบาป คือผมได้มาเยอะแยะมากมายจากทะเล จนคิดว่าผมเนี่ยเป็นคนทำลาย ถ้าอยู่ตรงนี้อย่างน้อยมันน่าจะช่วยอะไรได้นิดหน่อย
-เห็นว่ากว่าจะได้ที่ดินตรงเกาะทะลุมาก็ไม่ใช่เรื่องง่าย?
จริงๆ เกาะทะลุนี่ก็อกสองก็อกสามแล้ว ก่อนหน้านั้นผมมาไหว้หลวงพ่อท้วม วัดเขาโบสถ์ ตั้งแต่เช้าก่อนท่านจะไปบิณฑบาตอีก ผมก็พาลูกพาเมียไปกราบ แกก็ถามว่าไอ้หนูเอ็งจะไปไหนมาแต่เช้าเลย ผมก็บอก หาที่อยู่ แกบอกให้ลงไปชายทะเลสิ ดีแน่เลย แล้วมันดีจริงๆ พอกราบท่านเสร็จ ผมก็ขับรถมาชายทะเล เมื่อก่อนมันไม่มีแสงไฟเลยนะอ่าวบางสะพาน เลี้ยวซ้ายปุ๊บมาเจอบ้านหลังเบ้อเริ่มเลย ฝรั่งปลูกไว้สวยมากเลย เตรียมทำเป็นโรงแรม เจ้าของเป็นคนอเมริกา เมียเป็นคนไทย ผมก็ไปถามคนเฝ้า ตอนนั้นเขายังไม่เปิดเลย ถามว่าจะเป็นรีสอร์ทเหรอ ขอพักสักคืนก่อนได้มั้ย เขาก็ให้พัก แล้วบอกว่า เจ้าของเขาจะขาย
พอรู้อย่างนั้นผมก็เช็คเลย ให้เพื่อนที่อยู่บางสะพานที่ทำรับเหมาเช็ค บอกว่าเขาลงทุนสร้างไป 11 ล้าน ที่ดิน 10 ไร่ ผมก็ขับรถเข้ากรุงเทพเลย ไปหาเจ้าของ อยากรู้ว่าเขาจะขายเท่าไหร่ เขาบอก 2 ล้าน เขาจะกลับอเมริกาแล้ว บางสะพานเขาจะไม่มาเหยียบแล้ว ผมรีบวางมัดจำเลย คือผมมารู้ทีหลังว่าเขามาอยู่ที่นี่แล้วถูกอันธพาลก่อกวน คนที่ก่อกวนมันจะบังคับซื้อ มันยิงปืนหน้าบ้านข่มขู่ พอซื้อมาแล้วเราก็มาเปิดเป็นโรงแรมเล็กๆ ชื่อ สาลิกาวิลลา เป็นสถานที่พักตากอากาศ ถ้าย้อนหลังไปเมื่อปี 2521-25 ถือว่าตรงนั้นเป็นไฮไลท์ของประจวบเลย เป็นที่ที่ทั้งผู้ว่าฯ ทหาร ตำรวจ นักเขียน ก็จะมากัน จนเราตั้งเป็นชมรมย้ายที่กินเหล้า บ้านผมค่อนข้างรับแขกรับเพื่อน เรามีตังค์จากการขายเรือมา ก็ไม่คิดอะไร มีบ้านสวยๆ มีเงินให้ลูกเรียนหนังสือ มีเพื่อนมาย้ายที่กินเหล้า ก็เลี้ยงเพื่อน แล้วผมว่าที่นี่เป็นคลังสมองเลย เป็นแหล่งที่คนหลากหลายอาชีพมาเยี่ยมเยียนเราตลอด
ระหว่างปีที่สองที่ผมทำสาลิกาวิลลา สงครามเวียดนามสุดท้าย กองทัพเรือมาอบรมการประมงกับความมั่นคงของชาติในทะเลรุ่น 1 ชื่อท่านปรีดา กรรณสูต มาอบรมที่บางสะพาน 15 วัน อบรมความรักชาติ รักแผ่นดิน ผมก็อบรมกับเขาด้วย ปรากฎระหว่างอบรมวันสุดท้าย ก็มีดุริยางค์ทหารเรือมาเลี้ยงฉลอง ก่อนจะแยกย้ายไปทำหน้าที่เป็นเครือข่ายป้องกันประเทศ โดยมีสาลิกาวิลลาเป็นศูนย์ ผมเป็นประธานรุ่น 1 วันนั้นก็มีนักข่าวมาเยอะแยะ สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยมีรายการ อาชีพสุจริต เขามาถามว่าก่อนที่มาทำโรงแรม ทำตัวหวือหวานี่ทำอะไรมา ผมก็บอกทำอาชีพสุจริต ก็เล่าให้เขาฟังว่าเราทำประมง ต่อเรือ รับจ้างอะไรแบบนี้ เขาก็ให้รางวัลผมเป็น ผู้ประสบความสำเร็จในชีวิตด้วยอาชีพสุจริต มันก็เหมือนกับจุดประกายว่า เราจะต้องเป็นคนที่ทำอาชีพสุจริตตลอดชาติเลย
-แล้วมาซื้อที่เกาะทะลุเมื่อไหร่
วันสุดท้ายของการอบรม ก่อนจะจากกัน มีคนจากเกาะทะลุบอกว่าเขาจะขายที่ไปอยู่ที่อื่น มีบริษัทมาซื้อ ผมก็ไปเช็คดูบริษัทนี้มีฝรั่ง 4 คน จีน 5 คนเป็นหุ้นส่วน แล้วมีคนไทยคนหนึ่งประสานงาน พอรู้ปุ๊บ ผมก็ขับเรือมาที่เกาะเลย มาถามคนบนเกาะที่รู้จักกันว่าที่ที่จะขายมีเท่าไหร่ ก็ประมาณ 400 ไร่ ส่วนใหญ่เป็น สค.1 ผมบอกว่าผมจะซื้อ แล้วก็วางมัดจำเลย คนที่เขาจะมาซื้อเขาก็โกรธผมมาก เพราะว่าเขาจะมาพรุ่งนี้ วันนี้ผมวางมัดจำแล้ว
ตอนซื้อที่เกาะทะลุมา แรกๆ ผมก็ยังไม่ได้ทำอะไร ปล่อยว่างอยู่สัก 25 ปีได้ ระหว่างนั้นก็ร่วมกับภาครัฐประกาศกฎหมายป้องกันคนระเบิดปลา ฟื้นฟูแนวปะการัง แล้วก็ทำโครงการจัดการทรัพยากรโดยชุมชนอ่าวบางสะพาน ใช้เวลาประมาณ 20 กว่าปี เพิ่งเริ่มมาสตาร์ททำที่พักสัก 10 ปีมานี่
-ตอนนั้นสภาพเกาะทะลุเป็นอย่างไร
ตอนที่กำลังจะซื้อ ผมขึ้นมาบนเกาะ ถ้านั่งสักชั่วโมงจะต้องมีเสียงระเบิดสัก 10 ครั้งได้ คนจับปลาด้วยระเบิด เขาใช้เรือหางยาวมา โยนระเบิดปุ๊บ ปลาตาย เขาก็ใช้สวิงตัก ซึ่งเป็นภาพปกติของคนที่นี่ เวลาเราไปเจอเขามาจอด เราก็คุยว่าถ้าระเบิดแบบนี้ลูกหลานจะเหลืออะไร เปลี่ยนเป็นอาชีพอื่นได้มั้ย เอาไดร์ไปปั่นล่อหมึกจะดีกว่ามั้ย ได้ตังค์มากกว่าด้วย คือหาทางให้เขาเปลี่ยนวิธีทำมาหากิน ทีนี้คนบนเกาะก็ไประเบิดด้วย เราก็หาแนวร่วมบนเกาะก่อน ให้เขาไปคุยให้เพื่อนๆ ฟังอีกที
แรกๆ ผมมาซื้อไดร์ ตอนนั้นลูกละประมาณ 3 หมื่นกว่าบาท ให้เขาไปปั่นไฟ เขาก็เออ..ดี ก็ทยอยเลิกกันไป ส่วนไอ้ชุดที่ยังไม่เลิกมีอยู่ 4-5 ลำ เจ้าหน้าที่ประมงก็เข้ามาดำเนินการ ต่อมาพอเปิดเป็นโครงการจัดการทรัพยากร ก็มีเจ้าหน้าที่มา มาอยู่ใหม่ๆ เขาไม่มีเรือ ไม่มีงบประมาณ ผมก็ให้เรือให้งบประมาณ ก็ทำให้การระเบิดปลามันเบาลงไปเรื่อยๆ ใช้เวลาสัก 20 ปี ถึงได้หายไปหมด หลังจากนั้นก็เริ่มฟื้นฟูปะการัง ได้นักศึกษาของม.แม่โจ้ มาปลูกปะการัง 12 ครั้ง แล้วเขาก็เชิญผมไปมหาวิทยาลัยบรรยายเรื่องศิลปะในการดำเนินชีวิตบ้าง ความสำเร็จในชีวิตด้วยอาชีพสุจริตบ้าง เราก็ต้องหาตำรามาอ่าน ผมมีหนังสือที่ท่านพุทธทาสให้เล่มหนึ่ง เป็นหนังสือล้อชีวิตตัวท่านเอง เวลามีการบ้านทีก็ต้องเปิดตำราท่านพุทธทาส แล้วค่อยไปพูดกับเด็ก มันก็ซึมเข้าไปในความคิดด้วย ทำให้เราต้องไปในแนวนี้
-สมัยนั้นการปลูกปะการังน่าจะเป็นเรื่องใหม่ ทำไมถึงคิดเรื่องนี้
เมื่อก่อนปะการังแถบนี้มันถูกทำลายหมดจากการระเบิดปลา จนลูกปลาตัวเล็กตัวน้อยมันไม่มีที่อยู่อาศัย ผมก็เลยคิดว่าถ้ามันมีแหล่งปะการังเยอะๆ ลูกปลามันก็จะไม่ถูกปลาใหญ่กิน มันมีที่หลบภัย ก็เลยปลูกปะการังให้ปลาเล็กอาศัย ให้หมึกวางไข่ แต่ไม่ได้คิดว่าจะเอามาให้คนดำน้ำดูหรอก ไม่เคยคิดว่าจะมาทำรีสอร์ทอะไรอย่างนี้ เพราะตอนนั้นเราเลี้ยงกุ้ง มีห้องเย็น มีโรงงาน รายได้วันหนึ่ง 4-5 แสนบาท เราไม่ได้คิดว่าจะมาเก็บตังค์อะไรจากตรงนี้ แต่เรามองกว้างๆ ว่ามันเป็นทรัพยากรทางทะเลที่เราต้องช่วยกันฟื้นฟู เพราะผมเคยอ่านหนังสือเกี่ยวกับการประมงในญี่ปุ่น ระเบิดปรมาณูทำลายทั้งประเทศ อ่าวฮิโรชิมาเขาโดนระเบิดจนคนอยู่ไม่ได้ ทรัพยากรต่างๆ ตายหมด แต่เขาก็ฟื้นฟูจนกลับมาได้เพราะมีการจัดการที่ดี เขามีการประกาศโซนนิ่ง ประกาศพื้นที่แหล่งเพาะพันธุ์ แหล่งอนุบาลปลาตัวเล็ก ปลาตัวใหญ่ได้ขนาดเขาถึงจะปล่อยให้จับ เมื่อก่อนผมจะพูดเรื่องนี้วันละหลายรอบกับหลายๆ คนที่เกี่ยวข้อง แรกๆ ยังพูดกันเล่นๆ เลยว่าเกาะนี้เป็นเกาะคบเด็กสร้างบ้าน คบอาจารย์สร้างธรรมชาติ ลำพังผมพูดอาจไม่มีใครมาช่วยเท่าไหร่ แต่อาจารย์ไปปลุกระดมเด็กได้เยอะ ชวนเด็กมาปลูกปะการังที 200-300 คน จนทุกวันนี้เรามีแนวปะการังที่สมบูรณ์สวยงามอย่างที่เห็น
-ทีแรกไม่ได้ตั้งใจจะทำรีสอร์ท แล้วทำไมถึงเปลี่ยนใจ
ตอนนั้นเราประสบปัญหาเรื่องกุ้ง ลูกชายคนเล็กเขาก็รู้สึกอยากจะช่วยพ่อช่วยแม่ทำงาน ซึ่งผมว่ามันเป็นกุศลที่เราช่วยพ่อแม่มาตั้งแต่เด็กแล้วลูกเขาก็เห็น ตอนนั้นเขาอายุ 16 ก็มาสตาร์ทเลย เริ่มจากงบมหาชนแค่ 3 ล้านแรก เขาก็บริหารเงิน 3 ล้าน มีห้อง 9 ห้อง มีเรือเร็วเล็กๆ ลำหนึ่ง อยู่แค่ ม.5 ม.6 เขาก็เป็นนักธุรกิจแล้ว เริ่มจากอ่าวมุกก็ขยายมาที่อ่าวใหญ่ แล้วก็โตมาเรื่อยๆ เป็นจังหวะ ตามปริมาณคนที่เพิ่มขึ้น
-ปัจจุบันนอกจากฟื้นฟูแนวปะการังแล้ว ยังมีโครงการอนุรักษ์พันธุ์เต่ากระด้วย
พอเราอนุรักษ์ปะการังจนมีชื่อเสียงว่าที่เกาะทะลุมีปะการังสวยงาม พวกเรือประมงที่เคยจับปลาผิดกฎหมายก็เปลี่ยนมาพานักท่องเที่ยวดำน้ำ จาก 3 ลำ 5 ลำ กลายเป็น 40-50 ลำ พอเลิกทำการประมง อวนใต้น้ำอะไรมันก็น้อยลงมาก ทำให้สัตว์ทะเลหายากเริ่มเข้ามา แล้วมันก็ปลอดภัย เมื่อ 4 ปีที่แล้ว เต่ากระขึ้นมาไข่ไว้รังหนึ่ง พอ 3 ปีที่แล้ว ก็ 4 รัง ถัดมาก็ 11 รัง ถัดมาอีกปีก็ 25 รัง เราก็มานั่งคิดว่าถ้าทรัพยากรใต้น้ำมันดี สัตว์ทะเลหายากทั้งหลาย สัตว์ใกล้จะสูญพันธุ์ทั้งหลายจะค่อยๆ ฟื้นฟูโดยอัตโนมัติ สิ่งที่เราทำก็คือ ช่วยให้เขารอด พอเต่าขึ้นมาวางไข่ เราก็จะเอาขึ้นมาอนุบาล ปัจจุบันอัตรารอดก็สัก 80-90 เปอร์เซ็นต์ ถือว่าน่าพอใจ ตอนนี้ที่เกาะทะลุอาจจะเป็นที่เดียวในอ่าวไทยที่มีเต่าชนิดนี้ขึ้นมาวางไข่ หลังจากที่ไม่เห็นมา 20 ปีแล้ว
ดูๆ แล้วมันก็น่าสนุก เราเป็นเอกชน เราไม่มีงบวิจัย แต่เราทำด้วยใจ มีศูนย์วิจัยจุฬาฯ เข้ามา 3-4 ครั้ง มีกองทัพเรือมาช่วย แล้วตอนนี้กองอุทยานฯ กำลังจะเข้ามา ก็เป็นเรื่องดีที่ทุกคนคิดในสิ่งที่จะช่วยธรรมชาติ
-แต่ถ้ามองในเชิงธุรกิจ ที่นี่ก็ยังทำอะไรได้อีกเยอะ?
ถ้าทำธุรกิจเต็มรูปแบบ มันก็ไม่ใช่การอนุรักษ์ มันต้องพอดี แต่คำว่าอนุรักษ์ของผม ไม่ใช่อยู่แบบไม่ทำอะไรเลยนะ เหมือนผมเคยปลูกสนทะเลอยู่บนฝั่ง ปลูกไป 15 ปี แล้วผมก็ตัดไม้มาใช้บนนี้ ประหยัดไปตั้งหลายสิบล้าน อย่างนี้เขาเรียกเศรษฐกิจพอเพียง รู้จักสร้าง รู้จักใช้ แล้วก็ขยายพันธุ์ต่อไป ที่จริงงานอนุรักษ์ก็คือ การจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน บางคนคำว่าอนุรักษ์เขาไม่เข้าใจ ต้องไม่ทำอะไรเลย ต้องอยู่อย่างนี้ อยู่จนไม่มีอะไรเลย จนสมองไม่เดินมือไม่ขยับ ก็เลยเป็นหงิกเป็นง่อยกันทั้งระบบ อนุรักษ์คือการรู้จักสร้าง รู้จักใช้ประโยชน์ร่วมกัน ขยายพันธุ์ รู้จักมองว่าอนาคตมันควรจะเป็นอย่างไร
-มองในมุมนี้อนุรักษ์กับการท่องเที่ยวไปด้วยกันได้ไหม
อยู่ด้วยกันได้ แต่อย่าให้มากเกินไป พอดี พอควร อย่างบนเกาะ ถ้าคนมาพักวันละ 400-500 คน ก็ไม่ไหวแล้ว ขยะก็เยอะ ของเสียก็มาก คนที่ไปลอยคอดูปะการัง ครีมที่ทา สบู่ที่ใช้ สารเคมีพวกนี้ก็จะไปรบกวนธรรมชาติ อันนั้นก็เกิน ถ้าเราจัดการแบบพอดีๆ มันก็จะรักษาสมดุลไว้ได้ สำหรับผม ทุกอย่างมันไม่มีอะไรมาก มันอยู่ที่ศีลธรรม ความพอดี แล้วก็ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน คำว่า ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน หมายถึง นก เราก็ไม่ไปยิงเขา ปลา เราก็ไม่ไปจับ มีอะไรช่วยได้ก็ช่วย ทำเท่าที่เราทำได้ ไม่ใช่โอ้โห ต้องวางแผน ประชุมกันอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วก็ไม่ได้ทำ
-มองตัวเองว่าเป็นนักธุรกิจ หรือนักอนุรักษ์ มากกว่ากันคะ
คนเราเกิดมาคิดเป็น ฟังเป็น พิจารณาเหตุผลเป็น ปฏิบัติเป็นในสิ่งที่ดีที่ชอบ ผมว่ามันก็ดีหมดแหละ ผมก็เป็นคนธรรมดาๆ ที่รู้จักสังเกต รู้จักคิด รู้จักฟัง รู้จักหาเหตุผลในการดำรงชีวิต เราเกิดมาเป็นคน กว่าจะตายตอนเป็นเด็กเราก็ทำหน้าที่ของเด็ก เป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ ทำให้พ่อแม่สบายใจ ให้ครูสบายใจ อย่าเอาแต่ใจตัวเอง มันจะฝึกมาตั้งแต่เด็ก พอโตเราก็เห็นใจธรรมชาติ อย่าไปทำลายธรรมชาติ อย่าไปเห็นแก่เงิน
สำหรับผมเงินคือสิ่งสมมติ คือกระดาษพิมพ์สี ถ้าใช้เป็นก็สนุก ถ้าใช้ไม่เป็นก็ทุกข์ ผมไม่ได้ปฏิเสธ ได้มาก็ดีแต่ต้องได้มาโดยสุจริต อันนี้คือจุดยืน ผมเคยได้รับเกียรติว่าเป็นผู้ประสบความสำเร็จด้วยอาชีพสุจริต ตั้งแต่วันนั้นอายุ 31 สิ่งนี้มันเตือนเรามาตลอด อันไหนไม่สุจริตเราจะไม่ทำ มันง่ายนิดเดียว
-แต่ช่วงชีวิตหนึ่งคงมีเรื่องท้าทายความแน่วแน่ในจุดยืนนี้พอสมควร
ผมมองทุกอย่างเป็นเรื่องขำๆ ขำแล้วคิด คิดแล้วมีเหตุผล มันก็จะออกมาที่ความจริง พอเป็นความจริง ทุกอย่างอยู่ที่มีน้ำใจ มีคุณธรรม มีจริยธรรม เราต้องมองว่าได้เกิดมาเป็นคนก็คุ้มแล้ว ได้ทำประโยชน์ต่อครอบครัว แล้วยังเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อธรรมชาติ กล้าคิด กล้าปฏิบัติในสิ่งที่ถูกที่ควร แค่นี้ก็พอแล้ว
-ผ่านอุปสรรคมาก็ไม่น้อย คิดว่าที่มีวันนี้เพราะอะไร
ทัศนคติเราได้จากเพื่อน พลังงานเราได้จากพ่อแม่ ส่วนธรรมะอะไรทั้งหลายเราได้จากพระที่นับถือ แล้วผมชอบอ่านหนังสือ หนังสือนี่เป็นต้นแบบของผม เป็นสมองเลยก็ว่าได้ ต้นแบบอีกอย่างก็มาจากวัฒนธรรมรากเหง้าของพ่อแม่เรา ท่านเป็นคนจิตใจดี แล้วก็ฉลาดคิด พอคนฉลาดคิด มันก็จะปฏิบัติแบบฉลาด