สวยใส (เสพ)ไอซ์ระบาด

สวยใส (เสพ)ไอซ์ระบาด

เมื่อความ 'อยากสวย' กลายเป็นความ 'หลงผิด' ยาเสพติดจึงถือโอกาสแพร่ระบาดไปทั่วทุกหย่อมหญ้า

"..วันนึงเพื่อนถามว่าลองมั้ย ไม่รู้ว่าเราคิดสั้น ประชดชีวิตหรือว่าอะไร เราตัดสินใจลองค่ะ หลังจากครั้งแรกก็มีครั้งต่อมาเรื่อยๆ เราไม่ได้รู้สึกถึงความแตกต่างเท่าไร ยังกินอิ่มนอนหลับเหมือนเดิม แต่มารู้อาการหลังจากตัวเองมีความเครียด เริ่มมองเห็นตัวเองหลอน เวลาที่เดินไปตามถนนเรามองเห็นรถมีขาเดินได้ มองไปไกลๆ เห็นผู้คนมาจากไหนไม่รู้มากมายเดินอยู่ข้างหน้า แต่พอเราเดินไปถึงกลับว่างเปล่า..
..อีกอย่างที่ประหลาดมากเราเห็นขนในร่างกายไม่ได้ต้องนั่งถอน ขนขา ผม เรานั่งถอนได้เป็นชั่วโมงๆ ในหัวเริ่มมีเสียงประหลาด..
..อาการทุกอย่างที่เล่ามานี่ลองไอซ์แค่อาทิตย์เดียวนะคะ แล้วก็ไม่ได้บ่อยด้วย วันละครั้งสองครั้งเท่านั้น ร้ายแรงมาก.. " (ข้อมูลจาก Jenny USA ; pantip.com)

นี่เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งในหลายๆ เรื่องเล่าที่มีคนทางบ้านเข้ามาแชร์เรื่องราว ประสบการณ์ตรงเกี่ยวกับการเสพยาไอซ์และความรุนแรงของมันไว้ในเว็บไซต์พันทิปดอทคอมเพื่อเป็นวิทยาทานให้แก่คนอื่นๆ

ที่ผ่านมายาเสพติดประเภทนี้ดูเหมือนจะไม่ค่อยพบเห็นได้มากเท่ายาบ้า แต่ในความเป็นจริงยาไอซ์แฝงเร้นอยู่ในสังคมไทยมานมนาน และมีแน้วโน้มของผู้เสพเพิ่มมากขึ้นทุกปี ว่ากันว่ายาไอซ์มีแนวโน้มแพร่ระบาดกว้างขวางมากขึ้นในกลุ่มเยาวชนอายุ 12-24 ปี และกำลังขึ้นแท่นยาเสพติดยอดนิยม ด้วยมีความเชื่อในสรรพคุณที่อ้างว่าเมื่อเสพแล้วจะ สวย ขาว หุ่นดี เหมือนดาราหน้าจอทีวี

อันตรายแสนแพง

จากกรณีดาราสาวถูกปล่อยภาพขณะเสพยาไอซ์ที่โหมกระพือกันอยู่นานหลายสัปดาห์ก่อน จนมีการสืบสาวลึกลงไปและพบว่ามีวัยรุ่นไทยจำนวนไม่น้อยที่หันมาเสพไอซ์เพราะเชื่อว่าจะทำให้ขาวสวยได้ ถึงขนาดพูดกันว่าเด็กสมัยนี้เสพยากันเป็นเรื่องปกติไปแล้ว ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้สังคมไทยตื่นตระหนกไม่น้อย และมีคำถามตามมาเป็นระลอกไม่หยุดหย่อน บ้างก็ว่าทำไมยาไอซ์หาเสพได้ง่ายขนาดนั้น? บ้างก็ว่าทำไมวัยรุ่นไทยถึงเข้าใจผิดไปได้ว่าเสพยาแล้วจะสวย?

มีข้อมูลจากหลายแหล่งระบุว่า 'ยาไอซ์' จัดเป็นยาเสพติดที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทประเภทที่ 1 ตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดปี พ.ศ. 2522 ลักษณะของเม็ดยาเป็นผลึกคล้ายน้ำแข็งเป็นที่มาของชื่อยาไอซ์ ยานี้ไม่มีกลิ่น แต่มีอันตรายมากกว่ายาบ้า เพราะมีความบริสุทธิ์มากกว่าและออกฤทธิ์แรงกว่า ทำให้มีอารมณ์เคลิบเคลิ้มสนุกสนานสดชื่นกระปรี้กระเปร่า อีกทั้งตำแหน่งทางการตลาดยังมีภาพลักษณ์ของการดูดีมีระดับ เนื่องจากไอซ์ในระยะแรกถูกนำเข้ามาโดยกลุ่มนักเรียน/นักศึกษาที่ไปศึกษาต่างประเทศและกลุ่มชนชั้นสูงทางสังคม เรียกว่ามักจะใช้กันในสังคมไฮโซนั่นเอง

อีกทั้งมีข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด หรือ ป.ป.ส. ระบุว่า สถานการณ์ยาเสพติดในปัจจุบันพบการระบาดมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ในปี 2556 เพิ่มขึ้นเป็น 1.9 ล้านคน จากเดิม 1.2 ล้านคน โดยยาเสพติดที่ระบาดมากที่สุดคือ 'ยาไอซ์' ผู้ค้าได้ปรับราคาของยานี้ให้ถูกลง ส่งผลให้ผู้เสพเข้าถึงยาได้ง่าย โดยเฉพาะกลุ่มนักเรียน นักศึกษา

แต่อย่างที่บอกว่ามันคือยาเสพติดให้โทษ หากเสพไปนานๆ ไม่เพียงแต่จะไม่ขาว ไม่ผอม ไม่สวยอย่างที่ตั้งใจเท่านั้น แต่ยังทำให้สมรรถภาพทางเพศลดลง รูปร่างผอมแบบทรุดโทรม เมื่อหยุดเสพจะเกิดโยโย่วเอฟเฟ็ค น้ำหนักจะเพิ่มอย่างรวดเร็ว และลดยาก สมองฝ่อ ไอคิวต่ำ และที่สำคัญอาจตายได้ เนื่องจากหัวใจเต้นผิดจังหวะ เต้นเร็ว และเกิดภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน หากมีไว้ครอบครองเพื่อเสพหรือจำหน่ายจะมีโทษตามกฎหมายคือ โทษจำคุกอย่างสูง 10 ปีและโทษปรับสูงสุด 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ในกรณีที่มีการครอบครองเกินกว่า 20 กรัมกฎหมายให้ถือว่าเป็นการครอบครองไว้เพื่อจำหน่าย ซึ่งโทษขั้นสูงสุดคือ ประหารชีวิต

ก่อนหน้านี้นักวิชาการหลายคนก็ออกมาให้ข้อมูลตรงกันว่า การเสพยาไม่สามารถทำให้ขาว-สวย-ผอมได้จริง โดย นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) กล่าวไว้ว่า ความเชื่อที่เกิดขึ้นนั้นมาจากโฆษณาเกินจริงของพ่อค้ายาไอซ์ นั่นคือกล่าวอ้างสรรพคุณว่ายาไอซ์ช่วยลดความอ้วนได้ ทำให้หุ่นดี และผิวสวย ซึ่งไม่จริง เนื่องจากยาไอซ์มีผลต่อการทำงานของระบบเลือด ทำให้เส้นเลือดหดตัว เส้นเลือดจะไปเลี้ยงที่ผิวน้อยลงจนทำให้ผิวซีดเหมือนคนขาดเลือด ไม่ใช่ขาว ทำให้แก่ลงด้วยซ้ำ ในขณะที่ ผศ.ดร.ปนัดดา ชำนาญสุข ภาควิชาจิตวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ก็ออกมาให้ข้อมูลในกรณีที่วัยรุ่นมีค่านิยมผิดๆ นั้น เป็นเพราะยาไอซ์มีภาพในเชิงคุณค่าสำหรับวัยรุ่นว่าเป็นยาที่เลื่อนสถานะทางชนชั้น ทั้งวิธีการเสพที่มีอุปกรณ์ ลีลาการเสพ และราคา มันถูกจัดวางให้มีคุณค่า ดูเป็นของแพง ไม่ได้มีภาพลักษณ์เหมือนยาบ้าที่เป็นของคนใช้แรงงาน

อยากรู้ ต้องลอง

หากถามวัยรุ่นว่าทราบถึงผลเสียและอันตรายของยาเสพติดหรือไม่ เชื่อแน่ว่าทุกคนรู้ดี แต่ปัจจุบันที่พบว่ามีจำนวนผู้เสพยาที่เป็นเยาวชนเพิ่มสูงขึ้น หนึ่งในสาเหตุหลักๆ น่าจะมาจากการที่มีช่องทางในการซื้อหาง่ายขึ้น และใกล้ตัวมากขึ้น

"เรื่องยาเสพติดเหล่านี้ผมมองว่าเด็กวัยรุ่นเข้าถึงได้ง่ายมากขึ้น เพราะสังคมมันเปิดมากขึ้นน่ะครับ อย่างสมัยก่อนสังคมมันค่อนข้างปิด แต่ตอนนี้เหมือนสังคมมันเปิดกว้าง อย่างในเรื่องของโซเชียลมีเดียใครๆ ก็ใช้กัน หรือการเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ในโลกออนไลน์ทั้งในและต่างประเทศก็เข้าถึงได้มากขึ้น" เบิร์ด ชัชวาล มณฑาทิพย์กุล รองประธานกลุ่ม 'แก๊งค์ปากดี' หนึ่งในเยาวชนที่เข้าร่วมคณะทำงานการรณรงค์ไม่ดื่มเหล้าและไม่สูบบุหรี่ แสดงทัศนะในเรื่องนี้

เบิร์ดบอกอีกว่า จุดเริ่มต้นของปัญหาเรื่องการดื่มเหล้า สูบบุหรี่ หรือแม้กระทั่งยาเสพติดของวัยรุ่นนั้น เริ่มมาจากความไม่แข็งแรงของสถาบันครอบครัว ประกอบกับเมื่อวัยรุ่นมีปัญหาก็มักจะหนีปัญหา อาจจะมีปัญหาเรื่องการเรียน เรื่องครอบครัว แต่เมื่อหาทางออกไม่ได้ ไม่รู้จะปรึกษาใคร พวกเขาจึงหันไปหาวิธีที่จะทำให้ลืมปัญหาด้วยการเสพสิ่งมึนเมาต่างๆ

"ค่านิยมก็มีส่วนสำคัญมากครับ เพราะว่าวัยรุ่นอยากมีพื้นที่ อยากเข้าสังคมกับเพื่อนฝูง พอเข้าสังคม ณ จุดหนึ่ง พอเห็นเพื่อนสูบบุหรี่หรือแม้กระทั่งเสพยา เขาก็ทำตามเพื่อน จากการทำงานของกลุ่มผมก็ทราบว่าปัญหาการดื่มเหล้าเป็นเพราะเขาอยากเข้าสังคมเป็นส่วนใหญ่ แต่ถ้าเป็นเรื่องบุหรี่ มักจะเกิดจากปัญหาครอบครัวแล้วการเข้าสังคมก็จะตามมาทีหลัง แต่ส่วนใหญ่ประเด็นหลักๆ เลยคือพวกเขาเข้าถึงสิ่งเหล่านี้ได้ง่าย ก็คือรับวัฒนธรรมเหล่านี้มาจากข้างนอก คือสมัยนี้การหายาเสพติดมันไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปแล้ว เพราะว่ามันมีคอนแทคที่จะเข้าถึงได้ง่ายมาก อย่างเพื่อนผมบางคนก็เคยมาเล่าให้ฟัง อย่างพวกกัญชาแบบนี้ก็หาได้ง่าย ของพวกนี้มันเป็นอะไรที่ถ้าจะเสาะหาขึ้นมา มันไม่ได้หายากเลย"

เบิร์ดยอมรับว่าสมัยนี้ชีวิตของวัยรุ่นกับสารเสพติดหรือของมึนเมาแทบจะแยกกันไม่ออก อย่างน้อยในกลุ่มก๊วนเพื่อนที่รู้จักกันก็ต้องมีคนดื่มเหล้า สูบบุหรี่ หรือคนที่เคยลองเสพยาปะปนอยู่ในกลุ่ม และที่พบว่าในปัจจุบันมีวัยรุ่นหันมาเสพกันมากขึ้นก็เพราะมีความเชื่อว่ามันสามารถทำให้ขาวสวยได้ และเห็นว่าดาราส่วนใหญ่ก็เสพกัน อย่างกระแสของดาราสาวคนที่เป็นข่าวก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้วัยรุ่นเห็นว่าดารานิยมใช้กัน จึงอาจทำให้วัยรุ่นคิดไปได้ว่าสิ่งนี้มันช่วยได้จริง ส่วนเรื่องผลข้างเคียงก็มีการพิสูจน์กันมาแล้ว

"ดาราหลายๆ คนก็คอนเฟิร์มกันมาว่าเป็นเรื่องจริง เหมือนเขาก็คงเชื่อตรงนั้นมากกว่าครับ แต่ถ้ามองกันจริงๆ การเสพยาเสพติดมันก็ต้องผิดอยู่แล้ว ถ้าถามว่ารู้จักของมึนเมาพวกนี้มั้ย ทุกคนก็รู้จัก ทุกคนน่าจะมีประสบการณ์เกี่ยวกับของพวกนี้ อย่างเรื่องดื่มเหล้าสูบบุหรี่ผมเองก็เคยลอง ความที่เราเป็นวัยรุ่นมันก็อยากรู้อยากลอง แต่พอจุดหนึ่งเมื่อเข้าใจว่ามันไม่ดีก็หยุด เราน่าจะตีแผ่เรื่องเหล่านี้ออกมาให้เห็นผลเสียของมันว่าปลายทางมันเป็นอย่างไร"

ครอบครัวคือเกราะคุ้มภัย

สิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมวันนี้จะทิ้งความผิดทั้งหมดไว้ที่ตัวเด็กคงไม่ได้ เพราะการที่เด็กไทยหลงผิดคิดว่าเสพยาจะทำให้พวกเขาสวยหรือทำให้พวกเขาเป็นที่ยอมรับนั้นไม่ได้มาจากตัวเด็กอย่างเดียว แต่มาจากเหตุปัจจัยหลายอย่าง

นพ.กัมปนาท ตันสิถบุตรกุล จิตแพทย์ประจำโรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ อธิบายถึงเหตุปัจจัยเหล่านั้นว่านอกจากจะเกิดจากสภาพสังคมที่อ่อนแอ และมาร์เกตติ้งของคนค้ายาเสพติดที่อวดอ้างสรรพคุณอันเป็นเท็จแล้ว ส่วนหนึ่งก็มาจากสื่อโฆษณาเกี่ยวกับความสวยความงามที่แข่งขันกันมาก จนทำให้เด็กเข้าใจไปว่าการที่พวกเขาจะภูมิใจในตัวเองนั้น พวกเขาต้องสวย ต้องเพอร์เฟกต์ ต้องเป๊ะ

"สื่อโฆษณาคลีนิคความงามทั้งหลายที่แข่งขันกันจนจะตีกันตาย บางตัวที่บอกว่าทุกอย่างต้องเป๊ะๆ ซึ่งคำว่า เป๊ะ มันเป็นคำพูดที่หลอกเอาจิตวิญญาณของคน มันทำให้รู้สึกว่าชีวิตจะดีและมีความสุขมันจะต้องเป๊ะเท่านั้น มันคือ Perfectionist ซึ่งจริงๆ ไม่ใช่หรอก คนเรามีความสุขได้โดยไม่ต้องเพอร์เฟกต์ทุกอย่าง ทำไมคนพิการเขามีความสุขได้ล่ะ ทำไมคนจนตามท้องไร่ท้องนาเขาถึงมีความสุขได้ ชีวิตเขาก็ไม่ได้เป๊ะนี่ เพราะเขา Self ดีไง แต่คนเมืองกรุงบางทีเสพสื่อโฆษณาเยอะ มันทำให้ Self ของคนเรามันแกว่ง เรากลายเป็นสังคมแบบทุนนิยมฉาบฉวย ให้ความสำคัญเรื่องวัตถุ เรื่องรูปร่าง หน้าตากันเยอะ จึงกลายเป็นปัญหาที่เชื่อมโยงกันหมด"

อีกสาเหตุหนึ่ง นพ.กัมปนาท บอกว่ามาจากครอบครัวของเด็ก เนื่องจากพบว่าเด็กที่มีปัญหาเกี่ยวข้องกับยาเสพติดส่วนใหญ่มักมาจากครอบครัวที่ไม่ได้สนใจดูแลบุตรหลาน พ่อแม่ไม่มีเวลา เด็กถูกเลี้ยงแบบตามอกตามใจ ปรนเปรอด้วยวัตถุ เด็กไม่ต้องดิ้นรน พอเด็กอยู่กับความสะดวกสบายฟุ้งเฟ้อ ฉาบฉวย สิ่งเหล่านี้ทำให้พวกเขาเปราะบาง หากเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ จะกลายเป็นชีวิตที่มีความเครียดสูง เครียดเพราะชีวิตไม่มีอะไร เหมือนหลักลอย แล้วเด็กก็จะหันไปหายาเสพติดได้ง่ายขึ้น

ส่วนตัวเด็กเอง นพ.กัมปนาทยอมรับว่าเด็กที่เข้าไปข้องแวะกับยาเสพติดส่วนหนึ่งเป็นเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่อีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าเด็กปัจจุบันมีปัญหาเยอะ Self ไม่ดี เด็กมักจะหลงไปกับเรื่องของความสวยความงาม เพราะพวกเขาคิดว่าถ้าสวย หุ่นดี แล้วจะทำให้ Self เขาดีขึ้น ซึ่งตรงนี้เป็นตัวสะท้อนให้เห็นว่า Self ของเด็กไทยแย่ลง

"ถ้าคนที่Self ดีๆ เขาจะไม่ค่อยให้ความสนใจกับเรื่องความสวยความงามมากนัก แต่จะสนใจเรื่องความดี ความเก่ง ความตั้งใจเรียน การเป็นเด็กดีของสังคมแบบนี้มากกว่า เพราะฉะนั้นจึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมเด็กของเราหลงเชื่ออะไรผิดๆ ได้ง่าย เพราะเด็กไทยเรา Self ไม่ดี เด็กไม่ภูมิใจในตัวเอง"

ทางออกของเรื่องนี้ คงไม่ใช่เพียงการปราบปรามผู้ค้ายาเสพติดเท่านั้น แต่สิ่งที่น่าจะเป็นทางออกที่ดีกว่า คือการสร้างครอบครัวที่เข้มแข็ง สร้างทัศนคติที่ดีให้เด็กไทยมีความภาคภูมิใจในตัวเองมากขึ้น และใส่ใจเรื่องรูปลักษณ์ให้น้อยลง