คัปปาโดเกีย นั่งบอลลูนฟังเทพนิยายบนฟ้า

คัปปาโดเกีย นั่งบอลลูนฟังเทพนิยายบนฟ้า

คัปปาโดเกีย (Cappadocia) มรดกโลกของยูเนสโกแห่งนี้สะกดผู้คนที่มาเยือนด้วยหินทูฟา (Tufa) รูปร่างแปลกตาที่มีประตูหน้าต่างเจาะเป็นรู

ดูคล้ายๆ ฟองน้ำที่เลื้อยหยึกหยักไปตามที่โล่งกว้างใหญ่ของตุรกี บางครั้งก้อนหินยืนอยู่เดี่ยวๆ บางครั้งยืนเป็นหมู่ดูมีชีวิตชีวาเหมือนมองดูคนแปลกๆ เดินผ่านหน้า ไม่มีหินก้อนไหนเหมือนกันเลย และแต่ละก้อนก็บอกเรื่องราวที่แสนเก่าแก่โบราณของมันเหมือนกำลังเล่าเทพนิยายจากกาลเวลาไกลโพ้น

คัปปาโดเกียในแถบเทือกเขาอนาโตลีของภาคกลางตุรกีเกิดขึ้นเมื่อ 3-9 ล้านปีก่อน ภูเขาไฟระเบิดและทิ้งเถ้าถ่านหนาห่มคลุมที่ราบสูงกว้างใหญ่นี้ ต่อมาก็เกิดการกัดกร่อนจากฝนหนักๆ หิมะ และแม่น้ำ Kizilirmak สายยาวที่สุดของตุรกี หรืออีกชื่อว่าแม่น้ำแดงจนกลายเป็นรูปร่างแปลกๆ อย่างที่เห็น และเมื่อศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสตกาล มนุษย์โบราณก็เริ่มใช้เครื่องมือสกัดหินให้เป็นโพรงเพื่อทำเป็นบ้าน มีประตู หน้าต่าง และห้องหลายชนิดที่ด้านใน บางที่ก็ขุดลึกลงไปใต้ดินหลายชั้นเอาไว้หลบศัตรู

ทุกวันนี้บ้านหินเกือบทั้งหมดถูกทิ้งร้างเพื่ออนุรักษ์ เพราะหินทูฟาเปราะบาง แค่ลมเฉยๆ ก็แทบจะทำให้มันพังอยู่แล้ว แต่จะมีโรงแรมและร้านอาหารอยู่บ้างที่รัฐบาลอนุญาตให้สร้างในภูเขาหินได้ และยังมีชุมชนโบราณบางส่วนที่ยังมีคนอาศัยอยู่จริงในหิน ในหน้าร้อนก้อนหินทูฟาจะเป็นที่หลบแดดที่เย็นกายสบายใจ

นึกวาดภาพตัวเองเป็นชาวคัปปาโดเกียโบราณนั่งฝันอยู่ข้างหน้าต่างหิน มองออกไปเห็นที่ว่างเวิ้งว้าง แว่วเสียงฝีเท้าม้าและภาษาพื้นเมืองคงมีความสุขมากมาย ใครที่ฝันอยากลองอยู่ในบ้านหินคัปปาโดเกียก็มีโรงแรมในหินให้เลือกมากมาย

See Cappadocia and Fly!

สวยจนลืมหายใจ ทริปมาคัปปาโดเกียส่วนใหญ่มีไฮไลท์อยู่ที่การนั่งบอลลูน รถซาฟารีมารอรับเราถึงหน้าโรงแรม โดยมีคนขับตุรกีคิ้วเข้มขับรถติดฮีตเตอร์พาเราไปตามถนนเส้นเล็ก สัมผัสบรรยากาศก่อนพระอาทิตย์ขึ้นขณะที่พระจันทร์ดวงใหญ่ยังส่องสว่าง ก่อนที่ฟ้าจะค่อยๆ สว่าง เผยให้เห็นภูมิทัศน์เวิ้งว้างด้วยก้อนหินบุคลิกแปลก มีทั้งที่เหมือนเขี้ยวสัตว์ เหมือนปล่องไฟ หรือดูเป็นเสาเป็นโคน บางก้อนสูงได้ถึง 40 เมตร

บอลลูนค่อยๆ พองขึ้นจากพื้น เปล่งแสงอบอุ่นกลางอุณหภูมิเกือบเยือกแข็งดูเหมือนโคมไฟขนาดยักษ์บนทุ่งหญ้าแห้งที่หนาวจัด

บอลลูนจะพาคนนั่งชมวิวที่ราบสูงคัปปาโดเกียเป็นเวลาร่วมชั่วโมงเพื่อละเมียดกับบรรยากาศยามพระอาทิตย์ขึ้น เพลินดูฟ้ากว้างที่มีบอลลูนหลายลูกลอยประดับ ที่ปลายฟ้าสามารถมองเห็นยอดเขาสูงที่มีหิมะปกคลุม ด้านล่างเป็นทุ่งโล่ง เรือกสวน ชุมชนเล็กๆ และเหล่าก้อนหินทูฟาที่ครอบครองดินแดนนี้อยู่

บอลลูนลอยขึ้นลงตามแรงลมไปตามจุดชมวิวต่างๆ ที่ชาวตุรกีตั้งชื่อตามจินตานาการ ไฮไลท์หนึ่งคือการลอยผ่าน Love Valley ดงก้อนหินที่ชูแท่งลักษณะคล้ายเห็ดตูมขึ้นมา ไม่ต้องบอกก็คงรู้ว่าทำไมชาวตุรกีตั้งชื่ออย่างนั้น

คัปปาโดเกียอยู่ห่างจากอิสตันบูลแค่ 1 ชั่วโมงโดยเครื่องบิน ประชากรเบาบาง สนามบินก็เล็กจิ๋วและยังใช้ส้วมนั่งยองที่ติดป้ายเท่ๆ ว่า Ala Turka หรือ “แบบตุรกี” ด้วย ถ้าเราอยากนั่งบอลลูนต้องรวมเพื่อน 8 คนขึ้นไป ค่าตั๋วคนละประมาณ 6 พันบาท ถามว่าคุ้มไหม ถ้านักเขียนอังกฤษบอกว่า See Angkor Wat and die (ประมาณว่าเห็นนครวัดก่อนแล้วค่อยยอมตาย) ก็คงไม่เกินเลยที่จะต่อกลอนว่า See Cappadocia and fly บินไปฟังเทพนิยายบนฟ้ากัน

คัปปาโดเกียภาคสนาม ตาดูภูเขา เท้าติดดิน

เหมือนต้องตื่นจากฝันดีเมื่อบอลลูนส่งเราลงถึงพื้น บริษัทบอลลูนเอาใจนักเดินทางด้วยการเปิดแชมเปญฉลองให้กับผู้กล้าที่ไม่กลัวความสูง ตามด้วยการมอบประกาศนียบัตรนักท่องบอลลูนให้เป็นที่ระลึก

คัปปาโดเกียภาคสนามเป็นความสนุกตื่นเต้นไม่แพ้ภาคฟ้า นักท่องเที่ยวสามารถเช่ารถซาฟารีพร้อมคนขับตระเวนไปตามจุดชมวิวที่มีอยู่เต็มไปหมด การนั่งรถขึ้นเขาลงห้วยประกอบเพลงป๊อปตุรกีที่คนขับเปิดฟังเป็นประสบการณ์นอกกรอบ ส่วนนอกรถนั้นวิวที่เห็นทั้งหมดเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่อัศจรรย์

คัปปาโดเกียไม่ได้เด่นเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ แต่ยังมีแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญด้วย เพราะทางตะวันออกติดกับแม่น้ำยูเฟรติสแหล่งอารยธรรมเก่าแก่ และเคยตกเป็นของหลายอาณาจักรทั้งฮิทไทต์ เปอร์เซีย กรีก อาร์เมเนีย และในท้ายที่สุดจักรวรรดิออตโตมัน มีโบราณสถานให้เดินเที่ยวหลายที่ เช่นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งเกอเรเม่ (Goreme) นครใต้ดินไคมัคลี (Kaymakli)

เที่ยวคัปปาโดเกียครั้งนี้ต้องเตรียมรองเท้าบู้ทดีๆ ไว้เดินเที่ยวอีกไกล!