อดีตไม่เคยเหงา "ตลาดเก่าวังกรด"

บางช่วงเวลาที่คุณรู้สึกโหยหากลิ่นอายแห่งความสุขของอดีต คุณ...คิดถึงที่ไหน
มีสถานที่จำนวนไม่น้อยที่สามารถพาเราย้อนไปสู่ความทรงจำในวัยเยาว์ได้ อาจจะผ่านสถานที่ ของกิน ของใช้ ของเล่น หรือของสะสมมากมาย แต่จะมีสักกี่แห่งกันที่เพียงแค่ยืนสูดลมหายใจเบาๆ อยู่ตรงนั้น ก็รู้สึกได้ถึงความหอมหวานในอดีต
รถโดยสารคันเก่าแล่นผ่านไป ทิ้งไว้เพียงฝุ่นสีแดงที่ลอยฟุ้งกระจายอยู่เต็มพื้นที่ ภาพบ้านไม้หลังคาสังกะสีที่ปลูกเป็นเรือนแถวผุดขึ้นมาให้เห็นรางๆ จนฝุ่นผงเหล่านั้นจางลงไปนั่นแหละ ความชัดเจนจึงปรากฏ
ฉันยืนอยู่ใน ตลาดเก่าวังกรด ชุมชนโบราณที่เคยรุ่งเรืองมากเมื่อครั้งอดีต ทว่า นับตั้งแต่มีระบบการคมนาคมที่ทันสมัย ศูนย์กลางแห่งการค้าขายก็เงียบเหงาลงไปถนัดตา
ไม่ปรากฏตัวเลขเวลาบน "หอนาฬิกา(ดิจิทัล)" แต่ประเมินจากอาการหิวแสบไส้ คาดว่าคงบ่ายจัดมากแล้ว ฉันเดินฝ่าเปลวแดดที่มีอยู่เพียงรำไรในช่วงฤดูฝนไปยืนอยู่บนถนนอีกด้าน จากนั้นก็เริ่มต้นทำความรู้จักกับชุมชนโบราณแห่งนี้ทันที
1.
ตลาดเก่าวังกรด ตั้งอยู่ทางด้านตะวันออกของแม่น้ำน่าน ในตำบลวังกรด อำเภอเมือง จังหวัดพิจิตร ที่นี่เป็นชุมทางการค้าทั้งทางบกและทางน้ำมาแต่โบราณ ดังนั้นจึงมีชุมชนเก่าแก่ตั้งคู่ขนานกันไป นั่นคือ ชุมชนวังกรด
ชาวบ้านวังกรดเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ เป็นชาวไทยเชื้อสายจีน(ไหหลำ) พวกเขาประกอบอาชีพค้าขายมาแต่ครั้งบรรพบุรุษ ส่วนใครจะเลือกขายสินค้าชนิดไหนก็แล้วแต่ความถนัดของคนในตระกูลนั้นๆ อย่างตอนนี้ฉันนั่งฝากท้องมื้อเที่ยงไว้ที่ร้าน "ก๋วยเตี๋ยวต้มไซ้ลุ่ย" ซึ่งเป็นร้านก๋วยเตี๋ยวที่ส่งต่อสูตรพิเศษกันมาแต่โบราณ พร้อมกลเม็ดของการทำที่ไม่เหมือนใคร คืออยู่ตรงที่มีคำว่า "ต้ม" นี่แหละ
เจ๊ลุ่ย แซ่เตีย บอกเราพลางตักส่วนประกอบของก๋วยเตี๋ยวลงชามว่า ก๋วยเตี๋ยวต้มคือการต้มน้ำซุปให้เดือดจัดแล้วตักขึ้นมาใส่ชามที่มีเส้นก๋วยเตี๋ยว และเครื่องปรุงต่างๆ ไว้พร้อมแล้ว ทีเด็ดอยู่ที่น้ำซุปและความเผ็ดร้อน เพราะสูตรนี้ต้องใส่พริกขี้หนูสดซอยลงไปด้วย เรียกว่า อร่อยจัดจ้านแบบไม่ต้องถามหาเครื่องปรุงเลยทีเดียว
ฟังเรื่องเล่าเคล้าน้ำซุปของเจ๊ลุ่ยไป 2 ชามเต็มๆ เมื่อเห็นว่า "เพียงพอ" สำหรับเที่ยงนี้แล้วก็ได้เวลาเคลื่อนย้ายตัวเองไปยังจุดอื่นๆ ต่อ
"เฮียเคนเนดี้ ยินดีต้อนรับ" เห็นป้ายนี้แล้วต้องแวะทันที เพราะ "ข้อความ" นี้ดึงดูดจริงๆ
ที่นี่คือ "ศูนย์ข้อมูลชุมชนตลาดวังกรด" ที่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณในการปรับปรุงจากการเคหะแห่งชาติ ให้เป็นแหล่งเรียนรู้ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม สถาปัตยกรรม และการอนุรักษ์อาคารของชุมชน ภายในอาคารมีทั้งนิทรรศการ และส่วนแสดงสิ่งของที่ชาวตลาดนำของสะสมส่วนตัวที่มีเรื่องราวเบื้องหลัง มาร่วมกันจัดเป็นพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นเล็กๆ เพื่อสะท้อนภาพวันวานของตลาดวังกรด
เฮียเคนเนดี้ ที่เป็นผู้ดูแลชี้ชวนให้ดูรูปถ่ายในอดีต แล้วก็เล่าว่า เดิมทีชุมชนนี้ชื่อ "วังกลม" น่าจะมาจากชื่อของห้วงน้ำที่หมุนเป็นวงกลมใกล้กับวัดวังกลม แต่ต่อมาเปลี่ยนเป็น "วังกรด" พร้อมๆ กับการเปลี่ยนชื่อของ "สถานีรถไฟวังกรด" โดยในสมัยรัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดฯให้สร้างทางรถไฟขึ้นในประเทศไทย ทางรถไฟสายเหนือก็เริ่มดำเนินการสร้างในปี 2444 ส่วนสถานีรถไฟวังกรดน่าจะถูกสร้างขึ้นพร้อมๆ กับการสร้างทางรถไฟสายปากน้ำโพ-พิษณุโลก เมื่อปี 2450 เดิมนั้นใช้ชื่อสถานีรถไฟวังกลม แต่ต้องเปลี่ยนมาเป็นสถานีรถไฟวังกรดเพราะชื่อ "วังกลม" ซ้ำกับชื่อสถานีรถไฟแห่งหนึ่งทางภาคอีสาน ชุมชนจึงต้องเปลี่ยนชื่อตามมาเป็นวังกรด
2.
เดินขนาบห้องแถวไม้ 2 ชั้น ไปตามซอยเทศบาล 9 สุดถนนเป็นที่ตั้งของ "ศาลเจ้าพ่อวังกลม" ซึ่งเป็นศาลที่ชาวบ้านให้ความเคารพ เล่ากันว่าสมัยก่อนนั้นศาลเจ้าแห่งนี้ตั้งอยู่ที่หมู่ 7 บ้านวังกลมเหนือ ต่อมาหลวงประเทืองคดี ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญของตลาดวังกรด บอกให้นายจั๊บ แซ่ตั้ง อัญเชิญเข้ามาอยู่ในตลาด และสร้างศาลเจ้าให้ พร้อมกับทำพิธีเบิกเนตรในปี 2494 เพื่อให้ผู้คนที่มาซื้อของขายของได้สักการบูชา ศาลเจ้าพ่อจึงเป็นศูนย์รวมใจของชาวตลาดมานับแต่นั้น และทุกๆ ปีจะมีงานสำคัญที่ชาวบ้านจัดขึ้น นั่นคือ งานฉลองเจ้าพ่อวังกลม หรือที่รู้จักกันว่า "งานงิ้ว" จัดเป็นงานใหญ่ระยะเวลา 10-15 คืน ถือเป็นงานที่เชื่อมสายสัมพันธ์ของลูกหลานวังกรดให้กลับมาเยือนบ้านเกิดเป็นประจำทุกปี
เอ่ยถึง "หลวงประเทืองคดี" ขึ้นมาแล้วจะไม่เล่าต่อเดี๋ยวจะงง หลวงประเทืองคดีนั้นเป็นผู้ริเริ่มและให้การสนับสนุนชาวบ้านในการสร้างตลาด จริงๆ ท่านประกอบอาชีพรับราชการเป็นอัยการ แต่มีบทบาทต่อความเจริญของวังกรด
คล้ายกับเดินอยู่ในบ้านร้างไร้ชีวิตชีวา แต่จะว่าไปที่นี่ก็คือบ้านร้างดีๆ หลังหนึ่งนั่นแหละ ฉันหมายถึง "บ้านหลวงประเทืองคดี" ที่ตั้งอยู่ห่างออกไปจากชุมชน ภายในบริเวณบ้านแวดล้อมไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่ ส่วนตัวอาคารเป็นอาคารทรงตึกทันสมัยหลังแรกของตลาดวังกรด สร้างราวหลวงประเทืองอายุได้ 80 ปี ปัจจุบันนี้ไม่มีทายาทอาศัยอยู่แล้ว ทางเทศบาลตำบลวังกรดจึงอยากทำเป็นพิพิธภัณฑ์เพื่อให้อนุชนรุ่นหลังเข้ามาศึกษา
ในชุมชนวังกรดมี "โรงสีและบ้านเถ้าแก่จั่น" ซึ่งเป็นบ้านไม้ 2 ชั้น เถ้าแก่จั่นประกอบกิจการโรงสี โดยเช่าโรงสีจากหลวงประเทืองคดี มียุ้งข้าว และปั๊มน้ำมันด้วย ที่นี่เป็นสถานที่ขายน้ำมันแห่งแรกของตลาดวังกรด ต่อมาเมื่อเถ้าแก่จั่นเลิกกิจการโรงสีก็มาทำยุ้งข้าวอยู่ในบริเวณบ้านปัจจุบัน เป็นยุ้งข้าวขนาดใหญ่ที่รถสามารถวิ่งขึ้นไปขนส่งข้าวได้ และมีโรงสีขนาดเล็กๆ ในบริเวณเดียวกัน ให้ชาวนารายย่อยมาจ้างสีข้าวเพื่อการบริโภค
ฉันเดินกลับมาตามถนนสายหลักจนถึง "ตลาดใต้" บริเวณนี้บ้านเกือบทุกหลังจะมีป้ายหน้าร้านเขียนถึงความสำคัญของแต่ละร้านไว้อย่างละเอียด ฉันแวะไปที่บ้าน คุณนิตย์ แซ่หลิม หญิงชาววังกรดผู้มีฝีมือในการทำอาหารมาก โดยเฉพาะหอยทอด ขนมจีบ ซึ่งเตี่ยของคุณนิตย์เคยทำโต๊ะจีน ต่อมาเปิดร้านบะหมี่ และขายขนมจีบควบคู่กันไป คุณนิตย์เองเคยเรียนตัดเย็บเสื้อผ้าจากโรงเรียนระพี และกลับมาเปิดร้านเสื้อที่บ้าน แต่มารับช่วงทำบะหมี่ต่อจากเตี่ย จนปัจจุบันไม่ได้ทำแล้ว เพราะการทำเส้นบะหมี่ต้องใช้แรงมาก
ที่บ้าน คุณกิมเฮง เปลี่ยนกิม มีข้าวของเครื่องใช้โบราณตั้งอยู่มากมาย ฉันเดินเข้าไปทักทาย คุณลุงกับคุณป้าก็ส่งยิ้มให้ พร้อมกับเล่าว่า คุณกิมเฮงเคยเป็นนายกสุขาภิบาลวังกรด และรับจ้างเย็บผ้าเพื่อส่งลูกๆ 8 คนเรียน ปัจจุบันลูกๆ มีงานทำได้ดิบได้ดีกันหมด
ครอบครัวของคุณกิมเฮงอยู่วังกรดตั้งแต่รุ่นเตี่ย เตี่ยเป็นหลงจู๊เรือเขียว เรือแดง ซึ่งเป็นเรือโดยสารสองชั้น วิ่งระหว่างปากน้ำโพ - พิษณุโลก เที่ยวล่องวิ่งตอนเช้า 1 เที่ยว และเที่ยวล่องตอนเย็น 1 เที่ยว ด้านหลังเรือมีห้องน้ำให้บริการด้วย ผู้มีฐานะหรือข้าราชการสมัยนั้นใส่ชุดราชปะแตน นุ่งผ้าม่วง และสวมหมวกกะโล่ ส่วนชาวบ้านก็จะมีชุดเก่งของตัวเอง แต่ถ้าต้องตัดกางเกงทุกคนจะมุ่งตรงไปที่ "ร้านตัดผ้ากิมลั้ง แซ่เล้า" ที่ใครๆ ก็เรียกติดปากว่า ป้าแน๊ว ป้าแน๊วตัดผ้าเก่งมาก ตัดเสื้อเชิ้ต กางเกงชาวนา กางเกง "รัสเซีย" มุ้ง ม่าน ซึ่งกางเกงชาวนานั้น ป้าแน๊วจะใช้ผ้าดำและผ้าเขียวมาตัด ส่วนกางเกงรัสเซีย เป็นกางเกงที่เอาไว้ใส่ไปเที่ยว ผ้าที่ใช้ก็ไม่ใช่ผ้าพื้นๆ ธรรมดา ต้องไปซื้อมาจากตะพานหินกับปากน้ำโพเท่านั้น แล้วขนผ่านรถไฟมา ป้าแน๊วบอกว่า สมัยก่อนกางเกงตัวละ 20 บาท เดี๋ยวนี้ตัวละหลายร้อยทีเดียว
3.
ความจริงฝั่งตลาดใต้นี้มีของอร่อยให้ชิมอีกหลายร้าน และก็ยังมีบ้านของ พี่พร-กมลพร บูรณกูล ประธานชุมชนวังกรด ที่ภายในเต็มไปด้วยเงินหลากหลายตระกูล มีเงินรู เบี้ย และพดด้วงให้ชมมาย ฉันลองหยิบพดด้วงขึ้นมา 1 ชิ้น มันหนักมากจริงๆ พี่พรบอกว่า นี่คือเงินบริสุทธิ์ หายากมากในปัจจุบัน
พอเดินข้ามฝั่งผ่านหอนาฬิกาไปยัง "ตลาดเหนือ" ก็พบว่ามีสิ่งน่าสนใจรออยู่อีกมากมาย เริ่มสนุกตั้งแต่ต้นตลาดเลยทีเดียว พี่ตุ๊ก-สุรีย์พร ผดุงฉัตร นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดพิจิตร เล่าว่า เพราะเป็นชุมชนริมน้ำ ตลาดวังกรดจึงเจอภาวะน้ำท่วมทุกปี ซึ่งในยุคนั้นถือเป็นเรื่องปกติ ซึ่งชาวบ้านก็จะมีวิธีดูแลทรัพย์สินกันอย่างแยบยล
อย่างหลายๆ บ้านจะขุดใต้ถุนทำเป็นห้องใต้ดิน เมื่อน้ำจะมา โจรจะขึ้น ก็ขนทรัพย์สมบัติที่มีค่าไปฝังหลบไว้ด้านใน ไม่ว่าน้ำจะมาสูงเท่าไร หรือโจรขโมยมากแค่ไหน ทรัพย์ที่ฝังไว้ก็ยังอยู่ครบเหมือนเดิม
พี่ตุ๊กพาเราเดินไปจนถึง "ร้านซ่อมเครื่องไฟฟ้าเล้าไถ่ชัว" ซึ่งมี ลุงจิงอา เลาวกุล เป็นเจ้าของ ลุงจิงอาเล่าว่า ย้ายมาจากปราจีนบุรีตั้งแต่อายุ 10 ขวบ สมัยนั้นคุณลุงของลุงจิงอาประสบปัญหาจากนโยบายกีดกันคนต่างด้าว ลำบากในการหาที่ทำกิน จึงย้ายไปหลายที่ จนมาถึงวังกรด ก็มาเช่าบ้านอยู่ พอหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็สร้างบ้าน สมัยก่อนนั้นขายเครื่องสำอาง และเครื่องไม้เครื่องมือการทำนา อุปกรณ์ก่อสร้าง ซึ่งคุณลุงของลุงจิงอาเรียนการซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าจึงรับเครื่องใช้ไฟฟ้ามาขายด้วย ลุงจิงอาว่า สมัยก่อนขายของดีถึง 4-5 ทุ่มเลยทีเดียว
"ร้านค้าซบเซา เพราะว่าถนนตัดผ่าน และมีตลาดนัดแทบทุกวัน เมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 คึกคักมาก คนมาจากหลายที่ จากวังทรายพูน สากเหล็ก ตะพานหิน จากที่ไหนต่อที่ไหนก็ต้องมาซื้อของที่นี่ แต่พอถนนตัดผ่าน ร้านค้าก็เงียบ ยิ่งสมัยนี้มีตลาดนัดเยอะ ของก็ขายไม่ได้ เพราะตลาดนัดของถูกมีทุกวันจันทร์ พุธ ศุกร์ เสาร์ เขาก็ไปซื้อที่ตลาดนัด ไม่มาซื้อของเรา"
นอกจากเล่าความหลัง ลุงจิงอายังพาเราไปชม "หลุมเก็บทรัพย์" ที่อยู่ใต้แผ่นคอนกรีตของบ้านด้วย ลุงว่าตอนนี้ไม่มีทรัพย์สินอะไร เหลือแต่ภรรยาคนเดียวแล้ว นั่นแหละจึงมีคนแอบแซวว่า ถ้าน้ำมาอย่าพาป้าลงไปเก็บไว้ในหลุมล่ะ เพราะป้าเป็นสมบัติที่มีค่าที่สุดของลุง
เราเดินไปชมมอเตอร์ไซค์ยามาฮ่า 125 ซีซี ของพ่อพี่พร-กมลพร ที่ชาวบ้านทั้งตลาดจำได้ดี เพราะว่าพ่อพี่พรเป็นแพทย์ประจำสาธารณสุขตำบล แกจะขี่มอเตอร์ไซค์คันนี้ไปตรวจไข้ชาวบ้านจนใครๆ ก็จำได้ทั้งตลาด ปัจจุบันยังอยู่ในสภาพดี พี่พรบอกว่า ยังสามารถขี่ได้ด้วย
สถานที่สุดท้ายที่ฉันไปเยือนก็คือ "โรงหนังมิตรบรรเทิง" เจ้าของกิจการชื่อเหงี่ยม ชาวตลาดจึงเรียกว่า "วิกตาเหงี่ยม" ที่นี่เป็นโรงหนังขนาดใหญ่ ส่วนเก้าอี้ใช้ไม้ยาวๆ พาดบนขาไม้ เปิดกิจการมาตั้งแต่สมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 หลังจากตลาดที่อยู่ในอาคารหลังนี้ปิดตัวไป เจ้าของจึงเปลี่ยนมาเป็นโรงหนังแทน ซึ่งหนังที่ฉายยุคแรกๆ น่าจะเป็นยุคฟิล์ม 16 มม. โดยมีดาราคู่ขวัญ มิตร ชัยบัญชา - เพชรา เชาวราษฎร์ โรงหนังแห่งนี้เปิดกิจการให้ความบันเทิงกับชาวตลาดวังกรดมานานกว่า 20-30 ปี จึงปิดตัวลง เนื่องจากกระแสความนิยมของโทรทัศน์และวีดิโอเข้ามาแทนที่
นั่งรถออกมานานแล้ว แต่กลิ่นอดีตของตลาดเก่าวังกรดยังหอมฟุ้งเตะจมูก ภาพความน่ารักของชาวบ้านที่ส่วนใหญ่เป็นคนเฒ่าคนแก่ยังตราตรึงอยู่ในความทรงจำ บางทีช่วงเวลาสั้นๆ ก็ทำให้เรามีความสุขกับอดีตได้ง่ายดีเหมือนกัน
................................
การเดินทาง
ตลาดวังกรด ตั้งอยู่ในพื้นที่อำเภอเมือง จังหวัดพิจิตร ที่สะดวกคือการเดินทางโดยรถไฟแล้วลงที่สถานีรถไฟวังกรด มีบริการรถไฟสายเหนือออกจากสถานีหัวลำโพงทุกวัน ขบวนที่จอดสถานีวังกรดวันละ 4 เที่ยว สอบถาม โทร. 1690 หรือ www.railway.co.th หากใช้รถยนต์ส่วนบุคคล แนะนำให้ใช้ทางหลวงหมายเลข 1 (พหลโยธิน) แยกเข้าทางหลวงหมายเลข 32 ที่อยุธยา จากนั้นแยกเข้าเส้นทางนครสวรรค์-พิษณุโลก (ทางหลวงหมายเลข 117) เมื่อถึงอำเภอสามง่าม แยกเข้าทางสามง่าม-พิจิตร ผ่านเมืองพิจิตร เส้นทางหมายเลข 115 จนข้ามสะพานแม่น้ำน่าน แยกเข้าทางซ้ายมือตามป้ายสถานีรถไฟวังกรด เลี้ยวขวาที่ใต้สะพานตามเส้นทางขนานทางรถไฟ เลี้ยวซ้ายเข้าถนนเทศบาลสาย 1 ขับตามเส้นทางตรงจนเข้าสู่ตลาดวังกรด
แต่จริงๆ ที่สะดวกอีกทางคือ รถตู้ประจำทาง จะออกจากอนุสาวรีย์ชัยฯ ถึงตลาดวังกรด ทุกวัน วันละ 9 เที่ยว เริ่มตั้งแต่ 07.00-19.00 น. สอบถาม โทร. 08 1558 0366 และ 08 1309 6253 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กองสวัสดิการสังคม เทศบาลตำบลวังกรด โทร. 0 5668 5053 ต่อ 105 หรือ 08 6925 8796 หรือกลุ่มอนุรักษ์วังกรด โทร. 0 5667 2020 และ 08 3163 0084 หรือ ททท.สำนักงานพิษณุโลก โทร. 0 5525 2742-43