ซอมบี้ แอ็คชั่น กับแบรด พิตต์

ซอมบี้ แอ็คชั่น กับแบรด พิตต์

การลง แรง ลงทุน สร้างเอง นำแสดงเองของแบรด พิตต์ ใน World War Z มีอะไรให้น่าตื่นเต้น สมราคาการบินโปรโมททั่วทุกทวีปหรือไม่

แบรด พิตต์ กับสงครามซอมบี้ที่เป็นมหันตภัยคุกคามต่อมวลมนุษยชาติ เป็นหนังฟอร์มยักษ์ในซัมเมอร์นี้ของฮอลลีวู้ด เริ่มเปิดฉายไปแล้วเมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมา แต่การลงแรง ลงทุน สร้างเอง นำแสดงเองของแบรด พิตต์ ใน World War Z มีอะไรให้น่าตื่นเต้น สมราคาการบินโปรโมททั่วทุกทวีปหรือไม่

คำให้การจาก "คอหนังซอมบี้" อย่าง "ปากานดา" (นามแฝง) ที่แอบแฝงเข้าไปชมรอบปฐมทัศน์ที่เมืองไทยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เผยว่า World War Z มีสัดส่วนของหนังแอ็คชั่น 3 ใน 5 และ อีก 2 ส่วนที่เหลือจะเป็นการ "ฉายซ้ำหนังตระกูลซอมบี้"
" มันพยายามเลี่ยงหนังซอมบี้ที่มีมาก่อนหน้านี้ เนื้อเรื่องหนังพูดถึงวิกฤติ ภาวะของซอมบี้ครองเมือง เริ่มต้นเหมือน Dawn of the Dead เปิดภาพครอบครัวสุขสันต์ แล้วเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น ถ้าถามเรื่องมุขหนังซอมบี้ เรื่องนี้ก็ซ้ำๆ (cliche) อยู่นะ แต่ก็มีความพยายามที่จะหามุกใหม่ๆ ไม่ซ้ำกับซอมบี้เรื่องอื่นที่ผ่านมานะ"
ปากานดา ยกตัวอย่างว่า
"หนังก็พยายามจะหามุมเล่น เช่น บางมุขล้อเลียนหนังซอมบี้ กันเอง แบบตัวละครลื่นล้มหัวฟาดพื้นตาย แทนที่จะโดนซอมบี้กัดตาย ตามธรรมเนียมหนังตระกูลนี้ มุขใหม่ที่น่าสนใจในการเล่า คือ เรื่องอื่นๆ ที่ผ่านมา จะพูดถึงด้านมืดของซอมบี้มาตลอด แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องแรก ที่ได้ค้นพบวิธีการรักษาคนที่โดนซอมบี้กัดได้"

ส่วนความพยายามที่จะใส่แอ็คชั่นซอมบี้กับการวิพากษ์สังคม ใน World War Z นั้น ปากานดา หนังเน้นเอาใจแฟนหนังแอ็คชั่น และถ้าเทียบกับหนังในดวงใจของเธอ อย่าง 28 Days Later ของผู้กำกับ แดนนี่ บอยล์ แล้ว World War Z ยังเห็นเนื้อหาวิพากษ์สังคมไม่ชัดมาก


"ถ้าให้เลือกหนังซอมบี้ ประทับใจ 28 Days Later และ ซีรีส์ Walking Dead เพราะซีรีส์มันมีเวลาเยอะก็ได้รายละเอียดเยอะ ส่วนหนัง 28Days Later มันเด่นมาก สไตล์ต่างจากคนอื่น เป็นเรื่องแรกที่ทำให้ ซอมบี้วิ่งได้ และเสนอเรื่องว่าในภาวะวิกฤติของซอมบี้บุก ทำให้เห็นดราม่า ของมนุษย์ปฏิบัติต่อกันยังไง ส่วนหนังอย่าง Dawn of the Dead เอาหนังซอมบี้วิพากษ์วิจารณ์สังคม เป็นผลจากการบริโภคนิยม ในเรื่อง World War Z นี้ก็มีวิพากษ์แบบแตะๆ แต่ไม่ได้ลงลึก" ปากานดา ให้ความเห็น


ส่วนแฟนหนัง แอ็คชั่น ซูเปอร์ฮีโร่ อย่าง "กาญจโนลีน่า" (นามแฝง) ให้ความเห็นว่า ในหน้าหนังที่เป็นแอ็คชั่น(สู้)ซอมบี้นั้น หนังทำได้ลุ้นตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ใช่ลุ้นการหักมุม แต่เป็นเพราะจังหวะหนังที่ตอบสนองความตื่นเต้น
"หนังทำพวกฉากตื่นเต้นได้ดีนะ แต่ซอมบี้มันไม่ค่อยน่ากลัวมากเท่าไหร่ ตอนลุ้นให้หนีรอด ทำได้โอเคเลย แต่ในเรื่องมันจะมีตัวละครที่ทำอะไรแบบโง่ๆ โดยไม่ตั้งใจอยู่หลายครั้ง ไม่รู้ว่าผู้กำกับตั้งใจทำให้ตลกเสียดสีไหม แต่ดูแล้วไม่ขำนะ ซึ่งคงทำเพื่อให้หนังมันดำเนินไปข้างหน้า แต่ที่ทำได้ดีคือ (ฉากใหญ่) พวกซอมบี้มันสามารถปีนกำแพงสูงลิ่วเข้ามาถล่มเมืองได้ และฉากนั้นเหมือนฉากมดค่อยๆ ไต่ตัวกันขึ้นไปอีกพี่ ดูแล้วขนลุกดี"

ฉากที่ว่านี้ เป็นฉากที่บรรดาซอมบี้ ถูกเรียกจากเสียงสวดมนต์ของฝูงชนที่อยู่หลังกำแพงไถ่บาป(กฏสากลของหนังซอมบี้ทุกเรื่อง คือ เสียงดังจะเรียกซอมบี้มารวมตัวกัน) ซึ่งตามเนื้อเรื่อง เป็นกำแพงที่รัฐบาลอิสราเอล สร้างขึ้นปกป้องประชาชนจากซอมบี้ ความตั้งใจอวดความอลังการ เบื้องหลังงานสร้างที่ถ่ายทำฉากกำแพงสร้างขึ้นกลางทะเลทราย ประเทศมอลตา และใช้นักแสดงประกอบที่เป็นคนจริง ถึง 900 คน ดังนั้นภาพที่ปรากฏในหนังจึงไม่ดูเป็นภาพซีจีจนขัดตา

"ถ้าหนังฉายในโรง IMAX พวกฉากซอมบี้บุกกำแพงเมือง น่าจะดูอลังการมากกว่านี้เลยล่ะ สำหรับการดูในเวอร์ชั่นสามมิติ มีแค่บางฉาก ที่จะตกใจหรือตื่นเต้น แต่เพราะหนังตัดต่อรวดเร็ว ภาพเคลื่อนไหว การดูผ่านแว่นสามมิติ บางทีก็ปวดหัวนะ"


และในมุมของแฟนซูเปอร์ฮีโร่ กาญจโนลีน่า ยังเห็นว่า บทบาทพระเอกรักครอบครัวของ แบรด พิตต์ในเรื่องนี้ โดดเด่นที่ "ความเป็นพระเอ๊กพระเอก" และแน่นอน เป็นการใช้ประโยชน์จาก บุคลิกและตัวตน(ผ่านสื่อ)นอกจอ หรือ persona ของแบรด มาสู่ตัวละครในหนัง ที่ทำให้ พระเอกผู้อำนวยการสร้างลูกดก 6 คน คนนี้ สมบทบาทกับการเป็น "ซูเปอร์แฟมิลี่แมน" แบบแทบไม่เห็นร่องรอยการแสดงเลยทีเดียว
"แบรดดูพระเอกมาก แต่บทมันให้พระเอกเห็นแก่ครอบครัวตัวเอง มากกว่าจะใส่ใจมวลมนุษยชาตินะ ที่ต้องช่วยโลกเพราะจำใจ อยากให้ครอบครัวรอดมากกว่า คือคนจะดูแล้วเชื่อนะ ว่าคนๆ นี้พร้อมทำทุกอย่างเพื่อครอบครัว ฝากความหวังเอาไว้ได้ "


แม้ กาญจโนลีน่า เห็นว่า World War Z ยังขาดพลังในการส่งสารอะไรบางอย่าง แต่ก็ยังเก็บตก ประเด็นสันติภาพโลก จากในฉากซอมบี้บุกกำแพงอิสราเอล ได้ว่า
"ประเด็นให้ฉุกคิดว่า คนเรามักจะมองข้ามคำเตือนที่ดูเหมือนไม่น่าจะเป็นไปได้ แล้วก็ปล่อยให้มันเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นจนได้ ในหนังคือ กำแพงที่อิสราเอล สร้าง เพิ่งจะสร้างขึ้น เพราะมีคนสำคัญระดับรัฐบาลที่เชื่อว่าซอมบี้จะบุกโลกจริง ตอนหลัง อิสราเอลก็เลยตั้งกรรมการที่จะคอยพิจารณาเรื่องพวกนี้ และสุดท้ายก็เชื่อกันว่าซอมบี้อาจจะเกิดขึ้นได้จริง และตัดสินใจสร้างกำแพง และเรียกว่ากำแพงไถ่บาป และยอมปล่อยให้คนทุกเชื้อชาติเข้ามาพักได้ ไม่ว่าจะอาหรับหรือยิว แฝงนัยยะของการไถ่บาปเรื่องแบ่งแยกเชื้อชาติไว้ด้วยเหมือนกัน เพราะในหนังอิสราเอล ยอมรับคนทุกเชื้อชาติให้เข้ามาพักภายในกำแพงได้"


World War Z มหาวิบัติสงคราม ซี อำนวยการสร้างโดยแบรด พิตต์, ดีดี้ การ์ดเนอร์, เจเรมี ไคลเนอร์, เอียน ไบรซ์ และ กำกับโดยมาร์ค ฟอร์สเตอร์ (Quantum of Solace) เป็นโปรดักชั่นของบริษัท Plan B ที่แบรด พิตต์ก่อตั้ง

หนังดัดแปลงจากนิยายขายดีของแม็กซ์ บรู๊คส์ เล่าเรื่อง ในวันธรรมดาวันหนึ่ง เจอร์รี่ เลนและครอบครัว พบว่าการเดินทางบนท้องถนนที่เคยเงียบสงบของพวกเขา ต้องเผชิญหน้ากับการจราจรติดขัดกลางเมืองเลน ที่ในอดีตเคยเป็นเจ้าหน้าที่สืบสวนขององค์การสหประชาชาติ รู้สึกว่านี่ไม่ใช่รถติดธรรมดา และเมื่อมีเฮลิคอปเตอร์ของตำรวจบินร่อนอยู่เหนือท้องฟ้าและมีมอเตอร์ไซค์ของตำรวจวิ่งไปมาอยู่เบื้องล่าง ทั้งเมืองต้องเผชิญกับเหตุโกลาหล บางสิ่งบางอย่างกำลังเป็นเหตุให้ผู้คนทำร้ายกันอย่างรุนแรง มันคือเชื้อไวรัสที่แพร่กระจายได้ผ่านการโดนกัดเพียงครั้งเดียว และเปลี่ยนมนุษย์ที่มีสุขภาพแข็งแรงดีให้กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่จดจำอดีตไม่ได้ ไม่มีความรู้สึกรับรู้ ไม่มีความคิด และดุร้าย เพื่อนบ้านหันมาทำร้ายเพื่อนบ้าน คนแปลกหน้าที่มีน้ำใจช่วยเหลือจู่ๆ ก็กลายเป็นศัตรูตัวร้าย
ต้นกำเนิดของไวรัสชนิดนี้ยังไม่ทราบที่มา และจำนวนคนติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นในแต่ละวัน จนกลายเป็นโรคระบาดไปทั่วโลก เมื่อผู้ติดเชื้อมีชัยเหนือกองทัพของโลกและทำให้หลายรัฐบาลต้องล่มสลาย เลนถูกสถานการณ์บีบให้ต้องหวนกลับไปใช้ชีวิตแบบเก่าที่เต็มไปด้วยอันตราย เพื่อรับประกันความปลอดภัยของครอบครัวของเขา และเป็นผู้นำการค้นหาที่มาของโรคระบาดทั่วโลก อันจะเป็นหนทางที่จะหยุดการแพร่ระบาดที่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดได้
หนังเปิดฉายแล้ววันนี้ทั้งในระบบ 3 มิติ และ ระบบฟิล์มปกติ ทุกโรงภาพยนตร์