ปลาหมึกเข้าถ้ำ บ่อน้ำล้านปีที่ 'ถ้ำภูผาเพชร'

สำหรับถ้ำภูผาเพชร ในเขต ต.ปาล์มพัฒนา อ.มะนัง จ.สตูล นั้น ใครต่อใครคงเอ่ยถึงความสวยงามของหินงอกหินย้อยในถ้ำที่ตั้งชื่อกันวิลิศมาหรา
แต่ผมจะพูดถึงถ้ำแห่งนี้ในแง่ทางธรณีให้สมกับที่เป็นศิษย์นอกห้องของ อ.ชัยพร ศิริพรไพบูลย์ รองอธิบดีกรมน้ำบาดาล ซึ่งจริงๆ ท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องถ้ำ รวมทั้งได้อาจารย์นเรศ สัตยารักษ์ ผู้เชี่ยวชาญทางธรณี ที่ค้นพบซากไดโนเสาร์ปากนกแก้วในบ้านเราชนิดใหม่ของโลก จนตั้งชื่อว่า ซิตตะโกซอรัส สัตยารักษ์กี มาเทรนเรื่องธรณีให้หลายครั้ง ก็เลยอยากพาท่านผู้อ่านไปเที่ยวถ้ำแห่งนี้ในแง่มุมทางธรณีกันบ้าง
ถ้ำภูผาเพชร เป็นถ้ำที่ปากทางเข้าอยู่บนภูเขา เลยต้องเดินขึ้นบันไดปูนไปไม่มากแค่พอได้เหงื่อ แต่ร่มรื่นตลอดทาง ปากถ้ำทางเข้าจะเป็นเพิงถ้ำที่ตายแล้ว มีรูเล็กๆ พอลอดเข้าไปได้ทีละคน พอเข้าไปข้างในก็จะเห็นโถงถ้ำกว้าง ทาง อบต.ปาล์มพัฒนาเขาต่อไฟสีขาวให้พอมองเห็นทาง ในถ้ำไม่อับเพราะมีโพรงถ้ำอีกด้านหนึ่งให้อากาศเข้าได้ ประกอบกับทำสะพานทางเดินชมในถ้ำค่อนข้างสะดวก
ถ้ำแห่งนี้ก็เหมือนถ้ำในภูเขาหินปูนทั่วไปที่มีหินงอกหินย้อยและปรากฏการณ์ถ้ำต่างๆ เหมือนกัน เมื่อลอดช่องทางเข้ามาจะเห็นเป็นโถงถ้ำกว้าง บนเพดานจะเห็นหินย้อยลงมาเป็นแนว ถ้าเราเข้าใจว่าหินงอกหินย้อยเกิดจากน้ำที่ละลายแคลเซียมออกมาจากเนื้อหิน หินที่ย้อยลงมาจากเพดานนี้ ก็เป็นการลงมาตามแนวแตกด้านบนของเนื้อหินนั่นเอง ถ้าแตกตามยาว หินย้อยก็ปรากฏตัวเป็นแนวยาว ถ้าเป็นรอยแตกเล็กๆ ก็จะเห็นหินย้อยย้อยลงมาโดดเดี่ยว หินด้านล่างจะเห็นเป็นก้อนใหญ่ๆ นั่นเป็นหินที่ถล่มลงมา ซึ่งส่วนใหญ่ถ้าเป็นถ้ำที่มีโถงก็หินถล่มแทบทั้งนั้น
หินย้อยในถ้ำนี้สวยงามใหญ่โต โดยเฉพาะกลุ่มที่เรียกว่า เสาค้ำสุริยัน เป็นเสาหินขนาดใหญ่ หลายต้นต่อเชื่อมจนชนเพดาน เป็นหย่อมย่านที่เห็นลักษณะการเกิดของรูปแบบต่างๆ ของหินงอกหินย้อยอย่างน่าสนใจ ถ้ำนี้บางส่วนเป็นถ้ำตาย บางส่วนเป็นถ้ำเป็น เราสังเกตง่ายๆ ก็ดูจากคราบฝุ่นที่เกาะตามหินงอกหินย้อยครับ
ถ้าเห็นคราบฝุ่นดำหนาเกาะอยู่ตามผิว ถ้ำนั้นก็ตายแล้ว แต่ถ้ายังเห็นผิวมัน นั่นแสดงว่ายังเป็นถ้ำเป็น ถ้ำเป็นก็คือถ้ำที่น้ำจากด้านบนยังคงละลายหินปูน แทรกเนื้อหินที่แตกแล้วตกลงมาค่อยๆ สะสมกัน ถ้าหินปูนค่อยๆ เกาะกันขึ้นมาจากพื้นดินเราก็เรียก หินงอก ถ้ามันห้อยลงมาจากเพดานก็เรียก หินย้อย ถ้ามันเชื่อมต่อกันจนติดเพดานก็เรียก เสาหิน
ส่วนใหญ่ทั้งหินงอกและหินย้อยจึงมักตั้งตรงตามแนวน้ำหยด ยกเว้นถ้ามีช่องที่แสงเข้าได้ เราอาจจะเห็นหินย้อยตามแสง (แต่ไม่เคยเห็นงอกตามแสง) เอียงออกไปทางแสงแทนที่จะห้อยลงมาตรงๆ ส่วนบางที่เห็นระยิบระยับก็เพราะมีแคลไซค์ปะปน ลักษณะหินย้อยจะมีหลายรูปแบบ ถ้าติดผนังถ้ำมักจะเป็นม่านน้ำตก ตามริมผนังถ้ำตรงพื้น มักจะเห็นเป็นแอ่งน้ำตกใหญ่เล็กก็แล้วแต่ ถ้าเป็นแอ่งเล็กๆ คนมักไม่สะดุดตา แต่สังเกตดีๆ จะเห็นไข่มุกถ้ำก้อนกลมๆ เล็กๆ เกาะตัวกันตามแอ่งน้ำตกเหล่านี้ บางที่กลายเป็นน้อยหน่าถ้ำก็มี ถ้าเป็นแอ่งใหญ่ ก็จะเห็นขอบคันน้ำตกถ้ำชัดเจน
ที่ถ้ำเมืองออน เชียงใหม่ จะเรียกสันหลังมังกร ส่วนที่ถ้ำภูผาเพชรนี้เรียกเวทีคอนเสิร์ตซะอย่างนั้น ในช่วงที่ฝนตกเราจะเห็นว่าถ้ำนี้มีน้ำไหลลงมาจากเพดานถ้ำหลายแห่งตกลงมาเบื้องล่าง โดยเฉพาะที่เรียกว่า โดมศิลาเพชร น้ำจะไหลลงมาเป็นน้ำตกเลย น้ำตกถ้ำหลายแห่งก็จะมีน้ำขัง ปรากฏการณ์ถ้ำที่ถ้ำภูผาเพชรนี้มีเกือบครบทุกชนิดให้เราได้เลย
ถ้ำนี้เขาว่ามีเนื้อที่ถึง 50 ไร่ ผมไปแล้วก็ไม่แน่ใจนักว่าถึงจริงหรือเปล่า แต่โถงถ้ำใหญ่นั้นกว้างและสูงจริงๆ ในอดีตที่นี่เป็นที่ที่ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์มาอยู่กัน เวลาถูกล้อมปราบแค่หลบอยู่ในถ้ำก็อยู่ได้เพราะมีน้ำ มีอากาศระบาย แต่น้ำที่ไหลตกลงมาจากเพดานถ้ำลงบนยอดโดมศิลาเพชรที่ว่านั้น จะไหลรวมมาลงบริเวณที่เป็นแอ่งซึ่งเป็นลักษณะของหลุมยุบแล้วหายไปในดิน แสดงว่าใต้ถ้ำนี้มีอีกโพรงถ้ำหนึ่ง ลองเอาเท้ากระทืบดูก็จะรู้สึกได้ว่ามีอีกโพรงอยู่ด้านล่างจริงๆ น้ำที่ไหลลงหลุมยุบนี้จะทำหน้าที่ละลายหินปูนแล้วไปสร้างหินย้อยในถ้ำข้างล่างอีกทีหนึ่ง
ส่วนหมึกทะเลที่ผมตามหานั้น มันอยู่ด้านล่างที่มีโถงถ้ำขนาดใหญ่ มีโพรงให้แสงส่องเข้ามาได้ หินถล่มก้อนใหญ่มีตะไคร่ขึ้นจนเป็นสีเขียว ชาวบ้านก็เรียกลานแสงมรกต เจ้าหมึกที่ผมว่านี้ เป็นซากฟอสซิลซ่อนตัวอยู่ในเนื้อหินเพดานถ้ำทางเข้าห้องพญานาค เป็นหมึกโบราณที่เรียกว่านอติลอยด์(Nautiloid) ซึ่งเป็นสัตว์ยุคออโดวิเชียน มีอายุราวๆ 450 ล้านปี ซึ่งในสตูลค้นพบสัตว์ยุคนี้หลายแห่งมาก ไม่ใช่ว่าหมึกนี้จะว่ายน้ำขึ้นภูเขามาเอง แต่ก่อนถ้ำอาจจะไม่ได้อยู่บนภูเขาสูงแบบนี้ (รวมทั้งอาจยังไม่เป็นถ้ำด้วย) แต่เจ้าหมึกนี่ตายลงแล้วเป็นฟอสซิล ระหว่างนั้นแผ่นดินก็เคลื่อนตัว ยกตัวสารพัด จนมาเห็นปรากฏตัวบนเพดานน้ำบนภูเขาสูงอย่างที่เห็นนี่เอง
ที่น่าสนใจอีกอย่างก็คือ แอ่งน้ำโบราณ ในส่วนที่เรียกว่า ห้องพญานาคพัน จะเป็นห้องโถงและคราบน้ำที่ปรากฏเป็นหินปูนเกาะเป็นคราบจนเห็นเป็นระดับอยู่รอบโถงสูงเลยเอว แสดงว่าตรงนี้เคยเป็นแอ่งน้ำที่ขังน้ำหินปูนมานานมาก เป็นล้านๆ ปี โดยมีถ้ำนี้ขึ้นแล้ว และมีน้ำไหลเข้ามาขังอยู่นานมากๆ จนคราบหินปูนที่ละลายมากับน้ำหุ้มเกาะหินตามพื้นและสร้างเป็นแนวระดับน้ำตรงผนัง ต่อมาไม่มีน้ำไหลมาเติม และน้ำที่ขังอาจซึมละลายไหลออกไปจนหมด แอ่งนี้จึงเป็นแอ่งน้ำโบราณที่ปรากฏร่องรอยดังกล่าว ปรากฏการณ์ในถ้ำแต่ละอย่างใช้เวลานับร้อยนับพันปีกว่าจะเป็นอย่างที่เราเห็นในปัจจุบันทำให้เราเห็นการเปลี่ยนแปลงของโลกทางด้านธรณีอย่างหนึ่ง
ถ้ำภูผาเพชรนี้เป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวทางธรณีที่จังหวัดสตูลและกรมทรัพยากรธรณีพยายามจะผลักดันให้เป็นอุทยานธรณีโลก ที่มีพิพิธภัณฑ์ช้างโบราณ ที่ อบต.ทุ่งหว้านำร่องไปแล้ว และยังมีวิถีของซาไกที่ทุ่งหว้า รวมทั้งอีกหลายๆ แห่งรวมอยู่ในอุทยานธรณีสตูลนั้นด้วย
ถ้ำนี้ดีและสวยทุกอย่าง แต่ยังไม่สุดๆ ถ้ำที่จีน ที่เวียดนามเขาแต่งไฟสีต่างๆ จนดูราววิมานใต้พิภพ ถ่ายรูปออกมาก็สวยงาม ถ้ำก็ยังเป็น ยังเกิดอยู่ เพราะเขาใช้ไฟที่ไม่ร้อน แต่ที่ถ้ำภูผาเพชรมีเสาไฟโด่เด่กลางถ้ำจนดูรกตา เดิมเคยเอาง่ายใช้สปอร์ตไลท์ส่องในถ้ำจนร้อนแล้วต้องเลิกไป หลอดไฟตามทางเดินก็ดับไปหลายดวง ซ้ำใช้ไฟหลอดขาวซะอีก ถ่ายรูปออกมาก็ทื่อๆ ขาวโพลนไร้สีสัน สีเดียวที่มีตอนนี้คือสีสนิมเหล็กเหลืองๆ เท่านั้น สะพานทางเดินก็หักพังหลายจุดไม่ได้ดูแลซะนาน เหมือนผู้หญิงสวยเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว ถ้าแต่งหน้า ทาปาก มันจะดูสวยขึ้นมาก ใช่ว่าแต่งหน้าทาตาแล้วจะเป็นสาวกร้านโลกเสมอไปที่ไหน
ทำให้มันสวย ให้มันดีได้โดยถ้ำไม่พัง มันก็มีวิธีการ อย่าน้ำล้นแก้ว ปรึกษาผู้รู้ดูว่าทำอย่างไร เมื่อมีเนื้อหาให้เที่ยวถ้ำได้สนุกแล้ว ใส่ความสวยงามไปอีกนิด ถ้ำภูผาเพชรก็จะสวยดั่งคำโฆษณา ถ้าเอาแค่สภาพตอนนี้ ใครไม่มาก็ไม่น่าเสียดายครับ